พิเศษ(formula)
หลบร้อน ไปนอนแพ
จะหน้าร้อน หน้าฝน หรือหน้าหนาว การได้นอนริมน้ำ ลมพัดโชยเย็นๆ นับเป็นสวรรค์ชั้นเลิศของการพักผ่อน "ฟอร์มูลา" ชวนคุณไปนอนแพ พร้อมเที่ยวเมืองสามหมอก ดินแดนสามวัฒนธรรมสุดโรแมนทิค ที่ อ. สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี
อากาศยามเช้าเย็นสบาย
มองเห็นไอหมอกจางๆ ไหลตามสายลมเอื่อยๆ บนผิวน้ำ
นกบินเหินเวหาตัดแสงอาทิตย์ สีทองอ่อน ดูงดงาม
การเดินทางครั้งนี้ ผมถือโอกาส ทดลองขับรถ ซังยง โครันโด เอสยูวี หน้าตาดี จากแดนโสม ที่เพิ่งทำศัลยกรรมมาใหม่ทั้งภายนอกและภายใน เมื่อไม่นานมานี้ จนสวยงามขึ้นจากรุ่นก่อนอย่างผิดหูผิดตา
เราออกเดินทางจากกรุงเทพ ฯ ถึง อ. สังขละบุรี เป็นระยะทางกว่า 350 กม. ช่วง 75 กม. สุดท้าย เป็นช่วงที่ผู้ขับต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ พาหนะที่ใช้ต้องมีความสมบูรณ์พร้อม เนื่องจากเป็นทางแคบที่คดเคี้ยวและลาดชัน แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับ ซังยง โครันโด ไม่ว่าจะโค้งกว้าง โค้งแคบ หรือโค้งตัวเอส ก็เอาอยู่ทุกโค้ง คงต้องยกความดีให้กับทีมวิศวกร ที่เซทช่วงล่างมาเป็นอย่างดี มีอาการโคลงตัวน้อย โดยทำงานผสานกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบฟูลล์ไทม์ (AWD) เครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร 175 แรงม้า มีแรงบิดในรอบต่ำที่ดี ทำงานผสานเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ได้อย่างนุ่มนวล ทำให้การเดินทางในช่วงที่ว่าหิน กลายเป็นสนามหญ้าไปโดยปริยาย
เรามาถึงสังขละบุรี ในช่วงเย็น ที่พักในเมืองนี้มีหลายแบบให้เลือก ตั้งแต่ห้องพักราคาหลักร้อย จนถึงโรงแรม หรือรีสอร์ทหรูราคาหลายพันบาท แน่นอนครับ ความตั้งใจของผมในครั้งนี้ คือ ต้อง "นอนแพ" ท่ามกลางสายน้ำซองกาเลีย
แพพักริมน้ำใกล้สะพานมอญมีมากมาย ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 600-2,500 บาท แล้วแต่ขนาดและอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ผมเลือกพักที่ "แพซองกาเรียน้อย" หรือ "แพลุงบุญ" เพราะอยู่ใกล้กับสะพานมอญที่สุด นอกจากบรรยากาศและการบริการที่ดีแล้ว ที่นี่ยังมีเรือนำเที่ยวไว้บริการในราคาเป็นกันเองอีกด้วย
หลังจากนอนแพจนหน่ำใจ ผมรีบชิงตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น มุ่งหน้าสู่สะพานมอญ หรือสะพานอุตตมานุสรณ์ เพื่อหวังจะได้เห็นแสงแรกของวันใหม่ กลางผืนแม่น้ำซองกาเลีย รวมถึงวิถีชีวิตยามเช้าของคนที่นี่
อากาศยามเช้าเย็นสบาย มองเห็นไอหมอกจางๆ ไหลตามสายลมเอื่อยๆ บนผิวน้ำ นกบินเหินเวหา ตัดกับแสงอาทิตย์สีทองอ่อน ดูงดงามยิ่งนัก ช่วงเช้าบนสะพานมอญจะดูคึกคักเป็นพิเศษ ทั้งนักท่องเที่ยว พระภิกษุ รวมถึงพี่น้องชาวไทย มอญ กะเหรี่ยง ฯลฯ ต่างเดินขวักไขว่ไปมา เป็นสัญญาณชีวิตของวันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว ผมนั่งมองดูอยู่ห่างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะขอเก็บภาพเหล่านี้ไว้ในความทรงจำ
สะพานประวัติศาสตร์แห่งนี้ หลวงพ่ออุตตมะ ได้ระดมแรงกายจากชาวมอญที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น ดำน้ำลงไปตัดซากไม้ใต้น้ำ ก่อนนำมาสร้างสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เพื่อให้คนไทย กะเหรี่ยง และชาวมอญได้ใช้สัญจรไปมาหาสู่กัน
บนสะพานมอญแห่งนี้ สามารถเห็นลำน้ำทั้ง 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี ได้อย่างชัดเจน โดยมีความยาวถึง 850 เมตร โดยถ้าเดินข้ามฝั่งไปยังหมู่บ้านมอญ จะมีทั้งเสื้อผ้า พลอย ไพลิน และผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาชาวบ้านวางจำหน่ายเป็นของที่ระลึก รวมถึงอาหารเช้าง่ายๆ ของชาวมอญ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม กาแฟ ปาท่องโก๋ และขนมของชาวมอญ เล่นเอาผมอิ่มซะพุงกางเลยทีเดียว
เราเดินทางต่อไปเมืองบาดาลด้วยเรือหางยาวในราคาเหมาลำละ 300 บาท นั่งได้ 5-7 คน ใช้ระยะเวลา 20 นาที หากเป็นช่วงน้ำหลาก จะเห็นเพียงแค่ยอดของโบสถ์ แต่หากเป็นช่วงหน้าแล้ง น้ำจะลดลงจนตัวโบสถ์โผล่พ้นน้ำทั้งหมด นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้ทั่วพื้นที่
วัดวังก์วิเวการาม (เก่า) ที่ว่านี้ ถูกสร้างขึ้นในปี 2496 ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำสามสาย มารวมกัน ได้แก่ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี ต่อมาในปี 2527 ภาครัฐได้อนุมัติให้สร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือเขื่อนเขาแหลม ทำให้น้ำท่วมตัวอำเภอสังขละบุรี (เก่า) รวมทั้งวัดนี้ด้วย หลวงพ่ออุตตมะจึงต้องขนย้ายพระพุทธรูปหยกขาว ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวสังขละบุรีนับถือ และพระพุทธรูปในโบสถ์พร้อมเสาทุกต้น รวมถึงสิ่งของที่มีค่า นำไปไว้ในโบสถ์ที่ก่อสร้างใหม่ ซึ่งอยู่บนเนินเขา ปัจจุบันถูกขนานนามว่า "วิหารแห่งเมืองใต้บาดาล" และได้รวบรวมไว้ใน UNSEEN THAILAND ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ เดินทางมาเที่ยวสถานที่นี้เป็นจำนวนมาก
วัดสมเด็จ (เก่า) ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดวังก์วิเวการาม (เก่า) เป็นอุโบสถเดิมของวัดสมเด็จ ก่อนที่จะถูกน้ำท่วม เมื่อคราวย้ายเมืองสังขละบุรี วัดนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ที่แต่เดิมเรียกว่า "ฝั่งไทย" วัดสมเด็จนี้ไม่ได้จมอยู่ใต้น้ำเหมือนกับวัดอื่น แต่น่าเสียดายที่ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน โดยรอบตัวโบสถ์มีต้นไทรขนาดใหญ่ปกคลุมอยู่ มีรากของต้นไทรเลื้อยเกาะบริเวณหน้าต่างโบสถ์ ดูมีมนต์ขลังและสวยงาม ภายในอุโบสถมีพระประธานสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ให้กราบไหว้บูชา โดยสามารถซื้อดอกไม้ธูปเทียนได้จากบนเกาะ
หลังจากนั้นนั่งเรือต่อไปอีกฝั่งหนึ่งก็จะพบกับวัดศรีสุวรรณ (เก่า) ซึ่งปัจจุบันจะเห็นเพียงแค่โบสถ์เท่านั้น เป็นวัดที่อยู่ต่ำที่สุดของวัดทั้งหมด และจะได้เห็นก็ต่อเมื่อน้ำลดลงมากจริงๆ ถ้าปีไหนน้ำมาก ปีนั้นก็อาจจะไม่ได้เห็นไปทั้งปี วัดนี้เดิมทีเป็นวัดของชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในสังขละบุรี ปัจจุบันถูกย้ายขึ้นไปอยู่บนเนินเขาติดกับฝั่งไทย
ด่านเจดีย์สามองศ์ หรือที่เคยรู้จักกันในชื่อ "หินสามกอง" เป็นจุดแบ่งเขตพรมแดนไทย-พม่า ในแนวเทือกเขาตะนาวศรี ในอดีตสถานที่แห่งนี้เป็นทางเดินทัพที่สำคัญของไทยและเมียนมาร์ สมัยกรุงศรีอยุธยา ปัจจุบันเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมระหว่างสองเชื้อชาติ
นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อสินค้าที่มาจากฝั่งเมียนมาร์ได้ในราคาถูก เช่น เครื่องประดับ จำพวกพลอย หยก หินสี เฟอร์นิเจอร์ไม้ ชุดโต๊ะเก้าอี้ เครื่องไม้ตกแต่งบ้าน เครื่องประทินผิวของชาวเมียนมาร์ เช่น แป้งทานาคา ผ้าโสร่ง ต้นไม้ป่า กล้วยไม้ป่า นอกจากนี้ยังสามารถทำใบผ่านแดนเข้าไปในเมียนมาร์ได้ภายใน 1 วัน เพื่อเข้าไปชมเมืองพญาตองซู ที่ห่างจากบริเวณด่านไปเพียง 3 กม. ได้อีกด้วย
ระหว่างเดินทางกลับ ถ้าคุณเหนื่อยกับเส้นทางคดโค้งที่มากมายกว่า 43 กม. ของทางหลวง 323 "น้ำตกเกริงกระเวีย" สามารถช่วยคุณได้ เพราะเป็นจุดแวะพักรถและคน ที่ดีเยี่ยม ที่สำคัญไม่ต้องเดินไกล เพราะอยู่ริมถนนสายหลัก น้ำตกเกริงกระเวีย อยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติเขาแหลม เป็นน้ำตกที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก สูงประมาณ 5 เมตร มีน้ำไหลลดหลั่นกันตามโขดหินมายังแอ่งน้ำน้อยใหญ่ น้ำใส เด็กๆ สามารถลงเล่นน้ำได้ มีน้ำไหลตลอดปี หน้าฝนน้ำจะค่อนข้างแรง บริเวณน้ำตกมีร้านค้า และร้านอาหารอยู่หลายร้าน
ตระการตาต้นจามจุรียักษ์
อายุเกินศตวรรษ
ไม่ไกลนักจากตัวเมืองกาญจนบุรี เราได้ยินมาว่า มีต้นจามจุรีขนาดยักษ์ ที่มีความสวยงามอายุกว่า 100 ปี ต้นไม้ยักษ์ที่ว่านี้อยู่ในเขตกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 1 (กองผสมสัตว์) กรมการสัตว์ทหารบก ต. เกาะสำโรง อ. ด่านมะขามเตี้ย จ. กาญจนบุรี
ภาพแรกที่เห็นเบื้องหน้า คือ ต้นจามจุรียักษ์ ที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปรอบทิศทางดูสวยงามแปลกตาอย่างไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ใครนึกภาพไม่ออกลองจินตนาการเอาเองว่า ขนาดของลำต้นต้องใช้คนถึง 10 คนโอบ กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงากว้างไกลกินพื้นที่ถึง 1 ไร่ 2 งาน 4 วา ด้วยความใหญ่โตขนาดนี้ จึงจัดว่าเป็นต้นไม้โบราณที่มีชีวิต และหายากยิ่งในปัจจุบัน ต้องไปพิสูจน์ด้วยตาคุณเอง
อาหารขึ้นชื่อ
มาเยือนสังขละบุรีทั้งที อาหารที่ขึ้นชื่อคงหนีไม่พ้นปลาสดๆ และพืชผักที่ชาวบ้านปลูกไว้ "ร้านครัวรุ่งอรุณ" เป็นร้านยอดนิยม เพราะมีอาหารหลากหลาย ทั้งอาหารพื้นบ้านของชาวมอญ และอาหารทั่วไป ผมสั่งปลายำผักกูด ฉู่ฉี่ปลาคัง ต้มยำปลาคัง และปลาแรดทอดน้ำปลา รสชาติอาหารที่นี่จัดจ้าน ในราคาสมเหตุสมผล
ขอขอบคุณ
บริษัท ซันยอง ออโต เซลส์ จำกัด ที่เอื้อเฟื้อพาหนะสำหรับการเดินทางครั้งนี้
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2558
คอลัมน์ Online : พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/12410