ประสาใจ
นางโมรา ฤาไฉน
"นิทานเวตาล" พระนิพนธ์ของ น.ม.ส. (พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์) เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของนักเรียนเช่นเดียวกับ "จดหมายจางวางหร่ำ" และ "สามกรุง" ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ น.ม.ส. เช่นกัน และได้รับความนิยมอ่านกันมาโดยตลอดวันนี้ ผมขอเรียบเรียงนิทานเรื่องที่ 4 มาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งเรื่องนี้เวตาลยืนยันว่า เป็นเรื่องจริงสปริงนิวส์ ...กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีพ่อค้าคนหนึ่งชื่อ หิรัณยทัตต์ เป็นพ่อค้าธรรมดาไม่ได้ใหญ่โตถึงขนาดบริษัทมหาชน แต่ก็เป็นที่เลื่องลือคนรู้จักมาก เพราะมีลูกสาวคนหนึ่ง สวยยิ่งกว่านางงามจักรวาล ชื่อ นางมัทนเสนา เวตาลกลัวว่า พระวิกรมาทิตย์จะไม่เชื่อว่าสวยจริง จึงพรรณนาความงามของนางว่า เรือนผมดังปุยเมฆ, ดวงตาแม้นชะมด, คิ้วก็ดุจดังธนูที่ขึ้นสายแล้ว, จมูกเหมือนปากนกแก้ว, ฟันก็งดงามประหนึ่งผลทับทิม, ผิวคล้ายมะลิ (ไม่ใช่น้องมะลิของพี่ปอนะ) ครั้น นางมัทนเสนา จำเริญวัยสมควรมีเรือน ความงดงามก็ยิ่งเปล่งปลั่ง เป็นที่เล่าลือ จนมีบุรุษเพศหลายรายส่งภาพวาดรูปของตนมาถึงพ่อค้าซาเล้งคนนี้ พ่อค้าเอารูปวาดทั้งหมดให้ลูกสาวเลือก ลูกสาวไม่สบอารมณ์กล่าวกับบิดาว่า "ขอท่านบิดา เลือกชายที่มีรูปงาม มีคุณธรรม และมีความคิดบรรเจิด" เป็นคำขอที่ไม่เยิ่นเย้อ แต่มันยากเหมือนลงไปหาเข็มใต้มหาสมุทร เรื่องนี้เวตาลเล่าว่า ทำให้องค์กามเทพเดือดร้อน ต้องส่งมานพทั้ง 4 คนมาพบ มานพทั้ง 4 คนล้วนมีรูปงาม แต่คุณธรรมกับความคิดเป็นไฉน หิรัณยทัตต์ อยากรู้ มานพคนที่หนึ่งขึ้นไปยืนบนโพเดียมแสดงวิสัยทัศน์เป็นคนแรก "ข้าพเจ้ามีความรู้ในพระศาสตร์ ยากที่จะหาผู้เสมอมิได้" "ข้าพเจ้ามีความรู้ในการยิงธนู" มานพคนที่ 2 กล่าว "สามารถแผลงศรไปฆ่าสัตว์ที่ข้าพเจ้าไม่เห็นได้ โดยหมายยิงตรงเป้าด้วยการฟังเสียงของมันเท่านั้น" มานพคนที่ 3 กล่าวช้าๆ "ข้าพเจ้ามีความรู้หลายภาษา รู้ทั้งภาษาสัตว์น้ำและสัตว์บก รวมถึงภาษานก และภาษามฤค ไม่มีชายใดเสมอข้าพเจ้า" "ข้าพเจ้ามีความรู้ในการทอผ้าซึ่งสามารถแลกทับทิมได้ 5 เม็ด" มานพคนที่ 4 กล่าว "เมื่อขายผ้าได้ทับทิมมาแล้ว ข้าพเจ้าจะแบ่งทับทิมเม็ดหนึ่งให้แก่พราหมณ์เป็นทาน เม็ดที่ 2 ถวายเป็นเครื่องบูชาเทวดา เม็ดที่ 3 ข้าพเจ้าจะเก็บไว้ประดับตัวเอง เม็ดที่ 4 มอบให้ภรรยาเป็นเครื่องประดับ ส่วนเม็ดที่ 5 จะนำไปขายเอาเงินมาเลี้ยงแขก" หิรัณยทัตต์ ฟังแล้วก็นำความไปบอกลูกสาว "ชายที่รู้ศาสตร์ เป็นพรามหณ์, ชายที่แผลงศรฆ่าสัตว์อยู่ในวรรณะกษัตริย์, ชายที่มีวิชาทอผ้าอยู่ในวรรณะศูทร ส่วนชายที่รู้ภาษาสัตว์เป็นคนวรรณะเดียวกันกับเรา ดังนั้น จงสมรสกับชายที่อยู่วรรณะเดียวกับเราเถิด" ลูกสาวก็ตามใจเตี่ย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็น "หมวยขาว-สาวอึ๋ม" หิรัณยทัตต์ จึงเตรียมงานวิวาห์ ระหว่างนั้นเป็นวสันตฤดู ฝนตกต้องตามฤดูกาลไม่ร้อนจับฉ่ายเหมือนวันที่ข้าพเจ้าปั่นต้นฉบับ นางมัทนเสนา เดินชมดอกไม้ในสวน ได้พบ โสมทัตต์ บุตรท่าน ธรรมทัตต์ กลับจากล่าสัตว์ผ่านมาเห็นสาวงาม ก็คุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ตรงเข้าไปจับมือนางแล้วกล่าวว่า "ข้ารักนางเหลือที่จะระงับสติได้ แม้นนางไม่รักข้า ข้าก็จะทอดทิ้งชีวิต เสีย ณ บัดนาว" นางเห็น โสมทัตต์ เป็น "จิ้งจอกสยาม NEVER QUITS" ความเป็นผู้กล้าของ โสมทัตต์ ต้องใจนาง จึงมองข้ามความเป็นคนแปลกหน้ากล่าวว่า "ขอท่านอย่าสละชีวิตเลย การฆ่าตัวตายนั้นเป็นอกุศลกรรม และข้าพเจ้าจะพลอยได้บาป" โสมทัตต์ ตื่นใจกับคำกล่าวของนาง ตอบว่า "คำอ่อนหวานของนางทะลุใจข้าพเจ้าสิ้นแล้ว ความรักเกินประมาณการรู้ผิดรู้ชอบ หากนางปรารถนาให้ข้ามีชีวิตต่อไป ก็จงสัญญาสักข้อหนึ่งเถิด" นางมัทนเสนา จึงเผยว่า "อีก 5 ราตรีจะถึงวันวิวาห์ของข้าพเจ้า ถ้าท่านไม่ฆ่าตัวตาย ข้าพเจ้าขอสัญญาว่า ถึงวันนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจะไปหาท่านก่อนค่อยกลับมาอยู่กับสามี" เมื่อคนทั้งสองลงนาม MOU เรียบร้อย ก็แยกทางกลับเรือน ถึงวันวิวาห์ เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ ลงทุนมากกว่าค่าตัว เจมี วาร์ดี ดาวยิง เลสเตอร์ ซิที แชมพ์พรีเมียร์ 2016 ที่มีค่าตัว 1 ล้านปอนด์จาก ฟลีทวูด ทาวน์ ทีมนอกลีก และเป็นงานเลี้ยงที่แพงมาก แต่ไม่มีแขกบ่นว่ากระไรแม้แต่คนเดียว เสร็จพิธี ก็ส่งตัวเจ้าสาว ครั้นผู้ทำพิธีออกจากห้องไปแล้ว เจ้าบ่าวก็เล้าโลมเจ้าสาว แต่เจ้าสาวผลักไสมิใช่ด้วยจริตแต่เล่าเรื่องที่สัญญากับ โสมทัตต์ เจ้าบ่าวเป็นคนที่มีความเชื่อว่า ก่อนพูดเราเป็นนาย แต่พูดแล้วคำพูดนั้นเป็นนายเรา จึงอนุญาตให้เจ้าสาวไปหา โสมทัตต์ ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในเครื่องประดับมีราคา นางมัทนเสนา มุ่งหน้าเดินไปเรือน โสมทัตต์ ระหว่างทางพบโจรคนหนึ่ง ซึ่งไม่น่าใช่ องคุลีมาล เพราะบรรพชาไปแล้ว และก็คงไม่ใช่โจรป่าในเรื่อง "จันทโครพ" แห่งกรุงพาราณสี เพราะนางไม่ได้เป็นนางเอกกระเด้งออกมาจากผอบแก้ว โจรถามเลียนแบบ องคุลีมาล "นางมาฉายเดี่ยวเวลาสองยาม แต่งกายด้วยภัสตราภรณ์ล้ำค่าเช่นนี้ จะไปที่ใดหรือ ?" นางตอบตามความจริง "ข้าจะไปเรือนแห่งชายที่ข้ารัก" และวิงวอน "ท่านอย่าทำลายเพชรพลอยเครื่องประดับของข้าเลย ข้าขอสัญญากับท่านว่า เมื่อกลับมา ข้าจะให้สิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดแก่ท่าน" โจรผู้นั้น ไม่ทราบชื่อเรียงเสียงไร จะว่าเป็น "เสือใบ" ก็คงไม่ถูก เพราะเป็นโจรที่ชอบผู้หญิงสวยงาม คงไม่ใช่เสือใบแน่ แต่น่าจะมีสติปัญญาพอสมควรแก่การเป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญสักหนึ่งเก้าอี้ เพราะเมื่อฟังนางแล้วก็ตกลงตามนั้น นางมัทนเสนา ไปถึงเรือนของ โสมทัตต์ เป็นเวลาที่ โสมทัตต์ หลับอยู่ ครื้นตื่นขึ้นเห็นนางก็ตกใจ สั่นกลัวกระโจนออกจากที่นอน "นางคือใคร" โสมทัตต์ ระรัวเสียง "เป็นเทพธิดา หรือนางไม้ แลมาหาข้าด้วยประสงค์ใด เร่งแจ้งมาเถิด" นางมัทนเสนาก็ต้องย้อนความเล่าให้ฟัง โสมทัตต์ ค่อยคืนสติ ถามนางว่า นางได้บอกเรื่องนี้ให้สามีทราบอย่างนั้นรึ "เล่าให้ฟังตลอด สามีข้าพเจ้ารอบรู้เหตุการณ์เป็นอย่างดี จึงยอมให้ข้าพเจ้ามาพบท่าน" โสมทัตต์ คืนสติปัญญารู้แจ้ง กล่าวกับนางว่า "กลับบ้านเสียเถิด นางเป็นภริยาของชายอื่นแล้ว ข้าหมดจิตผูกพัน" เมื่อได้ฟังดังนั้น นางมัทนเสนา ก็กลับบ้าน ระหว่างทางพบโจรนั่งคอยอยู่ จึงเล่าเรื่องให้ฟังและเตรียมถอดเครื่องประดับมอบให้ตามสัญญา โจรเป็นผู้มีความรู้ในของ 6 สิ่งที่บันดาลให้มานพทั้งหลายกลายเป็นคนต่ำช้า คือ ไมตรีกับคนไม่มีสัตย์, หัวเราะโดยไม่มีเหตุ, ทะเลาะกับผู้หญิง, รับใช้เจ้านายที่ไร้คุณค่าความเป็นเจ้านาย, ขี่ลาไม่มีเหตุผล และ พูดภาษาซึ่งมิใช่ ภาษาสันสกฤต ด้วยประการฉะนี้ โจรจึงไม่รับเครื่องประดับจากนาง กลับสรรเสริญนาง แล้วออกปากเชิญนางกลับสู่เรือนสามี นางมัทนเสนา กลับถึงเรือนเล่าให้สามีฟังโดยตลอด สามีมีท่าทางเฉยชาเพราะสิ้นความรักที่มีต่อนาง ด้วยตระหนักในความคิดที่ว่า ...นกกาเหว่างามเพราะเสียง คนขี้ริ้วงามเพราะความรู้ โยคีงามก็เพราะไม่ถือโทษผู้อื่น ส่วนอิสตรีนั้นหรือ จะงามได้ก็ด้วยความบริสุทธิ์เท่านั้นฯ... เวตาลเล่าถึงตอนนี้ ก็คั่นโฆษณา...เอ้ย...ถามพระราชา (พระวิกรมาทิตย์) ว่า "สามหนุ่มสามชายนั้น คนไหนคือยอดคน" พระราชาตรัสว่า "โจรคือยอดคน" ทรงอธิบายว่า "ชายผู้เป็นสามี เมื่อรู้ว่าเมียรักชายอื่นก็สิ้นเสน่หา ส่วน โสมทัตต์ ไม่กล้าเพราะกลัวกฎหมายบ้านเมือง ส่วนโจรเป็นผู้ไม่กลัวลุงตู่...เอ้ย...ไม่กลัวกฎหมาย" "แล้วไง ?" "การที่โจรยอมให้นางกลับบ้านไม่ใช่เป็นเพราะกลัวภัยอันใด ด้วยเหตุนี้แหละ โจรจึงมีธรรมเหนือคนอื่น"
เรื่องโดย : ข้าวเปลือก
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2559
คอลัมน์ Online : ประสาใจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/124146