รู้ไว้ใช่ว่า
ลืมไม่เข้าคุก !
อาการ "ลืม" ของคนเราเกิดขึ้นเสมอ บางเรื่องลืมได้เร็วเท่าไรยิ่งแจ๋วเท่านั้น เช่น เรื่องเลวร้ายเรื่องเศร้าหมองรับไม่ไหว ขืนจำและจำ อาจฆ่าตัวตายเอาง่ายๆ แต่หลายๆ อย่าง ลืมแล้วเป็นเรื่อง เกิดความเสียหายตามมา ทีนี้ละลืมไม่ลงก็แล้วกัน ดังเช่นตำรวจ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน เจ้าของสำนวนคดีนี้ เชื่อว่าโดนวินัย หรือเผลอๆ มีคดีอาญา จำบ้านเลขที่ไม่ได้ด้วยปะไร ตามไปดูกัน
งานนี้ "นายป้องกัน" หนุ่มน้อยวัยใส มุ่งสานฝันให้เป็นจริง สนใจสาวและสมาร์ทโฟนพอๆ กัน วันนั้นนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ มี "นายใจถึง" เป็นนักบิด นั่นหมายความว่า การป้องกันออกจะหละหลวม สำหรับ นายป้องกัน เมื่อใช้พาหนะอีแบบนั้น ผมงี้หลีกเลี่ยงมาตลอด
นายใจถึง ถือว่าเรื่องแว้นเขาใช่ย่อย แถมมองว่าข้าคือประชาชน มีสิทธิ์ใช้ถนนเหมือนรถยนต์ ไอ้เรื่องชิดซ้ายตามกฎหมาย ไม่ค่อยถนัด พยายามพารถไปเจ๋ออยู่กลางช่องทางเดินรถ ช้าไม่เป็นอีกตะหาก ผลคือ ชนเข้ากับรถกระบะซึ่งแล่นสวนมา นายใจถึง โชคดี เจ็บแต่รอดมาได้ ส่วน นายป้องกัน สาหัส กระดูกก้านคอเสียหาย อัมพาตกินตั้งแต่คอลงมา พิการว่างั้นเหอะ
นักบิดผู้ทำให้พรรคพวกหมดสภาพ อยู่เหมือนตายตลอดชีวิต ต้องขึ้นศาล อัยการฟ้องเป็นคดีอาญา เพื่อลงโทษ นายใจถึง จ้างทนายสู้คดี เถียงว่าตนไม่ประมาท ฝ่ายรถยนต์ต่างหากที่ผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นนั่งหน้าเรียบปานรีดไว้ ไม่วอแวกับฝ่ายไหนให้โดนระแวง ฟังความทุกฝ่าย แล้วตัดสินลงโทษ นายใจถึง ฐานกระทำโดยประมาทให้ผู้อื่นเจ็บสาหัส จำคุก 1 ปี คำให้การชั้นโรงพักมีประโยชน์ ลดให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 8 เดือน ไม่รอลงอาญา
จำเลย คือ นายใจถึง ไม่อยากโดนรับน้องใหม่ในเรือนจำจนเดินเสียศูนย์ ให้ทนายยื่นอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์สบายหน่อย อ่านเฉพาะสำนวนแล้วมองว่า อัยการไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่ว่า นายใจถึง จะชั่วจะผิดหรือไม่ก็ตาม จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องเสีย ปล่อยจำเลยไป
ชักยังไงซะแล้ว ขับรถประมาท ทำให้เขาหมดอนาคตแบบเห็นๆ ทำไมศาลไม่ตัดสินลงโทษให้หลาบจำ คนอื่นไม่เอาเยี่ยงอย่าง ต้องตามดูในยก 3
อัยการโจทก์ไม่รอช้า ยื่นฎีกาขอศาลเอาผิดจำเลยให้จงได้ อ้างว่าตนมีอำนาจฟ้องอย่างชัดๆ
ศาลฎีกาเหล่ดูสำนวนคดีนี้อย่างละเอียดละออ แล้วชี้ขาดออกมา
ตามข้อเท็จจริง นายใจถึง ขับขี่รถประมาทจน นายป้องกัน หมดหนทางป้องกัน กลายเป็นคนพิการ เกิดเรื่องแล้วเข้ามอบตัวที่โรงพัก พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา มีการประกันตัวออกไป ต่อจากนั้น พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอผัดฟ้องครั้งแรกต่อศาล เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน อ้างว่า นายใจถึง มอบตัวในวันที่ 8 มิถุนายน ยังขอผัดฟ้องอีก 2 หน ศาลชั้นต้นอนุญาตทุกครั้ง แล้วอัยการก็ยื่นฟ้องเป็นคดีนี้ ภายในเวลาที่ขอผัดฟ้อง ดูแล้วน่าจะไม่มีปัญหาให้ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง
แต่ศาลฎีกาแกะรอยจากสำนวนเจอแบบจังๆ ว่ามีการแก้ไขวันที่ทุกแห่ง จากวันที่ 14 พฤษภาคม เป็นวันที่ 9 มิถุนายน ตำรวจเจ้าของสำนวนเล่นง่ายๆ ใช้น้ำยาลบคำผิดป้าย แล้วเขียนทับ ไม่มีการเซ็นชื่อกำกับ ศาลลงทุนส่องดูเอกสารจากด้านหลัง เห็นของเดิม คือ วันที่ 14 พฤษภาคม อยู่ทนโท่ สอบปากคำของ นายใจถึง ก็ยันว่าไปมอบตัววันที่ 14 พฤษภาคม หลังจากนั้นหลายวัน ตำรวจเรียกให้นายประกันนำตัวไปพบ ขอร้องให้ยินยอมแก้ไขวันมอบตัว นายใจถึง ไม่ยอม ก็เจอดี มีคนไปล้อมบ้านตอนกลางคืน วันรุ่งขึ้น นายใจถึง จะไปทำงานที่ กทม. ตำรวจไปดึงตัวลงจากรถ ริบตั๋วโดยสารด้วย แต่ในที่สุดก็ต้องยอม กลัวโดนกลั่นแกล้ง ชัดๆ คือ บันทึกการมอบตัว บันทึกการตรวจสภาพรถ บันทึกการตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชน มีการแก้ไขวันที่ซึ่งเดิมลงไว้ 14 พฤษภาคม เป็น 8 มิถุนายน ทั้งหมด
ยังงี้แล้ว นายใจถึง ก็ถูกหวยรางวัลใหญ่ เพราะคดีที่โดนโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ต้องขึ้นศาลแขวง กรรมวิธี คือ พอได้ตัว นายใจถึง ตำรวจต้องส่งให้อัยการนำไปฟ้องภายใน 48 ชั่วโมง ถ้าไม่ทันต้องขอผัดฟ้องคราวละไม่เกิน 6 วัน รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 5 หน แล้วห้ามไม่ให้อัยการฟ้องคดี เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่ขอผัดฟ้องไว้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการ เมื่อจับไต๋ได้ว่าตำรวจซิกแซก ที่แท้ นายใจถึง มอบตัววันที่ 14 พฤษภาคม ภายใน 48 ชั่วโมงต่อจากนั้น ไม่มีการฟ้อง ไม่มีการขอผัดฟ้อง ผ่านไป 20 กว่าวัน ตำรวจถึงได้ขอผัดฟ้องติดต่อกัน 3 ครั้ง แล้วอัยการฟ้องเป็นคดีนี้ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากอัยการใหญ่
หลงจ้งแล้วตำรวจลืมเรื่อง นายใจถึง ซะตั้งนาน พอนึกขึ้นมาได้ รีบหาทางแก้แบบดุ่ยๆ ข้อที่อัยการเถียงแทนในฎีกาว่า นายใจถึง มอบตัววันที่ 8 มิถุนายนนะครับ มันจึงฟังไม่ขึ้น สรุปแล้วพนักงานสอบสวน และอัยการ ไม่ทำตามเงื่อนแง่กฎหมาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นายใจถึง เป็นคดีนี้ แม้ นายใจถึง จะผิดเต็มๆ ก็ตาม
ศาลฎีกาจึงเอาด้วยกับศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน ให้ยกฟ้องไปเสีย
เชื่อว่า นายใจถึง คงฟ้อนเงี้ยวปนเซิ้ง ลงจากศาลด้วยความดีใจ กลับถึงบ้านต้องฉลอง หาโคโยที พริทที หรืออะไรที่มันเซกซี มาประกอบรายการให้สะใจ...อะไรจะโชคดีขนาดนี้เนี่ย
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8314/2549
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2558
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/12207