ชีวิตอิสระ(4wheels)
รับตะวันก่อนใคร ที่ผาชะนะได
พระอาทิตย์ขึ้นเช้าวันพรุ่งนี้ ที่ผาชะนะได อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เวลา... ประโยคนี้ ผมได้ยินจนชินหูตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อได้ฟังวิทยุช่องโปรดรายงานสภาพอากาศ แต่เหตุไฉนสถานที่นี้ ถึงไม่ได้รับความนิยมมากนัก ข้อมูลที่เที่ยว-ที่พักในโลกโซเชียลก็น้อยเหลือเกิน เกิดอะไรขึ้นกับผาชะนะได ทำไมรู้สึกเหมือนอยู่แสนใกล้ แต่กลับไกลแสนไกล "ชีวิตอิสระ" ขอไขข้อข้องใจนี้เอง !ม่วนคักๆ ไปกับ ฟอร์ด เรนเจอร์ เรารู้ดีว่า ผาชะนะได ตั้งอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี เมืองใหญ่ทางภาคอีสานตอนล่าง ที่มีเนื้อที่มากเป็นอันดับ 5 ของประเทศ ห่างจากเมืองหลวงประมาณ 630 กม. การเดินทางจากกรุงเทพ ฯ ไปได้หลายทาง แต่ที่นิยมสุด คือ เส้นมิตรภาพ ทางหลวงหมายเลข 2 แล้วตัดเข้าทางหลวงหมายเลข 24 ผ่านอำเภอหนองกี่ เรื่อยมาจนถึงอุบลราชธานี ทางหลวงหมายเลข 2178 จากอุบลราชธานีไปผาชะนะได ทางอำเภอโขงเจียมอีกเกือบ 100 กม. ตามทางหลวงหมายเลข 217 หมายเลข 2222 และหมายเลข 2112 ตามลำดับ การเดินทางครั้งนี้นับว่าโหดพอสมควร เพราะนอกจากระยะทางที่ไกลกว่า 700 กม. แล้ว ในช่วง 12 กม. สุดท้าย ยังเป็นทาง "หิน" สูงชัน ต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้นถึงไปรอด แต่เราโชคดีครับ ที่ได้เพื่อนใหม่อย่าง ฟอร์ด เรนเจอร์ 3.2 ไวลด์ทแรค ขับเคลื่อน 4 ล้อ มาร่วมทาง ด้วยความแรงของเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ ขนาด 3.2 ลิตร 5 สูบ 200 แรงม้า ที่ทำงานผสานเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ทำให้ทุกจังหวะเร่งแซง หรือไต่เนินชันเป็นไปอย่างราบรื่น การเดินทางครั้งนี้จึงง่ายขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ผมสนุกสนานกับเครื่องยนต์ ระบบรองรับ รวมถึงอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ ในการขับกว่า 8 ชม. ก็เข้าสู่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เส้นทางช่วงนี้เป็นถนนเลนสวนเป็นส่วนใหญ่ สลับกับโค้งขึ้น/ลงเขา ต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นเป็นพิเศษ ตลอดเส้นทางไปผาชะนะได จะมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ บางช่วงอาจขาดหาย หรือเลือนลางไปบ้าง คงต้องพึ่งพาแผนที่นำทาง หรือสอบถามชาวบ้านละแวกนั้นบ้าง รับรองว่าถึงจุดหมายอย่างแน่นอน ผาชะนะได ไปไม่ง่ายอย่างที่คิด การเดินทางสู่ผาชะนะไดไม่สบายอย่างที่คิด (ถึงว่าไม่ค่อยมีใครมา !) โดยเฉพาะระยะทาง 12 กม. สุดท้าย จะเป็นทางขรุขระตามสภาพพื้นที่จริงของที่นั้น คงเป็นเพราะต้องการรักษาสภาพแวดล้อมให้คงเดิม เพราะรอบๆ บริเวณนั้น ยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก มีเพียงบางช่วงเท่านั้นที่มีการเทปูนขนานแนวล้อรถซ้าย/ขวา ให้รถวิ่งเพื่อลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุ เนื่องจากเป็นจุดอันตราย สภาพพื้นผิวตลอดทางนั้นนับว่าแย่ ผู้สูงอายุถ้าไปด้วยอาจลำบาก เพราะระยะทางแค่ 12 กม. ใช้เวลาเดินทางจริงเกือบ 2 ชม. ด้วยสภาพเส้นทางเป็นลานหิน ดินกรวด ทราย และห้วยลำธาร นักท่องเที่ยวที่ต้องการมา จะต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อที่มีความสูงของตัวรถพอสมควรจะดีที่สุด (รถตู้ หรือรถเก๋ง หมดสิทธิ์) การมาชมพระอาทิตย์ขึ้นในช่วงเช้า (พระอาทิตย์ขึ้นประมาณ 5.30 น.) ควรต้องวางแผนเวลาและการเดินทางให้ดี แนะนำให้พักบริเวณ (ทางขึ้น) บ้านซะซอมก่อน แล้วค่อยเข้ามาช่วงเช้าตรู่ (03.00 น.) หรือไม่ก็เข้ามานอนค้างแรมที่หน่วยบริการนักท่องเที่ยวผาชะนะไดตั้งแต่ช่วงเย็น บริเวณอุทยาน ฯ จะมีลานกางเทนท์ และห้องน้ำไว้บริการ โดยใช้แสงไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ส่องสว่างจนถึงประมาณเที่ยงคืน นักท่องเที่ยวควรเตรียมอุปกรณ์ส่องสว่าง รวมถึงอาหารมาให้พร้อม เพราะทางอุทยาน ฯ ไม่มีอาหารไว้บริการ รับตะวันก่อนใครในสยาม ที่ผาชะนะได ผาชะนะได ตั้งอยู่ในบริเวณป่าดงนาทาม ของเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้ม มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 450 เมตร เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นแห่งแรกของประเทศไทย เนื่องจากอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของแผ่นดินสยาม และเป็นตำแหน่งที่กรมอุตุนิยมวิทยาใช้เป็นจุดคำนวณการมองเห็นลำแสงเริ่มแรกของดวงอาทิตย์ในเขตประเทศไทย ณ เส้นแวงที่ 105 องศา 37 ลิปดา 17 ฟิลิปดา ตามคำขวัญที่คุ้นหูอย่าง "รับตะวันก่อนใครในสยาม" ที่ผาชะนะได เมื่อยืนอยู่บนหน้าผา จะเห็นภูเขาทะมึนสลับซับซ้อนทางฝั่ง สปป. ลาว (มีลำน้ำโขงเป็นเขตแดน) เป็นฉากอยู่ตรงกลางตัดกับท้องฟ้าที่อยู่ด้านบน และลำน้ำโขงที่อยู่ด้านล่างด้วยวิวแบบพาโนรามา หากวันไหนอากาศมีความชื้นสูง ประมาณช่วงปลายฝนต้นหนาว จะเห็นทะเลหมอกปกคลุมเหนือลำน้ำโขง นับเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามแห่งหนึ่งของเมืองไทย บรรยากาศยามค่ำคืนก็ใช่ย่อย ถ้าวันไหนท้องฟ้าเปิด เราสามารถมองเห็นกลุ่มดาวต่างๆ ได้ชัดเจน พร้อมกับกระแสลมเย็นเอื่อยๆ เวลากลางคืน สร้างบรรยากาศโรแมนทิคได้อย่างเหลือเชื่อ ละลานตาดอกไม้ป่า ที่ป่าดงนาทาม ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ของทุกปี บริเวณรอบๆ ป่าดงนาทาม จะมีดอกไม้ป่านานาชนิดเริ่มบานอวดโฉมความงามตามลานหิน ซึ่งสามารถพบเห็นได้ตลอดทางขึ้นไปยังผาชะนะได ทางอุทยาน ฯ ยังจัดเส้นทางชมทุ่งดอกไม้ป่า ให้นักท่องเที่ยวได้เดินชม และถ่ายภาพอย่างใกล้ชิด ดอกไม้ที่ขึ้นตามลานหิน เช่น หยาดน้ำค้าง แดงอุบล เอนอ้า เหลืองพิสมร รวมถึงทุ่งดอกไม้ชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้แก่ ดุสิตา สร้อยสุวรรณา มณีเทวา ทิพเกสร และสรัสจันทร เป็นต้น นอกจากนี้ ในช่วงที่น้ำมาก (เดือนกันยายน-ธันวาคม) จะมีน้ำตกไหลเอื่อยๆ ให้เห็นเกือบตลอดทาง รวมถึงทะเลหมอกในช่วงเช้าที่ริมโขง ส่วนในช่วงฤดูแล้ง (เดือนมกราคม-มีนาคม) ท่านจะได้เห็นป่าไม้เปลี่ยนสี จากดอกไม้หน้าแล้ง อาทิ ต้นรัง ตะแบกเลือด พุดผา ช้างน้าว เป็นต้น น้ำตกลงรู หนึ่งเดียวในไทย น้ำตกแสงจันทร์ หรือน้ำตกลงรู หนึ่งใน UNSEEN THAILAND ทางธรรมชาติที่พบได้แห่งเดียวในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ บ้านทุ่งนาเมือง ตำบลนาโพธิ์กลาง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี (ไม่ไกลจากผาชะนะได) ชื่อของน้ำตกเรียกตามลักษณะของสายน้ำที่ตกผ่านรูหิน ส่วนที่มาของชื่อน้ำตกแสงจันทร์นั้น เรียกตามสายธารน้ำตก ที่โปรยละอองผ่านช่องหินลงมาเป็นสีขาวนวลคล้ายแสงจันทร์ โดยเฉพาะในคืนวันเพ็ญ ที่แสงจันทร์จะสาดส่องมาตรงรูหินพอดี พร้อมกับละอองของธารน้ำตกที่โปรยปราย มองดูเป็นประกายสีนวลงดงามยิ่งนัก รูขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการกัดเซาะของสายน้ำ จากสายฝนที่ตกลงอย่างหนักเป็นเวลาแรมปี ที่พัดพาเอาก้อนหิน กรวดทราย ไหลเข้าไปติดในหลุม เมื่อกรวดหินไปติดในหลุมผนวกกับกระแสน้ำที่ไหลแรง ก้อนกรวดก้อนหินเหล่านั้นก็วิ่งวนอยู่ในหลุม จึงเกิดหลุมจากหินทรายซึ่งมีความแกร่งน้อยกว่ากรวดหิน ขยายตัวเป็นหลุมกว้างขึ้นเรื่อยๆ นานวันเข้าหลุมก็ทะลุกลายเป็นรูขนาดใหญ่ กระแสน้ำที่ไหลลงหลุมก็เปลี่ยนมาไหลลงรู กลายเป็น "น้ำตกลงรู" ในที่สุด ชมวิวแบบพาโน ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ วัดถ้ำคูหาสวรรค์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดอุบลราชธานี ก่อตั้งโดย "หลวงปู่คำคนิง จุลมณี" ซึ่งใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมจำพรรษา ปัจจุบันท่านได้มรณภาพไปแล้ว แต่ร่างกายไม่เน่าเปื่อย บรรดาลูกศิษย์ได้เก็บร่างของท่าน ไว้ในโลงแก้วเพื่อสักการะบูชา ภายในบริเวณวัดถ้ำคูหาสวรรค์มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย เช่น พระอุโบสถหลังงามสีขาวแกะสลักลวดลายอย่างวิจิตรบรรจง (คล้ายวัดร่องขุ่น จ. เชียงราย) พระธรรมเจดีย์ศรีไตรภูมิ ที่ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิที่งดงาม สวนตอไม้ที่ถูกตกแต่งด้วยดอกกล้วยไม้ไทยหลากหลายสายพันธุ์ บริเวณด้านหลังวัดยังมีถ้ำขนาดเล็กที่ชื่อ "ถ้ำคูหาสวรรค์" ให้เดินชม ภายในถ้ำเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยมากมายหลายองค์ และยังเป็นที่ตั้งโลงแก้วที่บรรจุสรีระที่ไม่เน่าเปื่อยของหลวงปู่คำคนิง จุลมณี ให้ประชาชนได้สักการะกันอีกด้วย นอกจากถ้ำแล้วด้านหลังวัด ยังสามารถชมทิวทัศน์ที่สวยงามของประเทศเพื่อนบ้าน และแม่น้ำสองสีได้อย่างชัดเจน เนื่องจากที่ตั้งของวัดอยู่บนหน้าผาสูง เหนือตัวอำเภอโขงเจียม จึงเห็นวิวที่สวยงามของโขงเจียมได้ทั้งอำเภอ โขงสีปูน มูลสีคราม ที่มาของแม่น้ำสองสี แม่น้ำสองสี นับเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของจังหวัด ที่เรียกว่า "โขงสีปูน มูลสีคราม" เกิดจากการเปรียบเปรยสีของแม่น้ำสองสายที่ไหลมาบรรจบกัน ระหว่างแม่น้ำมูล ที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่น้ำหลาก จะเห็นแม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน เกิดเป็นสองสีอย่างชัดเจน จุดที่สามารถชมแม่น้ำสองสีได้ คือ บริเวณที่ราบริมตลิ่งหน้าวัดโขงเจียม และที่หมู่บ้านห้วยหมาก โดยถ้าอยากสัมผัสแม่น้ำสองสีอย่างใกล้ชิด แนะนำให้นั่งเรือออกไปชม จะมีเรือของชาวบ้านคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่มากมาย ในราคาที่เป็นธรรม โดยจุดที่เกิดปรากฏการณ์แม่น้ำไหลรวมกัน อยู่ตรงบริเวณดอนด่านปากแม่น้ำมูล บ้านเวินบึก ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี นอกจากนี้ยังสามารถล่องเรือไปตามลำน้ำมูล และลำน้ำโขง เพื่อชมทัศนียภาพสองฝากฝั่ง และวิถีชีวิตของผู้คนริมแม่น้ำได้อีกด้วย แผนที่ ที่กิน มาเยือนโขงเจียมทั้งที ก็ต้องหาร้านอาหารบรรยากาศดีๆ รสชาติอร่อย "ร้านอาหารริมโขง" เป็นคำตอบสุดท้าย เนื่องจากตัวร้านอยู่ริมแมน้ำโขง สามารถมองวิวทิวทัศน์ของประเทศเพื่อนบ้านได้ชัดเจน และขึ้นชื่อเรื่องความสดของปลาแม่น้ำโขง ผมสั่งปลาบึกผัดฉ่า ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม ไข่เจียวหมูสับ และต้มยำปลาคัง รสชาติอาหารที่นี่พอใช้ได้ มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ที่นอน ถ้าคิดจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาชะนะได บ้านพักที่ใกล้ที่สุด คือ "นาทามโฮมสเตย์" เนื่องจากอยู่ปากทางขึ้นพอดี บรรยากาศที่นี่สบายๆ เป็นกันเอง โปร่งโล่ง มีอุปกรณ์ที่จำเป็นครบถ้วน เช่น แอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น ทีวี จะขาดก็แค่ตู้เย็นเท่านั้น ห้องพักที่นี่ราคาเพียงคืนละ 400 บาท ไม่ว่าจะมาช่วงเวลาไหนก็ราคาเดียวทั้งหมด ขอขอบคุณ บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด เอื้อเฟื้อพาหนะสำหรับการเดินทางในครั้งนี้
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/16041