ประสาใจ
ความรักของบุตรพราหมณ์
แฮร์มันน์ เฮสเซ นักประพันธ์ชาวเยอรมัน ผู้มีความรู้พื้นฐานของอินเดียเป็นอย่างดี ประพันธ์งานชิ้นหนึ่งเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ชื่อเรื่อง "สิทธารถะ" ว่าด้วยความปรารถนาอันไม่รู้จบของมนุษย์ ภายใต้ปรัชญาตะวันออกที่ว่า "ฉันคืออะไร และทำไม ?"
สิทธารถะ ของ เฮสเซ เป็นบุตรพราหมณ์ ใช้ชีวิตเยาว์วัยสัญจรอย่างยืดยาวเป็นเวลาหลายปี เพื่อค้นหาคำตอบของปัญหา "อัตตาคืออะไร ?"
การจาริกยาวนาน ย่อมมีปรากฏการณ์หลายอย่างอุบัติขึ้นตามวิถีทางผู้คน
ทุกก้าวย่าง บุตรพราหมณ์เรียนรู้ถึงสิ่งใหม่ๆ บางครั้งเห็นพระอาทิตย์ลับตาลงสู่ชลนทีที่อยู่ห่างไกล บนชายฝั่งเรียงรายด้วยหมากมะพร้าว
เห็นดวงจันทร์ครึ่งซีกสว่างลอยสูงฟ้า กลุ่มก้อนพฤกษาพงไพร กลุ่มเมฆและรุ้งกินน้ำ ทอดตัวยาวไกล บางแห่งเห็นสีเขียวคราม บางแห่งมืดครึ้มไม่สดใส
เสียงปักษาชาติทั้งมวลเจื้อยแจ้ว กระแสลมอ่อนตัวลงระรื่นไปตามทุ่งหญ้า
ดวงตาของ สิทธารถะ จ้องมองดูมวลสิ่งที่เกิด-มวลสิ่งที่มี และเป็นอยู่เสมอตามธรรมชาติ พลางคิดถึงพระธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ว่าด้วยอัตตา
"เธอจะต้องเผชิญด้วยตัวตนของเธอเอง มิใช่จากทางอื่น มิใช่จากผู้อื่น"
ครั้นอรุณสมัยเบิกฟ้า สิทธารถะ ขอร้องคนแจวเรือจ้าง ผู้ซึ่งให้ที่พักแรมคืน ส่งข้ามฟาก และเมื่อขึ้นฝั่ง ก็กล่าวกับคนแจวเรือว่า
"ขอโทษนะ อาตมาไม่มีอะไรจะให้ เพราะอาตมาเป็นอนาคาริก เป็นบุตรพราหมณ์และเป็นสมณะ"
คนแจวเรือตอบว่า
"ทราบแล้ว และเราก็ไม่ได้มุ่งหวังค่าจ้างหรือของตอบแทน แต่อย่างใด"
เมื่อแยกกัน สิทธารถะ เข้าไปถึงหมู่บ้านราวตะวันเที่ยง ทางเดินแล่นขนานไปกับลำธารสายหนึ่ง ข้างลำธารนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งคุกเข่าซักผ้าอยู่ สิทธารถะ เข้าทักทายและถามว่า ถ้าไปตามทางนี้อีกนานเท่าไรจะถึงเขตเมือง
หญิงสาวคนนั้นลุกขึ้นเข้ามาประชิดบุตรพราหมณ์ก่อนย้อนถาม
...ได้ยินว่าสมณะทั้งหลาย ชอบอยู่ในป่าเดียวดาย ไม่ยอมมีหญิงปรนนิบัติ...
ระหว่างเปล่งเสียง หล่อนเอาเท้าซ้ายทับบนเท้าขวาบุตรพราหมณ์ สำแดงกิริยาอาการทอดตัวให้ท่า เฉกเช่นหญิงเชิญชวนชายหาสุขเชิงกามารมณ์
สิทธารถะ รู้สึกซาบซ่ากระสัน ก้มตัวต่ำลงจุมพิตตรงถันหล่อนครั้งหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นดูก็เห็น หล่อนยิ้มด้วยราคะจริต หรี่ดวงตาลงส่อแสดงความใคร่อย่างหนัก
บุตรพราหมณ์คล้อยตามได้ประเดี๋ยวเดียวก็รู้สึกตัว ความกระสันหายวับ ใช้มือลูบแก้มหญิงสาวอย่างผู้มีเมตตา แล้วรีบสาวเท้าเดินเข้าป่าไผ่
ก่อนสายัณห์สมัย สิทธารถะ มาถึงเมือง เห็นขบวนยาวเหยียด คนใช้ทั้งชายและหญิง ต่างถือทูนและกระเดียดกระจาด ตะกร้า กระบุง
กลางขบวนนี้ มีคานหามหญิงคนหนึ่งนั่งบนเบาะสีแดง ใต้หลังคาที่เย็บด้วยผ้าสีต่างๆ ดังสีรุ้ง
หญิงสาวบนคานหามมีดวงหน้าอ่อนหวาน คมคายและมีแววความฉลาด มีปากแดงสดใสคล้ายผลมะเดื่อ ส่วนคิ้วเขียนเป็นคันศร ตาดำขลับ ลำคอระหง หล่อนสวมเสื้อคลุมสีมรกตและสีทอง ข้อมือทั้งสองมีลูกปัดทองสอดใส่ดูแพรวพราวแทบจะถึงข้อศอก
บุตรพราหมณ์มองความสวยงามหญิงบนคานหาม และหล่อนก็สบสายตา พลางก้มศีรษะให้เธอและยิ้มพราย
ต่อมาเธอ-บุตรพราหมณ์จึงถามผู้คน ทราบว่า หญิงบนคานหาม คือ กมลา เป็นนางคณิกาที่โด่งดัง เป็นเจ้าของสวน และคฤหาสน์หลังใหญ่ในเมือง
คืนนั้น สิทธารถะ พักในร้านตัดผม เช้าขึ้นมาก็ตัดผม โกนหนวดเครา ใบหน้าหมดจด อาบน้ำแช่ตัวอย่าง เสร็จเรียบร้อยพร้อมเรือนผมที่ได้รับการหวีอย่างบรรจง ออกไปยืนปากทางเข้าสวน นางกมลา ซึ่งไม่ช้านางก็นั่งคานหามเข้ามา เมื่อเห็นบุตรพราหมณ์ก็ก้มหัวให้เหมือนวันวาน
สักพักหนึ่ง มีชายคนหนึ่งนำตัว สิทธารถะ ไปพบ นางกมลา บนศาลาในสวน นางทอดกายอยู่บนเตียงนั่ง
"ใช่ท่านหรือไม่ที่ยืนอยู่นอกสวนวานนี้ แล้วมองทักทายฉัน ?"
"ถูกแล้ว" สิทธารถะตอบ "ฉันเห็นเธอเมื่อวานนี้"
"แต่เมื่อวานนี้ ผมเผ้าท่านยาวทั้งหนวดเครา และเต็มไปด้วยฝุ่น"
"ช่างสังเกตแท้" สิทธารถะ กล่าว "ฉันเป็นบุตรพราหมณ์ จากเคหะสถานมาเพื่อจะเป็นสมณะ ครองสมณะเพศนานถึง 3 ปี แต่บัดนี้ฉันละทิ้ง เข้ามาในเมืองก็พบเธอเป็นคนแรก เป็นการพบสตรีผู้เลอโฉม"
กมลายิ้ม พลางดีดพัดขนนกยูงเล่น
"เท่านั้นหรือ เป็นความตั้งใจของท่าน ?"
"ถูกแล้ว ฉันมาหาเธอ เพราะเธอสวยงามผุดผ่องเสียนี่กระไร และฉันใคร่ขอร้องให้เธอเป็นครูแบ่งปันความรู้แก่ฉัน"
"ตายละ สมณะจากป่าใหญ่จะเรียนรู้อะไรจากฉัน ?" เสียงของนางเป็นมิตร "ธรรมดาแล้ว เหล่าชายที่มาพบฉันล้วนสวมเสื้อผ้าแพรพรรณงามระยับ สวมรองเท้าอย่างดีมีราคา ร่างกายมีกลิ่นหอมยวนใจ ทั้งยังพกพาเงินทองมาล้นหลาม"
"นั่นไง" สิทธารถะ ร้อง "ฉันตั้งต้นเรียนรู้อะไรจากเธอเข้าแล้ว"
"เช่นกันนะ ฉันก็กำลังเรียนรู้อะไรจากท่าน"
"เข้าใจตรงกันสักเรื่องเถอะ ฉันกำลังอยากมีความรู้เกี่ยวกับผู้หญิง"
"ผู้หญิงปรารถนาความสุขและความรัก เช่นเดียวกับความรักและความสุขของ กมลา ซึ่งยากที่ใครจะมาชิงเอาไปได้ อย่างท่านนะหรือลองขืนใจจุมพิตปากของ กมลา ดูสิ ท่านจะไม่ได้ความหวานแม้แต่หยดเดียว"
สิทธารถะ นิ่ง นางกมลา จึงกล่าวต่อ
"สิทธารถะ เอ๋ย แม้นท่านต้องการเป็นศิษย์ที่ดีก็ต้องเรียนรู้สิ่งนี้ด้วย จงเรียนรู้ว่าความรักนั้น ใครทุกคนขอเอาได้ ซื้อหาเอาได้ ให้กันได้และแสวงหาได้ตามถนนหนทาง แต่จะลักจะขโมยไปไม่ได้หรอก"
"ฉันเข้าใจแล้ว เอาละ แล้ว สิทธารถะ จะกลับมาใหม่ เมื่อสิ่งที่ขาดอยู่มีครบ ทั้งเสื้อผ้า รองเท้าและเงินทอง"
"อย่างอื่นๆ ไม่มีอีกแล้วรึ บุตรพราหมณ์ ?"
"มี ฉันเป็นกวีร้อยแก้ว แต่งกาพย์กลอนได้ ถ้าอยากฟังและเมื่อชอบใจแล้ว ต้องให้ฉันได้จุมพิตเธอเป็นค่าตอบแทน"
นางกมลา ตกลง และหลังจากบุตรพราหมณ์ว่ากลอนให้ฟังหนึ่งบทเป็นที่ถูกใจ นางกมลา ทั้งสองก็จุมพิต และอยู่ในวังวนแห่งการจุมพิตครั้งใหญ่ ซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยลักษณาการต่างกัน จนกระทั่งคนใช้เดินเข้ามากระซิบความบางสิ่งที่หู นางกมลา
"ฉันมีแขกมาหา และเขาจะเห็นท่านอยู่ที่นี่ไม่ได้ พรุ่งนี้ค่อยพบกันใหม่นะ" นางกมลา กล่าว
สิทธารถะ ละสวนแห่งนั้นโดยไม่มีผู้ใดพบเห็น
วันรุ่งขึ้น สิทธารถะ ก็มาพบนาง และนางก็เล่าให้ฟังถึงการมาของแขกเมื่อวานนี้ เป็นนายวาณิชผู้มั่งคั่งของเมืองชื่อ กามสวามี เมื่อเธอเล่าถึงเรื่องราวสมณะหนุ่ม เขาจึงอยากพบ
"ฉันบอกชื่อท่านแก่เขาไปแล้ว" นางกมลา กล่าว "เขาเป็นบุคคลที่มีอำนาจวาสนามาก สมณะหนุ่มผู้มีผิวคล้ำแดดเอ๋ย จงเป็นคนฉลาดเสียบ้างเถอะ เรียนรู้เพื่อให้เป็นผู้เท่าเทียมเขา ขณะนี้เขากำลังแก่เฒ่าและเฉื่อยลงทุกกระบวนท่า"
สิทธารถะ ทำได้คือ กล่าวคำขอบคุณ
"ขอให้ความมีโชคของฉัน จงได้หลั่งออกมาจากเธอเถิดที่รัก" บุตรพราหมณ์กล่าวพลางจุมพิต นางกมลา เป็นการอำลา...!!
ABOUT THE AUTHOR
ข
ข้าวเปลือก
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2559
คอลัมน์ Online : ประสาใจ