โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ที่จะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 อธิบายภาพรวมได้ง่ายๆ ว่า ยังคงแยกประเภทรถเหมือนเดิม แต่ไม่แยกขนาดเครื่องยนต์ ยกเว้นรถที่มีขนาดเกิน 3,000 ซีซี ทุกประเภท จะต้องเสียภาษีอัตราสูงสุด 50 เปอร์เซนต์ส่วนรถที่มีความจุเครื่องยนต์ไม่เกิน 3,000 ซีซี จะใช้ปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นตัวกำหนดอัตราภาษี โดยรถไฮบริดที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต่ำกว่า 100 กรัม/กม. จะเสียภาษีต่ำสุดเพียง 10 เปอร์เซนต์ ส่วนอีโคคาร์ ปล่อยไอเสียต่ำกว่า 100 กรัม/กม. เสียแค่ 12 เปอร์เซนต์ รถเก๋งทั่วไปต่ำกว่า 150 กรัม/กม. เสีย 30 เปอร์เซนต์เท่าโครงสร้างเดิม แต่ต้องติดตั้งระบบเอบีเอส และวีเอสซี (ระบบควบคุมการทรงตัว VSC: VEHICLE STABILITY CONTROL) ด้วย พิคอัพ แบบไม่มีแคบ ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่า 200 กรัม/กม. เสียภาษี 3 เปอร์เซนต์เท่าเดิม ถ้ามีแคบ เสีย 5 เปอร์เซนต์ 4 ประตู เสีย 12 เปอร์เซนต์ เหตุผลเพราะรัฐต้องการให้คนใช้งานตรงตามประเภทรถพีพีวี ที่ปีนี้มีรุ่นใหม่ๆ ออกมามาก พอถึงปีหน้า ภาษีจะขึ้นจาก 20 เปอร์เซนต์ เป็น 25 และ 30 เปอร์เซนต์ ตามปริมาณไอเสียที่ต่ำ หรือสูงกว่า 200 กรัม/กม. กระทรวงการคลัง บอกว่า โครงสร้างภาษีใหม่ นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชนแล้ว ยังสร้างความเป็นธรรมในการเสียภาษีให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมเชื่อว่า โครงสร้างภาษีใหม่ จะมีส่วนผลักดันให้ทิศทางการผลิตรถยนต์บ้านเราสอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ที่เน้นคุณสมบัติด้านความสะอาด ประหยัด และปลอดภัย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสนใจสูงสุดย่อมไม่ใช่เรื่องทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ หรืออากาศที่บริสุทธิ์ แต่เป็นเรื่องที่ว่า รถรุ่นไหนจะแพงขึ้นหรือถูกลงหลังเริ่มใช้โครงสร้างภาษีใหม่ เรื่องรถประเภทไหน รุ่นไหนจะแพงขึ้นหลังวันที่ 1 มกราคม 2559 ดูจากโครงสร้างภาษีใหม่ก็พอคาดเดาได้ไม่ยาก แต่รุ่นไหนจะถูกลง ขอบอกว่าอย่าไว้ใจพ่อค้าเป็นอันขาด เพราะยังไม่ทันไร หลายรายก็ "แบะท่า" ออกมาแล้วว่า การทำให้รถปล่อยไอเสียน้อยลงต้องใช้เทคโนโลยีขั้นเทพ ซึ่งหมายถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ฉะนั้น ไม่เพียงราคาจะไม่ต่ำลง ยังอาจสูงกว่าเดิมอีกต่างหาก เข้าใจตรงกันนะครับ !