ร่มไม้ชายศาล
ซื้อรถต้องค้าความ 7 ปี
แฟนๆ คงสังเกตเห็นว่า พักหลังๆ ผมไม่แตะเรื่องการมงการเมือง เพราะอะไร เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อย ซึ่งร้องออกมาเสียงเดียวกัน "มันเซ็งว่ะ" เพราะ "ไม่รู้จะอลหม่านอะไรนักหนา ทำไมชนชาติอื่น คนคอหยักๆ สองแขนสองขาหนึ่งหัวเหมือนกัน เขาไม่เละตุ้มเปะอย่างเรา ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่น ชาวเอเชียนี่แหละ"
นี่ก็อดไม่ไหว ขอแถเข้าไปนิดหนึ่ง เรื่องชาว สนช. พากันตั้งลูกเมียเครือญาติ กินเงินเดือนกินตำแหน่งต่างๆ ใน สนช. ลูกอายุแค่ 20 ปีกว่าๆ ก็ตั้งเข้าไป นานสองนาน สื่ออื่นๆ ไม่ยักเผยออกมา เพิ่งปูดด้วยสำนักข่าวอิศรา อ้างได้ว่าไม่มีข้อห้าม แต่อะไรควรไม่ควร น่าจะรู้ ชาวบ้านงี้เซ็งเป็ดกันทั้งบาง ด้วยความผิดหวัง ในฐานะผู้อาสาเข้ามากอบกู้บ้านเมือง กับ "นายกลุงตู่" แก้ไข หรือปลดออกได้แล้ว รีบทำซะเถิดพ่อคุณแม่คุณ มันไม่งาม ไม่เป็นมงคลแน่นอน อย่าหาว่าขัดคอ รีบแก้ จะได้รับการยกย่อง ขอบอก
ตามมาติดๆ ด้วยคดีความให้หายเครียดอย่างเคย
งานนี้น่าสนใจเชียวละ "นายแบเบอร์" ทำท่าจะโชคดี ซื้อรถป้ายแดงยี่ห้อหนึ่ง(ขออนุญาตอุบชื่อ ตามสไตล์สื่อไทย) ได้ราคาถูกกว่าใครอื่น การซื้อขายไม่ได้มุบมิบ ตกลงกันที่บริษัทที่โชว์รูม กับ "นายผ้าป่า" ผู้จัดการฝ่ายขาย ไม่ใช่เด็กเสิร์ฟกาแฟ ราคา 4 แสนเศษ นายแบเบอร์ วางเงินไว้ก่อน 2 แสนบาท แล้วจ่ายสดอีกในไม่ช้าสำหรับส่วนที่เหลือ ได้รถป้ายแดงไปใช้ตามต้องการ
ชักจะไม่แบเบอร์ซะแล้ว "บริษัท ว.ม.(ไทยแลนด์) จำกัด" ไม่ยอมจดทะเบียนโอนรถให้ ขืนใช้ก็เป็นรถเถื่อน ไปล้งเล้งกับเขา ก็อ้างว่า นายผ้าป่า ไม่มีอำนาจขายราคาถูกๆ ปานทอดผ้าป่า บริษัทจะเจ๊ง ต้องจ่ายเพิ่มอีกสักครึ่งแสน จึงจะโอนรถให้ นายแบเบอร์ ฉุนขาด รีบจ้างทนาย ยื่นฟ้องบริษัทและ นายผ้าป่า เป็นคดีแพ่ง บังคับให้จดทะเบียนโอนรถให้ตน พร้อมจ่ายค่าขาดประโยชน์ในการใช้รถตั้งแต่ซื้อไป 6 หมื่นบาท และอีกวันละ 2 พันบาท จนกว่าจะเสร็จเรื่อง ยังมีค่าเช่ารถคนอื่นมาใช้อีก 1 หมื่น 6 พันบาท และเช่าต่อไปอีกอาทิตย์ละหน เขาคิดวันละ 2 พันบาท
จำเลยที่ 1 คือ บริษัทขายรถสู้แหลก อ้างนั่นนี่ขอให้ยกฟ้อง แถมยังศอกกลับ ฟ้องแย้ง บังคับให้ นายแบเบอร์ คืนรถในสภาพใหม่ คืนไม่ได้ใช้เงิน 447,000 บาท และจ่ายค่าเสียหายวันละ 1 พันบาท นับแต่วันเอารถไป คือ วันที่ 10 พย. 2548 จนถึงวันฟ้องรวม 78 วันเป็นเงิน 78,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย นายแบเบอร์ ไม่ยักแก้ฟ้องแย้ง
จำเลยที่ 2 คือ นายผ้าป่า นั้นติดคุก เพราะบริษัทฟ้องคดีอาญา ฐานเอารถไปขายให้ นายแบเบอร์ แล้วเอาเงินเข้ากระเป๋า จึงไม่ขึ้นศาล ไม่สู้คดีนี้
ศาลชั้นต้นนั่งบัลลังก์ มาดนิ่งตามสไตล์ตุลาการ ฟังพยานสองฝ่ายจนได้ที่ แล้วตัดสินให้บริษัท ไปขอจดทะเบียนรถกับนายทะเบียน แล้วมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถพิพาทให้ นายแบเบอร์ ขัดขืนให้ถือเอาคำตัดสินของศาลแทนการแสดงเจตนาของบริษัท ให้บริษัทจ่ายค่าขาดประโยชน์วันละ 1 พันบาท นับแต่วันที่เขาได้รถไป จนกว่าจะจดทะเบียนโอนให้เขา แต่รวมแล้วไม่เกิน 6 หมื่นบาท ส่วนฟ้องแย้งของบริษัทฟังไม่ขึ้น ให้ยกเสีย
บริษัทยื่นอุทธรณ์ เชื่อว่ามีทางชนะ ในเมื่อลูกน้องลักรถไปขาย จนต้องติดตะราง
ศาลอุทธรณ์ดูแต่สำนวนแล้ว พิพากษาแก้นิดๆ หน่อยๆ นายแบเบอร์ ชนะเหมือนเดิม เพราะพยาน หลักฐานที่มีไม่ปรากฏว่า นายแบเบอร์ ซื้อรถโดยไม่สุจริต
บริษัทขายรถไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ดิ้นรนจนมีผู้พิพากษาศาลแรกท่านหนึ่ง เซ็นอนุญาตให้ฎีกา เพื่อพลิกกลับมาชนะให้จงได้
ศาลฎีกางานไม่ขาดมือ กัดฟันฮึดสู้ คว้าสำนวนคดีนี้ที่มาถึงคิว ส่องดูแล้วชี้ขาดด้วยความชำนาญดังนี้
ข้อแรก นายแบเบอร์ ซื้อรถโดยสุจริตไหม อีแง่นี้บริษัทเถียงว่าไม่สุจริต เพราะซื้อกับ นายผ้าป่า ซึ่งไม่มีอำนาจขาย จ่ายเงินจองเยอะจัด เกินครึ่งของราคา แถมโอนเงินเข้าบัญชี นายผ้าป่า ไม่มีใบเสร็จรับเงิน ราคาถูกกว่าท้องตลาดซะขนาดนั้น แสดงว่าสมคบกับ นายผ้าป่า ทำใบจองเท็จ นายผ้าป่า ได้อามิศสินจ้าง ได้รถไปโดยทุจริต ฝ่าย นายแบเบอร์ กับลูกชายยันว่า ไปซื้อที่บริษัทสาขา...ติดต่อกับ นายผ้าป่า ผู้จัดการฝ่ายขาย ได้ราคาและวางเงินจอง ได้ใบจองพร้อมนามบัตร ส่วนที่เหลือก็จ่ายครบ โดยโอนเงินเข้าบัญชี นายผ้าป่า ด้วยความไว้ใจ นายผ้าป่า มอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนกับรายละเอียดเกี่ยวกับตัวรถ และได้รถมา นอกจากนั้นยังมีพยานเคยซื้อรถที่บริษัท โดยติดต่อกับ นายผ้าป่า นั่นแหละ ไปเป็นเพื่อนด้วยตอน นายแบเบอร์ ซื้อรถ ศาลยันว่า บริษัทกล่าวอ้างลอยๆ ว่าเขางุบงิบขายรถถูก ไม่สุจริต แต่ไม่มีพยานหลักฐานชี้ชัดว่า เขาสมคบกันหรือทำใบจองเท็จ อีกทั้ง นายแบเบอร์ กับ นายผ้าป่า ก็ไม่รู้จักกันมาก่อน มีเพื่อนบ้านแนะนำให้ไปซื้อ การวางเงินจองไม่มีใบเสร็จ แต่ก็มีหลักฐานการโอนเงินมายัน คนซื้อไม่เคยเห็นประกาศของบริษัทว่าจะชำระเงินอีแบบไหน เขาไปที่บริษัทแท้ๆ จะมาโมเมว่าไม่ได้ซื้อที่บริษัท เพราะไม่มีใบเสร็จ ฟังไม่ขึ้น เอาเข้าจริงๆ ซื้อขายกันราคา 443,000 บาท ใกล้เคียงราคาปกติของบริษัท คือ 447,000 บาท
สำหรับส่วนลดและของแถมเป็นเงินราว 1 แสนบาท เป็นข้อเสนอของคนขายเพื่อจูงใจลูกค้า การที่บริษัทห้ามตัวแทนให้ส่วนลดและของแถมเกินกว่า ๕ พันบาท คนซื้อเขาไม่รู้ด้วย แม้บริษัทจะเล่นงานคดีอาญา นายผ้าป่า ฐานลักรถ
ไปขาย จนศาลเอา นายผ้าป่า เข้าคุก บังคับให้คืนรถหรือใช้ราคา ก็ไม่ปรากฏว่า นายแบเบอร์ สมคบ บริษัทก็ไม่ได้ฟ้อง นายแบเบอร์ ด้วย นายแบเบอร์เป็นลูกค้าเป็นบุคคลภายนอก ซื้อโดยสุจริต บริษัทไม่ควบคุมคนของตนต่างให้ดี จะยกมาเป็นข้ออ้าง ให้คนซื้อรับเคราะห์ไม่ได้หรอก พฤติการณ์แห่งคดี ฟังไม่ได้ว่า นายแบเบอร์ สมคบกับ นายผ้าป่า ซื้อรถโดยไม่สุจริต ฎีกาของบริษัทฟังไม่ขึ้น
เมื่อทางปฏิบัติของบริษัท ซึ่งเป็นตัวการ มีมูลเหตุทำให้ นายแบเบอร์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เชื่อว่าการขายรถของ นายผ้าป่า ผู้เป็นตัวแทน มีสิทธิให้ส่วนลดและของแถม การรับเงินแทนบริษัท ก็อยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทน ดังเช่นที่นายผ้าป่า เคยรับเงินค่าจองจากลูกค้าอื่น ที่เขามาเป็นพยานให้ นายแบเบอร์ และไม่มีปัญหาใดๆ บริษัทซึ่งเป็นตัวการจึงต้องรับผิดต่อ นายแบเบอร์ ผู้สุจริต บริษัทดิ้นไม่หลุด ต้องโดนรถจดทะเบียนให้เขาไปแต่โดยดี
ศาลฎีกายอมเมื่อยตอนแก่อีกหน พิพากษายืนตามที่ศาลอุทธรณ์ว่าไว้
หนักใจ ไปซื้อรถแล้วมีปัญหา ฟ้องกันแทบตาย ใช้เวลาราว 7 ปี กว่าจะได้ทะเบียนรถ อีแบบนี้มิต้องไปตามหาผู้จัดการใหญ่ สำนักงานใหญ่ ถึงจะมั่นใจ ก็จะบ้ากันใหญ่ เอางี้สิบริษัทติดป้ายขนาดเบ้อเริ่มเทิ่ม บอกลูกค้าตั้งแต่ทางเข้า ว่าจะต้องซื้อกับมนุษย์คนไหน รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง ชาวบ้านจะได้ไม่ตกที่นั่งซวย อย่างนายแบเบอร์
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15911/2555
คดีรถ ตีพิมพ์ใน"ฟอร์มูลา" ส่งไป ๑ มี.ค.๒๕๕๘
เรื่องโดย : จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2558
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/12922