โค้งอันตราย
ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
“ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย
น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมถวายความอาลัย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”
หัวเรื่องคราวนี้ เพื่อเก็บเอาไว้ระลึกถึงสิ่งที่ผ่านมาในอดีต เก็บความทรงจำที่ดีเอาไว้ ประพฤติปฏิบัติตนตามครรลองครองธรรม มาร่วมกันทำดีเพื่ออุทิศถวายแด่พ่อหลวงของเราครับ
หัวเรื่องหนนี้เป็นคำกล่าวของท่านนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ชาวไทยได้พึงระลึกไว้ แม้ว่าจะโศกเศร้าอาลัยสักเพียงใด แต่พวกเราก็ต้องดำเนินชีวิตกันต่อไปครับ
ได้ฟังข่าวยอดการขายรถยนต์ที่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์เล่าสู่กันฟังแล้ว ก็ให้ชื่นใจ ว่าสภาพเศรษฐกิจของเรา ยังไม่เลวร้ายเสียทีเดียว แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะยังไม่นิ่งก็ตามที ยอดการขายในเดือนกันยายน 2559 จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ 173,069 คัน เพิ่มขึ้น 0.92 % จากการผลิตรถยนต์นั่งและรถกระบะเพิ่มขึ้น เมื่อรวมตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน จำนวน 1,476,736 คัน เพิ่มขึ้น 3.14 %
ทั้งนี้แยกเป็น ยอดขายในประเทศ จำนวน 63,516 คัน เพิ่มขึ้น 2.7 % จากการขายรถยนต์นั่ง โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็กเพิ่มขึ้น 17.2 % และรถกระบะ 4.6 % ยอดขายในประเทศฟื้นตัวจากราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น รวมทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น เดือนมกราคม-กันยายน ยอดขาย 556,400 คัน เพิ่มขึ้น 0.5 %
ส่วนการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนกันยายน 112,565 คัน สูงสุดในรอบ 12 เดือน แต่ลดลง 9.91 % จากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวลง มูลค่า 58,763.90 ล้านบาท ลดลง 8.95 % เดือนมกราคม-กันยายน ส่งออก 900,726 คัน ลดลง 0.51 % มูลค่า 480,432.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.33 %
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์และอะไหล่ 81,048.25 ล้านบาท ลดลง 5.22 % เดือนมกราคม-กันยายน ส่งออกรถยนต์ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์และอะไหล่ มูลค่า 673,984.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.66 %
แม้ว่าจำนวนคันจะลดลง แต่มูลค่าของเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้น ก็ต้องถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวล ที่จะกระทบต่อยอดขายรถยนต์ในโอกาสข้างหน้า เห็นจะเป็นผลการประชุมของกลุ่มโอเปค เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ที่ประเทศแอลจีเรีย ประกอบด้วยสมาชิกทั้ง 14 ประเทศ สามารถตกลงกันในการลดกำลังการผลิตไปที่ 32.5-33.0 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่ง ถ้ากลุ่มโอเปคสามารถบรรลุผลสำเร็จในการลดการผลิตน้ำมันไปสู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วันได้ ราคาน้ำมันดิบดูไบน่าจะสามารถขึ้นไปยืนอยู่ได้ที่ระดับเฉลี่ย 50 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ในปี 2560 เทียบกับปี 2559 ที่คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่เฉลี่ยราว 40.5 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
แต่ตัวแปรที่จะเกิดขึ้นก็มีหลายประเด็นเหลือเกิน ทั้งสมาชิกในกลุ่ม มีปัญหาการสู้รบ เกิดความไม่สงบภายในประเทศ และบางประเทศก็มีปัญหาทางการเงิน อาจทำให้มีปริมาณน้ำมันดิบไหลเข้าสู่ตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น จนเป็นปัญหาในการคุมเพดานการผลิตของกลุ่มโอเปคได้
และอีกประการหนึ่ง คือ ประเทศที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มโอเปคอย่างผู้ผลิต SHALE OIL ของสหรัฐอเมริกา มีความสามารถในการปรับระดับการผลิตได้ค่อนข้างรวดเร็ว เมื่อระดับราคาน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้น ก็จะเป็นแรงจูงใจให้ผู้ผลิต SHALE OIL ในสหรัฐอเมริกา ผลิตน้ำมันดิบออกสู่ตลาดโลกมากขึ้น จนกดดันราคาน้ำมันดิบให้ขึ้นไปสูงได้ไม่มากนัก หรือโดยเฉพาะรัสเซีย ก็ยังต้องติดตามด้วยว่า ความร่วมมือในการลดกำลังการผลิตจะออกมาในทิศทางใดถ้ากลุ่มโอเปคลดกำลังการผลิตไปที่ระดับ 33.0 ล้านบาร์เรล/วัน อาจไม่มีผลต่อมุมมองราคาน้ำมันดิบดูไบที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ระดับเฉลี่ย 48 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ในปี 2560 แต่ถ้าการประชุมของกลุ่มโอเปคอย่างเป็นทางการ สามารถบรรลุผลสำเร็จในการกำหนดเพดานการผลิตของแต่ละประเทศ และการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปคลดลงไปที่ระดับ 33.0 ล้านบาร์เรล/วัน ก็อาจจะไม่มีผลต่อมุมมองราคาน้ำมันดิบดูไบที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ที่ระดับเฉลี่ย 48 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ในปี 2560 แต่ถ้ากลุ่มโอเปคสามารถบรรลุผลสำเร็จในการลดการผลิตน้ำมันไปสู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วันได้ ราคาน้ำมันดิบดูไบน่าจะสามารถขึ้นไปยืนอยู่ได้ที่ระดับเฉลี่ย 50 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ในปี 2560
ผลกระทบต่อประเทศไทย จากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปสูงขึ้นไปด้วย ซึ่งอาจกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะในส่วนของค่าโดยสารที่อาจมีการปรับขึ้น กระทบต่อภาคธุรกิจขนส่ง ซึ่งจะมีต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นก็ยังคงมีความไม่แน่นอนในตลาดโลก ว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปบ้านเราจะเป็นเท่าใด ยังไงก็ต้องคอยฟังข่าวต่างประเทศกันต่อไป
หวังว่าราคาน้ำมันจะไม่ขึ้นไปมากกว่านี้ อันจะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูป ยิ่งโด่งขึ้นไปอีก
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2559
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/152310