รอบรู้เรื่องรถ
ระบบเบรค ถ้าไม่ตรวจอาจดับได้
ไม่ใช่ดับเหมือนเครื่องยนต์ที่หยุดทำงาน ดับในที่นี้คือดับชีพหรือชีวิตครับ เท่าที่ผมสังเกตดู ถ้าไปถามผู้ใช้รถว่าระบบอะไรในรถ ที่สำคัญต่อความปลอดภัยที่สุด ไม่ว่าจะมีความรู้เชิงช่าง หรือเทคนิครถยนต์หรือไม่ ล้วนตอบคำถามนี้ได้ถูกต้อง ว่าระบบเบรค เพราะถ้าเมื่อใดที่มีความจำเป็นต้องเบรค แล้วเบรคไม่ดีพอตามที่ต้องการ หรือยิ่งกว่านั้น คือ ไม่ทำงานเลย ย่อมต้องมีการชน หรือถูกชนแน่ถ้าท่านกำลังอ่านนิตยสารนี้ ตั้งแต่เริ่มวางจำหน่ายที่แผงได้ไม่กี่วัน ก็เหลือเวลาอีกประมาณไม่เกิน 1สัปดาห์ ก็จะถึงเทศกาลสำคัญของชาวไทยแล้ว ซึ่งก็คือเทศกาล "สงกรานต์เลือด" เพราะเป็นช่วงเวลา เพียงไม่กี่วัน ที่ทุกคนรู้ล่วงหน้าว่าจะมีคนตายจากอุบัติเหตุบนถนนหลายร้อยคน และอย่างแน่นอนไม่มีทางผิดพลาดเป็นอย่างอื่นด้วย และก็เป็นเช่นนี้มาปีแล้วปีเล่า ด้วยสาเหตุหลัก 4 ประการด้วยกัน คือ เสพแอลกอฮอลหรือยาเสพติด หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน ประมาทไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร ขาดความรู้ความเข้าใจในการขับรถอย่างถูกวิธี และประการสุดท้าย คือ ความบกพร่อมของรถ ในที่นี้ผมจะให้คำแนะนำเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับประการสุดท้ายนะครับ เพราะ 3 อย่างแรกนั้นเคยเขียนย้ำมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ความบกพร่องของตัวรถนั้น ถ้าเป็นส่วนที่ทำให้รถเคลื่อนที่ แล้วไม่ยอมทำงานตามปกติขึ้นมา ทำให้เราเดือดร้อนลำบากแน่ครับ แต่มักจะไม่มีอันตราย ส่วนใหญ่ก็จะเสียเวลาและเงิน แต่ที่ทำให้รถเคลื่อนที่ช้าลงหรือหยุดตามต้องการไม่ได้นั้น อันตรายมาก ช่วงเทศกาลทั้งสงกรานต์ หรือปีใหม่ไทย และปีใหม่สากล เราจะได้เห็นข่าวการเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะทางภาคเหนือ ที่มีภูเขาสูง และถนนมีความชันเป็นระยะทางยาว ส่วนใหญ่ "แหกโค้ง" ตกลงไปในเหว หรือพื้นที่ต่ำ มีผู้เสียชีวิตกันมากมาย "สูตรสำเร็จ" ในการวิเคราะห์หาสาเหตุของเจ้าหน้าที่นั้น เป็นที่รู้กันว่าคือ "เบรคแตก" หมดยุคเบรคแตกมาไม่น้อยกว่า 50 ปีแล้วครับ สมัยนั้นอาจจะมีบ้างที่มีสาเหตุมาจากท่อน้ำมันเบรคส่วนที่ต้องงอได้ เพราะดุมล้อซึ่งเคลื่อนที่ ขึ้น/ลงไปพร้อมกับล้อ ทำให้มีความจำเป็นต้องให้ท่อน้ำมันเบรคส่วนนี้งอได้ และเป็นจุดอ่อนของรถยุคนั้น เมื่องอกลับไป/มาอยู่หลายหมื่นหรือเป็นแสนครั้ง แต่ในรถยุคหลังจากนั้น จนถึงปัจจุบันนี้ หมดปัญหานี้แล้ว ปัญหาของท่ออ่อนน้ำมันเบรค ถ้าจะมีก็คือตีบหรืออุดตันภายในจากสนิมของใยเหล็กหรือยางที่บวมครับ เพราะฉะนั้นรถที่ประสบอุบัติเหตุ ขณะลงเขาเพราะเบรคไม่อยู่ มีแค่ 2 สาเหตุเท่านั้น คือ น้ำมันเบรคเดือดเพราะอมความชื้นไว้เกินปริมาณที่ปลอดภัย กับหน้าผ้าเบรคร้อนจัดจนละลายและขาดความฝืด ในการทำให้จานเบรคหมุนช้าลง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะคุณภาพของผ้าเบรคต่ำเกินไป (นี่ละครับคือคำตอบว่าเหตุใดผมจึงแนะนำให้ใช้อะไหล่แท้จากโรงงานรถ หรือที่โรงงานรถแนะนำเสมอ) หรือไม่ก็เพราะผู้ขับไม่เข้าใจวิธีเบรคที่ถูกต้องปลอดภัย เมื่อขับลงทางลาดชันเป็นระยะทางยาว น้ำมันเบรคทั่วไปนั้น "กระหายน้ำ" อยู่เสมอ เพราะเป็นสาร HYGROSCOPIC มันจะดูดซับไอน้ำในอากาศไว้ในเนื้อมันตลอดเวลา เมื่อมีปริมาณน้ำมากขึ้น จุดเดือดของน้ำมันเบรคจะยิ่งต่ำลง คือเดือดง่ายขึ้นนั่นเอง ถ้าปล่อยให้น้ำมันเบรคดูดน้ำเข้าเนื้อไปเรื่อยๆ แรมปี โดยไม่เปลี่ยนใหม่ และวันใดเคราะห์ร้าย ต้องใช้งานระบบเบรคอย่างหนักและต่อเนื่อง เช่น ขับรถลงจากยอดเขาสูง จานเบรค ผ้าเบรค ก้ามเบรค และที่สำคัญคือน้ำมันเบรค ร้อนจัดจนอุณหภูมิสูงเกินจุดเดือดของมัน (ซึ่งต่ำเพราะอมไอน้ำไว้ในตัวมาก) น้ำมันเบรคส่วนที่ร้อนจัด เช่น ในก้ามเบรค จะเดือดเป็นไอ ซึ่งก็คือเกิดฟองแกสหลายลูก ในขณะที่มีความดันของน้ำมันเบรคตรงนั้นก็ต่ำ เพราะเราเพิ่งถอนเท้าจากแป้นเบรคชั่วคราว เช่น ตอนอยู่บนช่วงที่ไม่ลาด วินาทีมรณะมาถึง เมื่อเราจำเป็นต้องเบรค ฟองไอน้ำมันเบรคที่มีอยู่มากมายเพราะร้อนจนเดือด และมีปริมาตรมากกว่าปริมาตรแทนที่ของลูกสูบในแม่ปั๊มเบรค จะหดตัวลงเมื่อเกิดความดันในระบบเบรคจากการเหยียบแป้นเบรคของเรา ฟองแกสนี้ถูกเปลี่ยนเป็นของเหลว ซึ่งก็คือน้ำมันเบรค แต่ไม่ทั้งหมดครับ เพราะปริมาตรที่ลูกสูบในแม่ปั๊มเบรคไล่น้ำมันเบรคมานั้น น้อยกว่าปริมาตรฟองไอน้ำมันเบรค แป้นเบรคจะยุบได้จนถึงพื้นรถ อย่าคิดว่าไม่ยาก แค่ถอนเท้าให้แป้นเบรคตามขึ้นมา แล้วเหยียบครั้งที่ 2 ก็จะหมดปัญหานะครับ เพราะพอเราถอนเท้าขึ้น และลูกสูบในแม่ปั๊มเบรคถอยกลับ น้ำมันเบรคตรงที่ร้อนจนเดือดตอนแรก ก็จะเดือดใหม่ เป็นฟองเหมือนก่อนเหยียบเบรคครั้งแรก จะไม่มีเบรคทำงานได้ในวงจรนี้ เช่น ล้อหน้าทั้งคู่ ถึงน้ำมันเบรคที่ล้อหลังจะยังไม่เดือด แต่แรงเบรคแค่ล้อหลังเท่านั้น ก็ไม่เพียงพอในการลดความเร็วของรถที่พุ่งลงทางลาด ถ้าไม่แหกโค้ง ก็คงพุ่งชนสิ่งกีดขวาง หลังช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงสักพัก น้ำมันเบรคจะร้อนน้อยกว่าจุดเดือด ฟองไอน้ำมันเบรคจะกลายเป็นน้ำมันเบรคตามเดิม ถ้าไม่ได้หงายท้อง ล้อชี้ฟ้า และน้ำมันเบรคไหลออกมาจากถ้วย และมีการตรวจสอบโดยการลองเหยียบแป้นเบรค ก็จะพบว่าทุกอย่างเป็นปกติ ก็โทษผีสางกันต่อไป ถ้าเจอพวกพิสูจน์หาสาเหตุที่ขี้เกียจ ก็จะสรุปว่าเป็น เพราะเบรคแตก เพราะถึงจะไม่ขี้เกียจ ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมระบบเบรคมันไม่ทำงานตอนกำลังจะเกิดเหตุ และไม่รู้เหมือนกันว่า คำว่า "จรรยาบรรณ" นั้น เขียนอย่างไร และหมายถึงอะไร เลือกบอกสาเหตุว่า "เบรคแตก" นี่แหละสบายดี ส่วนสาเหตุที่ 2 ที่อาจเป็นไปได้ คือ ผ้าเบรคลื่น เพราะส่วนผสมบางอย่างในเนื้อผ้าเบรคละลายจากความร้อนสูง จากการเบรคต่อเนื่องเป็นเวลานานขณะขับลงทางชัน ถ้าไม่ใช่การออกแบบของผู้ผลิตรถ ที่เน้นต้นทุนต่ำ แต่กำไรสูง เลือกขนาดจานเบรคและพื้นที่หน้าผ้าเบรคเล็กเกินไป ก็อาจเป็นเพราะคุณภาพ ของผ้าเบรคต่ำเกินไป ทนความร้อนสูงไม่ได้ ถ้าให้ศูนย์บริการอย่างเป็นทางการเปลี่ยนให้และสอบถามเพื่อความแน่ใจแล้วว่า ได้ใส่ผ้าเบรค "ของแท้" ให้เราจริง น่าเชื่อถือก็หมดปัญหาครับ ส่วนผู้ที่เน้นการประหยัดค่าบำรุงรักษา และใช้บริการแบบอื่นต้องระวังให้มากครับ จากประสบการณ์ของผม ยังไม่มีผ้าเบรคราคาถูกมาก แต่คุณภาพสูงเพียงพอ หรือใกล้เคียงของแท้ครับ มีแต่ราคาถูกกว่าพอสมควร แต่คุณภาพใกล้เคียงหรือเท่าๆ ของแท้ ถ้าจะใช้วิธีนี้ ต้องขยันหาความรู้ครับ อ่านความเห็นของผู้ที่กำลังใช้ หรือเคยใช้ จากสื่อต่างๆ ให้มากเข้าไว้ ดูความเป็นมาและสถานะปัจจุบันของผู้ผลิตผ้าเบรคที่เราต้องการใช้ การเข้าสังสรรค์กับกลุ่มผู้ใช้รถรุ่นเดียวกับเรา ช่วยให้การประเมินคุณภาพผ้าเบรคที่เราอยากใช้ สะดวกและรวดเร็วครับ แต่ก็ต้องประเมินผู้ตอบให้ดี ว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะคนไทยยุคนี้มีปมด้อยกันมาก อยากสอนผู้อื่น ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนั้นๆเลย ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหน ผมขอฝากความเห็นไว้ประกอบการตัดสินใจว่า ของราคาถูกผิดปกติ แต่ดีพอนั้น ไม่ดีครับ ถ้าไม่นับของที่ถูกขโมยมาขาย (เพราะไม่มีต้นทุน) มีผ้าเบรคดีพอแล้ว ก็ยังอาจเกิดอันตรายได้ ถ้าไม่รู้วิธีเบรคเมื่อขับลงทางชันระยะยาวและนาน 1. ต้องไม่เหยียบเบรค "แช่" ตลอดเวลา เพราะจานเบรคจะสะสมความร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีโอกาสถูกพักให้ระบายความร้อน วิธีที่ถูก คือ เหยียบเบรคให้แรงพอระดับที่ลดความเร็วของรถลงได้ แม้จะกำลังลงทางลาดชัน จนรถแล่นช้ามาก (รถที่ตามและไม่มีความรู้ จะออกอาการรำคาญ ควรให้สัญญาณให้แซงเราไป) แล้วปล่อยเบรคให้รถเพิ่มความเร็วใหม่ 2. ให้รถอยู่ในเกียร์ต่ำที่สุด (ถ้าชันมาก) หรือเกียร์ถัดมา ถ้าชันไม่มาก เช่น เกียร์ 1 หรือ 2 ของเกียร์ธรรมดา เกียร์ 1 หรือ 2 L1 หรือ L2 หรือ S สุดแต่ผู้ผลิตรถจะตั้งชื่อ มีหลักง่ายๆในการเลือกเกียร์ เพื่อให้เครื่องยนต์ช่วยเบรคครับ ดูความชันของถนนว่าหากเราจะขับขึ้นทางนี้ จะต้องใช้เกียร์ใดจึงจะขึ้นไหว ให้ใช้เกียร์นั้นช่วยเบรคในตอนขับลง เน้นการให้เครื่องยนต์ช่วยเบรคเป็นหลักครับ ถ้าไม่พอจึงเหยียบเบรคด้วย หากชันมาก แม้อยู่ในเกียร์ 1 น้ำหนักรถจะเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเครื่องยนต์หมุนเร็วเกินระดับที่ผู้ผลิตอนุญาต ดูได้จากแถบแดงหรือเหลือง หรือจากข้อมูลจำเพาะ ต้องเหยียบเบรคช่วยไว้ ถ้าชันมากเป็นพิเศษ และเป็นระยะทางยาว ผมแนะนำให้ใช้คอมเพรสเซอร์ "แอร์" และอัลเทอร์เนเตอร์ ช่วยเบรคด้วย โดยการเปิดแอร์และปรับค่าอุณหภูมิให้เย็นที่สุด เปิดพัดลมตำแหน่งแรงสุด เปิดกระจกหน้าต่างทุกบาน และเปิดไฟหน้าด้วย จะเพิ่มภาระให้อัลเทอร์เนเตอร์ ซึ่งจะช่วยหน่วงเครื่องยนต์ผ่านทางสายพาน คอมเพรสเซอร์แอร์ก็จะช่วยหน่วงในรูปแบบเดียวกัน เราต้องการให้มันทำงานตลอด จึงต้องเปิดกระจกทุกบาน ไม่ให้ห้องโดยสารเย็นจนคอมเพรสเซอร์พักการทำงานได้ ปฏิบัติทั้ง 2 ข้อนี้ ควบคู่กันไปและที่สำคัญ อย่าลืม เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคทั้งระบบปีละครั้ง ถ้าไม่แน่ใจว่าเปลี่ยนครั้งสุดท้ายไปเมื่อใด ก็จัดการก่อนจะต้องไปลงทางลาดชันครั้งนี้เลยครับ และจดวันเดือนปีที่เปลี่ยนไว้ด้วย
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2560
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/164569