รู้ไว้ใช่ว่า
"ลูกหลานใช้รถ !"
สมัยเรียนหนังสือ ได้ขี่รถจักรยานที่คุณพ่อกัดฟันซื้อให้ ยี่ห้อเลิศในยุคนั้น คือ RALEIGH จากประเทศอังกฤษ เป็นของบริษัทผลิตจักรยานเก่าแก่ที่สุดของโลก ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2430 ตรงกับสมัยพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ 5 ของสยาม) ถึงปี 2462 หรือ 90 กว่าปีที่แล้ว ร้าน "เซ่งง่วนฮง ตลาดน้อย" เป็นผู้นำเข้า มีการติดตราเซ่งง่วนฮง ที่แกนท่อบนของจักรยาน RALEIGH ทุกคัน ราคาใช่ย่อย 800-1,200 บาท/คัน ซื้อทองคำได้หลายบาทในตอนนั้น ปรากฏว่ายืดได้ไม่เบา ครั้นเมื่อรถมอเตอร์ไซค์เข้ามายึดพื้นที่ บทบาทรถจักรยานก็โรยรา ส่วนร้านเซ่งง่วนฮง เขาเจริญก้าวหน้า ทายาทผันตัวไปทำธุรกิจรถยนต์ มิตซูบิชิ สืบมา (ขอบคุณข้อมูลจากอินเตอร์เนท)
ถึงยุคนี้ นอกจากมอเตอร์ไซค์แล้ว นักเรียน นักศึกษา เขาใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นว่าเล่น ตั้งแต่รถกระบะ รถเก๋ง ไปจนถึงรถหรู ชนิดที่มนุษย์เงินเดือนทั่วๆ ไป ค้อนขวับๆ กว่าตูจะมีอีโคคาร์ หรือกระบะเก่าๆ มาใช้ เหงื่อตกกีบ เซ็งว่ะ
คดีนี้สอนให้รู้ว่า การให้ลูกหลานใช้รถยนต์ โดยไม่ตรวจสอบพฤติกรรม ว่าดีร้ายยังไง สูญรถทั้งคันได้เชียวนะจะบอกให้
"นายหาเก็บ" แกได้ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เพื่อเป็นมงคล ไม่ใช่หมอดูจูงใจให้เปลี่ยนตอนหลัง ก็หาเก็บจนสามารถซื้อรถกระบะใหม่ มาใช้ภายในบ้าน เจ้าลูกชาย คือ "นายยูทูบ" กำลังเป็นนักศึกษา ไม่รอช้า คว้าไปเรียนหนังสือ เพื่อให้ทัดหน้าเทียมตาเพื่อนๆ ไปซื้อข้าวของ ไปธุระนั่นนี่ได้สบายๆ พ่อแม่ไม่หวงห้าม หรือห้ามไม่ได้ซะมากกว่า
ลูกชายอยากหาเก็บเหมือนพ่อกระมัง เล่นแบบขึ้นทางด่วน รวยลัด ริอ่านขายยาบ้า แล้วตำรวจตะครุบตัวได้พร้อมยึดรถกระบะ เป็นของกลาง ขึ้นศาลก็ไม่รอด ศาลตัดสินเอาเข้าคุก
อัยการผู้เป็นโจทก์ในคดียาเสพติด ร้องขอให้ศาลริบรถยนต์ ตาม พรบ. มาตรการในการปราบปรามผู้ กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พศ. 2534 มาตรา 30 วรรค 3 ศาลลงประกาศในหนังสือพิมพ์ให้ผู้ที่อ้างเป็นเจ้าของ มายื่นคำร้องขอคืน แต่จะคืนหรือไม่ยังไง ต้องดูพยานหลักฐานกันก่อนนะเออ
นายหาเก็บ ทราบเหตุถึงกับหน้าดำ ไม่ต้องโดนดินหม้อ จ้างทนายยื่นคำคัดค้านของอัยการว่า ริบไม่ได้หรอก รถเป็นของผม มีเอกสารยืนยัน ลูกยังเรียนหนังสือ มันเอาไปใช้โดยพลการ ไปค้ายาบ้าโดยพ่อแม่ไม่รู้เรื่อง สาบานได้
ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานหลักฐานแล้ว มีคำสั่งริบรถกระบะของกลาง ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
นายหาเก็บ ทีนี้หน้าจืด ให้ทนายยื่นอุทธรณ์ เพื่อลุ้นต่อไป แต่ลุ้นไม่ขึ้น
ศาลอุทธรณ์อ่านเฉพาะสำนวน แล้วพยักหน้าเอาด้วยกับศาลชั้นต้น พิพากษายืน ไม่คืนรถกระบะของกลางให้ นายหาเก็บ
นายหาเก็บ ฟังชื่อแล้วน่าสงสาร ถึงขั้นนี้แกหน้ามืดเชียวละ กัดฟันจ้างทนายเล่นเกมยาว ยื่นฎีกา ดิ้นเฮือกสุดท้าย ว่าจะได้รถคืนมาไหมหนอ
ศาลฎีกาก็กัดฟันคว้าสำนวนที่มาถึงคิว ส่องดูด้วยความเมื่อยขบ เพราะงานแยะ กระทั่งเกษียณนั่นแหละ แล้วชี้ขาดออกมาว่า นายยูทูบ ชื่อทันสมัย แต่หากินไม่พ้นคุก ใช้รถกระบะของกลาง นำยาบ้าไปส่งให้ผู้ซื้อ รถยนต์จึงเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ยานพาหนะและทรัพย์สิน ซึ่งนำมาใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และใช้เป็นอุปกรณ์ ให้ได้ผลในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ทีนี้ตาม พรบ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พศ. 2534 มาตรา 30 วรรค 3 นายหาเก็บผู้คัดค้าน ต้องนำสืบพิสูจน์ให้ได้ว่า ไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่า จะมีการกระทำความผิด จะมีการนำทรัพย์สินของกลางไปใช้ในการกระทำความผิด หรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด แต่จากการนำสืบของ นายหาเก็บ ได้ความว่า นายยูทูบ ขับรถไปเรียนหนังสือตอนเช้า กลับบ้านตอนเย็นเป็นประจำ หาก นายยูทูบ มีธุระหรือจะไปซื้อของ ก็นำรถไปใช้ได้โดย นายหาเก็บ ผู้เป็นพ่อไม่หวงห้าม ไม่ต้องขออนุญาต ทั้งๆ ที่ นายยูทูบ ยังเป็นนักศึกษา อาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับพ่อ ถ้ามีการสอบถามหรือสังเกตถึงพฤติกรรมการใช้รถ ว่าจะมีการนำไปใช้ในกิจการใด ที่ไหน อย่างไร ย่อมจะทราบถึงพฤติกรรม ว่าข้องเกี่ยวกับการขายยาบ้าไหม การนำสืบของ นายหาเก็บ แค่อ้างว่าเป็นเจ้าของรถ ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการทำผิดของลูกชาย แค่ลอยๆ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ข้ออ้างตามกฎหมายได้ ฎีกาของ นายหาเก็บ ฟังไม่ขึ้นหรอกนะ
ศาลฎีกาเสียใจ ต้องพิพากษายืน ตามที่ศาลล่างเค้าว่าไว้ ริบรถของ นายหาเก็บ ไม่คืนให้เด็ดขาด
คดีนี้เป็นบทเรียนของพ่อแม่ผู้ปกครอง ต้องสอดส่องพฤติกรรมของบุตรหลานบ้าง ว่าเอารถหรือเรือไปทำอะไร มีการใช้เงินทองยังไง ทั้งๆ ที่แบมือขอเงินเป็นประจำ ทำไมอู้ฟู่ผิดปกติ มีการคบหาคนแปลกหน้า ท่าทางลับๆ ล่อๆ เห็นตำรวจแล้วผวา จะได้หาทางป้องกัน เช่น ไม่ให้เอารถหรือเรือไปใช้ จนโดนริบอย่างคดีนี้
เออ ถ้าไม่ใช่ นายหาเก็บ แต่เป็น นายเงินถัง หรือตงตัน มีเงินร้อยกว่าล้าน มากองล่อใจ ให้คนไทยดื่มน้ำตาลเป็นว่าเล่น สุขภาพเป็นไง ช่างเขา ก็ไม่มีปัญหา ในเมื่อแจกรถ (ก็เงินของชาวบ้านนั่นแหละ) ขนาดนั้น อ้อ ถ้าเปลี่ยนแนวเป็น รางวัลยกให้กิจกรรมสาธารณประโยชน์ทั้งหลาย เช่น ช่วยโรงพยาบาลของรัฐ คงไม่มีใครค่อนติงนัก ว่าไหม
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16224/2555
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2558
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/12788