รู้ไว้ใช่ว่า
ยุ่ยไปหน่อยมั้ง !
ของบางอย่าง "ยุ่ย" นับว่าดี เช่น อาหาร มีทั้งจุ๊ปากชมว่าเด็ดนัก เช่น เนื้อตุ๋น หรือร้องยี้ มันยุ่ยเกินไป กินไม่อร่อย กินไม่เป็นเน้อ
ส่วนข้าวของเครื่องใช้ เอาง่ายๆ "รถยนต์" ถ้ายุ่ยก็น่ากลัว เช่น "รถกระบะ" หรือ "พิคอัพ" ยี่ห้อนั่นนี่ในไทย ซึ่งผลิตมโหฬารเพื่อส่งออกด้วย แต่มองตามสภาพความจริง น่าจะค่อนข้าง "ยุ่ย"
หมายถึง "ตัวถัง" เอะอะก็บุบ ก็พังยู่ยี่ โดยเฉพาะห้องเก๋ง ตรงที่นั่งคนขับและผู้ที่ไปด้วย เรามักจะเห็นภาพอย่างหนึ่ง คือ หักพับตรงนั้นกับส่วนหัวของรถ เมื่อชนรถอื่น ทิ่มของแข็งจำพวกเสาไฟ ต้นไม้ แท่งคอนกรีท กลายเป็น "จุดอ่อน" คนเป็นๆ อยู่ในนั้น ตายหยังเขียดแทบทุกราย งัดกันออกมาจ้าละหวั่น
ไม่ทราบว่าผู้บริโภคในบ้านเราและผู้ผลิต คำนึงถึงความยุ่ยของตัวถัง หรือโครงสร้างรถกระบะบ้างไหม ในเมื่อนิยมใช้หนักมาก แล้วตายเป็นประจำทุกวัน
หากเอามาตรฐานการส่งออกมาวัด ก็ไม่แน่ใจว่า ชุดที่ผลิตเพื่อส่งออก แข็งแรงกว่าที่ขายในบ้านเราไหม หรือเหมือนๆ กัน แต่ต่างชาติเขาเอาไปใช้ ไม่ระห่ำเหมือนคนไทย เลยไม่สงสัยว่ารถกระบะเมดอิน หรือแค่ประกอบในไทยแลนด์ยุ่ยไม่ยุ่ย
ฝากผู้เกี่ยวข้อง ได้โปรดพิจารณาตามขั้นตอน เพื่อเห็นแก่ชีวิตคนไทยด้วยนะครับ...
ยาวไปเลยเกี่ยวกับคดีความ ว่าด้วยคดีรถ ซึ่งเริ่มจากความสูญเสียชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของประชนคนไทย แต่ละครัวเรือนเดือดร้อนโศกเศร้าอาดูรน้อยอยู่หรือ
ครั้นเรื่องไปถึงมือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตำรวจ อัยการ ตุลาการ หรือทนายความ เพื่อชี้ขาดตัดสินให้เกิดความเป็นธรรม บรรเทาหรือลดทอนความเสียหายด้านจิตใจและเงินทอง
สิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ คือ ความ "บกพร่อง" ของสำนวน ปรากฏให้เป็นประเด็น นำมาซึ่งการชี้ขาด ไปตามความบกพร่อง เช่น "ยกฟ้องปล่อยจำเลย" ให้ลอยนวล แล้วราษฎรรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับการเยี่ยวยา ไม่ได้รับความเป็นธรรม จากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
ที่เห็นอยู่อย่างหนึ่ง คือ การ "ยึด" เอาถ้อยคำสำนวน และตัดสินชี้ขาดไปตามนั้นอย่างเคร่งครัด ไม่มองถึงผลที่เกิดขึ้น เช่น คนตายคนเจ็บ ที่เขาไม่รู้เรื่องด้วยว่า สำนวนคดีบกพร่องไหม บกพร่องยังไง โดยเฉพาะชาวบ้านตาดำๆ ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือทนายความ เขียนให้อย่างไร นำสืบอย่างไร ครบถ้วนไหม ขาดตกบกพร่องไหม มีผลถึงการยกฟ้องจำเลย หรือคนทำผิดไหม เขาไม่รู้จริงๆ แต่ต้องรับผลที่เกิดขึ้น และแก้ไขอะไรไม่ได้ ยังงี้มีบ่อยครับ อย่างเช่นคดีนี้
"นายมาลิ่ว" ขี่รถสองล้อติดเครื่อง ถึงทางแยกแกเลี้ยวขวาทันที แถมรถยังออกขวาซะอีก ไม่รีบพารถชิดซ้าย ตามกฎจราจร ทุกทีก็ไม่เป็นไร จราจรไม่เห็นหรือไม่ว่า แต่ขณะนั้น "นายตะลุยงาน" ขี่รถเก๋งสวนรถมอเตอร์ไซค์ของ นายมาลิ่ว แบบแรงและเร็ว ปะทะกันเข้าให้ รถเสียหายทั้งสองฝ่าย ที่แย่คือ นายมาลิ่ว เจ็บสาหัสรักษาไม่ไหว ตายโดยเจ้าตัวไม่อยากตาย ในเมื่อยังไม่มีเมีย เขาว่ายังงั้น
นายตะลุยงาน คงขยันมาก ตกเป็นจำเลยคดีอาญา ซึ่งอัยการรับหน้าเสื่อจากตำรวจ นำตัวไปฟ้องที่ศาล ฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ นายมาลิ่ว ถึงตาย
นายตะลุยงาน จ้างทนายสู้คดี อ้างนั่นนี่ขอให้ยกฟ้อง
"นางรักลูก" แม่ของ นายมาลิ่ว จ้างทนายทำคำร้อง ขอเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการ ศาลอนุญาต
ยกแรกศาลชั้นต้น นั่งบัลลังก์หน้าเข้มตามสไตล์ ให้ดูเกรงขาม ไม่เข้าใครออกใคร พิจารณาคดีนี้แล้วตัดสินยกฟ้อง คงมองว่า นายมาลิ่ว เลี้ยวตัดหน้าและล้ำเส้น ไม่ขับรถชิดซ้าย ทะเล่อทะล่าออกขวา จนโดนรถยนต์สวนเข้าให้
อัยการโจทก์ และนางรักลูก ซึ่งเป็นโจทก์ร่วม พากันอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษ นายตะลุยงาน ซึ่งขับรถยนต์ตะลุยคนซะนี่
ศาลอุทธรณ์ อ่านสำนวนไม่ต้องนั่งบัลลังก์ ไม่เห็นหน้าใคร แล้วพิพากษากลับให้ นายตะลุยงาน มีความผิดข้อหากระทำโดยประมาท ตาม ป.อาญา มาตรา 291 และขับรถโดยประมาทตาม พรบ. จราจรทางบก พศ. 2522 มาตรา 43 (4), 157 ให้ลงโทษ ตาม ป.อาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 1 ปี
นายตะลุยงาน จำเลยยื่นฎีกา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีการับภาระ พิจารณาคดีนี้แล้วชี้ว่า โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบ เชื่อได้ว่า นายตะลุยงาน ขับรถมาด้วยความเร็วสูง หยุดรถไม่ทัน ขณะที่ นายมาลิ่ว ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวขวา เข้ามาในทางเดินรถเดียวกัน งานนี้แม้ผู้ตายมีส่วนประมาทด้วย นายตะลุยงาน ก็ยกขึ้นปัดความรับผิดไม่ได้ เมื่อมีส่วนประมาท จากการขับรถเร็วมายังที่เกิดเหตุ ถือว่าประมาททำให้คนอื่นถึงตาย ตาม ป.อาญา มาตรา 291 ศาลอุทธรณ์ลงโทษฐานนี้ ศาลฎีกาโอเค (นี่หมายถึง การลงโทษตาม ป.อาญา เท่านั้น พรบ. จราจรฯ ไม่เกี่ยว อ่านดีๆ เดี๋ยวเป็นงง)
ศาลฎีกายังละเอียด บอกว่า ความผิดฐานขับรถโดยประมาท ตาม พรบ. จราจรฯ ม.43 (4), 157 นั้นศาลชั้นต้นยกฟ้อง อัยการโจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยขับรถประมาทก็จริง แต่เหตุเกิดจากขับรถผิดช่องจราจรอย่างเดียวโด่เด่ ไม่ยักอุทธรณ์ด้วยว่าขับรถเร็ว อีแบบนี้ศาลฎีกาถือว่า ความผิดฐานขับรถโดยประมาท ตาม พรบ. จราจรฯ ยุติแล้ว ตามคำตัดสินศาลชั้นต้น (โจทก์ร่วมก็อุทธรณ์ไม่ได้)
ฉะนั้นงานนี้แม้ได้ความว่า จำเลยขับรถประมาทด้วยเหตุขับรถเร็ว ศาลฎีกาก็ไม่อาจปรับบทลงโทษ ตาม พรบ. จราจรฯ ศาลฎีกาต้องพิพากษายกฟ้องความผิดตาม พรบ. จราจรฯ (ซึ่งเป็นเหตุให้ นายมาลิ่ว ม่องเท่ง ตรงนี้ก็ชวนงง)
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้เป็นว่า นายตะลุยงาน มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 บทเดียว ปรับ 10,000 บาท อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุก 1 ปี ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี กับให้ยกฟ้องความผิดตาม พรบ. จราจรทางบกฯ ม.43 (4), 157
เบ็ดเสร็จแล้วมีอยู่นิดเดียว คือ ศาลฎีกามองว่า อัยการอุทธรณ์ว่า นายตะลุยงาน ขับรถประมาทตาม พรบ. จราจร โดยขับผิดช่องจราจร แต่ดันไม่อุทธรณ์ว่าขับรถเร็วฯ มาด้วย จึงเอาผิดฐานขับรถเร็วจนเกิดเหตุไม่ได้ ให้ยกฟ้องความผิดตาม พรบ. จราจร หันไปเอาผิดประมาท ก็เรื่องขับรถเร็วนั่นแหละ แต่โน่น ไปดึงเอา ป.อาญา มาตรา 291 มาใช้งานแทน
ผลคือ โทษย่อมเยาลง มีปรับด้วย แล้วรอลงอาญา ถ้าเอาผิดตาม พรบ. จราจรได้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่า โทษจะหนักอย่างเดิม คือ จำคุก 1 ปีเพียวๆ ไหม ส่วนครอบครัวของ นางรักลูก ซึ่งสูญเสียลูกชาย จะรู้สึกยังไง ก็แล้วแต่
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2546
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 759
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/143102