โค้งอันตราย
โล่งอก
5 เดือนที่ผ่านมา เพิ่งมาโล่งอกกันในเดือนพฤษภาคม ที่ยอดการขายเติบโตขึ้นมาแบบพรวดพราด ขายกันยิ้มหวาน 64,604 คัน เพิ่ม 16.5 % ทำเอายอดขายรวม 5 เดือน ขายได้ 295,103 คัน ช่วยให้ตัวเลขที่ติดลบมานาน ลดลงเหลือเพียง -1.7 % เท่านั้นเอง ถือเป็นการเติบโตของตลาดรถยนต์นั่งครั้งแรกในรอบกว่า 36 เดือน นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 ทั้งหมดนี้เป็นเพราะตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตลดลง 17.4 % ส่วนรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 8.5 %
แต่จากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้ทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือน ระมัดระวังเรื่องการลงทุนและใช้จ่าย ทำให้อัตราการเติบโตของยอดขายสะสมยังคงชะลอตัว แต่ก็นับว่าลดลงเกือบเป็นที่น่าพอใจแล้ว เพราะใกล้จะโตเพิ่มขึ้นในอีกไม่นานเกินรอ ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจในประเทศเริ่มมีแนวโน้มที่จะเติบโต ทั้งจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงแรงส่งจากการท่องเที่ยวและบริการ แต่อย่างไรก็ตามความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก รวมถึงการผลิตที่ยังคงทรงตัวในระดับต่ำจากภาวะภัยแล้ง และกำลังซื้อโดยรวมที่ยังไม่ขยายตัว ทำให้ประเมินว่าแนวโน้มตลาดรถยนต์ในเดือนมิถุนายนยังอยู่ในสภาวะทรงตัว แต่เมื่อเข้าหน้าฝน พื้นที่ทางการเกษตรส่วนใหญ่ ผ่านพ้นปัญหาภัยแล้งไปได้ เริ่มมีฝนตก ทำให้น้ำไหลเข้าเขื่อนต่างๆ ทั่วประเทศ สถานการณ์ต่างๆ ก็น่าจะเริ่มเป็นผลดีกับสภาพเศรษฐกิจโดยรวม
แต่ที่น่ายินดีก็เป็นเรื่องของการส่งออก แม้ว่าตลาดโลกจะมีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคทั่วโลก แต่มูลค่าการส่งออกของบ้านเรา โดยเฉพาะรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ที่ต้องถือว่าเป็นอันดับ 2 รองจากสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร คิดเป็น 12.0 % ของมูลค่าทั้งหมด คิดเป็นการเติบโตในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 4.6 % ในขณะที่ภาคการส่งออกโดยรวมของประเทศ หดตัว 4.4 % จากอานิสงส์การส่งออกรถยนต์นั่งที่สูงขึ้นในตลาดออสเตรเลีย อาเซียน และตะวันออกกลาง
ประเด็นหลักของสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมรถยนต์ น่าจะเกี่ยวเนื่องกับราคานน้ำมัน ที่ยังค่อนข้างทรงตัว ทำให้มูลค่าการส่งออกของสินค้าในกลุ่มที่เกี่ยวเนื่อง ยังคงหดตัวอยู่
แต่ปัญหาระดับโลก ที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว คือ การแยกตัวออกจากกลุ่มยูโร ของสหราชอาณาจักร หรือ BREXIT ที่ประชาชนต่างพากันลงมติให้แยกตัวออก น่าจะกระทบทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี 2559 รวมทั้งสัญญาณการฟื้นตัวของอุปสงค์โลกยังคงจำกัด ท่ามกลางความเปราะบางของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ก็เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น
นอกเหนือไปจากความเสี่ยงอุปสงค์ที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้าที่มีอยู่แล้ว การส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี น่าจะได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่คาดว่าจะทยอยปรับตัวสูงขึ้นกว่าระดับในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จะช่วยให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อิงไปกับราคาน้ำมันดิบปรับตัวดีขึ้นไปด้วย แต่ทำให้ความเป็นไปได้ของการคาดการณ์การส่งออกทั้งปี 2559 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 0.0 ลดน้อยลง และประกอบกับผลกระทบจาก BREXIT ผ่านค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิง และยูโรที่อ่อนค่าลง จะมีผลกระทบในช่วงครึ่งหลังของปี น่าจะทำให้ภาพรวมการส่งออกของไทยในปี 2559 คาดว่าจะหดตัวที่ร้อยละ 2.0
แต่ไม่ว่าสภาพของตลาดทั้งตลาดในประเทศ หรือตลาดโลก จะเป็นเช่นไร ต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน ภาครัฐได้ใช้ความพยายามในการผลักดัน และบูรณาการภาคการผลิตของประเทศ ให้ไปในทิศทางที่ผู้ประกอบการสามารถจะปรับตัว เพื่อเตรียมพร้อมในการเพิ่มศักยภาพ และความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นหลักเกณฑ์ในการให้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน ที่เน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายมากขึ้น การผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่เชื่อมต่อและต่อยอดกับภาคอุตสาหกรรม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงภายในภูมิภาค รวมไปถึงการปรับโครงสร้างนโยบายการศึกษาและการจัดการแรงงานของประเทศ
ทำให้ภาครัฐต้องบริหารจัดการในการขับเคลื่อน ให้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน เพื่อยกระดับมาตรฐานของภาคการผลิตไทยไปสู่มาตรฐานโลก อันถือเป็นการสร้างแต้มต่อทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต เพื่อรองรับการเกิดขึ้นของหลากหลายกรอบการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็น TPP RCEP หรือแม้กระทั่งการเจรจาเขตการค้าเสรีเอเชียแปซิฟิค (FREE TRADE AREA OF THE ASIA-PACIFIC หรือ FTAAP) ที่จะทำให้เศรษฐกิจของเราเจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต
ก็ได้แต่หวังว่า ผู้ที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ จะสามารถก้าวตามความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ หรือการปรับตัวเพื่อให้สามารถก้าวสู่ตลาดโลกได้อย่างภาคภูมิใจ ในอนาคตอันใกล้นี้
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2559
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/129557