สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ฮิเดสึเกะ ทาเกสึเอะ
"มาซดา" มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดรถยนต์โดยรวมกลับมียอดขายลดลง "ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษ ฮิเดสึเกะ ทาเกสึเอะ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จดังกล่าวฟอร์มูลา : ในปี 2558 ที่ผ่านมา มาซดา ประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ? ทาเกสึเอะ : ปี 2558 เป็นปีที่ยากลำบาก เหตุผลสืบเนื่องจากปี 2557 ที่ยอดขายเติบโตไม่มากนัก ทำให้แต่ละค่ายต้องนำเสนอผลิตภัณฑใหม่ รวมถึงกลยุทธ์ และแคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อให้ทั้งยอดขาย และส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ยอดขายโดยรวมยังไม่เติบโต เมื่อพิจารณาจากยอดขายโดยรวมของตลาด พบว่ารถยนต์ที่มีราคาตั้งแต่ 5 แสนบาทขึ้นไปจนถึงราคาที่สูงระดับ 1 ล้านบาท มียอดจองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันมีอีโคคาร์เข้ามาทำตลาดหลากหลายค่าย เสนอขายในราคาสบายกระเป๋า เพื่อรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจต้องรัดเข็มขัด แต่กลับต้องอัดแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างหนักเพื่อจูงใจผู้บริโภค ทำให้เกิดภาพที่ชัดเจนว่า ปัจจัยที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจซื้อ ไม่ใช่เพียงสินค้าราคาถูก หรือแคมเปญส่งเสริมการขายเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้เกิดการซื้อขายในยุคปัจจุบัน คือ สินค้าที่สามารถตอบสนองได้ครบทุกความต้องการ พร้อมกับราคาที่เหมาะสม ซึ่งบริษัท ฯ มองว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ต่อจากนี้ จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่แบบก้าวกระโดด นอกจากนี้ พบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป มีความต้องการรถยนต์ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานอย่างครบครัน มีการค้นหาเปรียบเทียบข้อมูล ไตร่ตรองมากขึ้น และไม่บริโภคสินค้าตามกระแสของตลาด และการสื่อสารในรูปแบบดิจิทอลเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถเจาะถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย มาซดา จึงได้เพิ่มช่องทางการสื่อสารให้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการสื่อสารในรูปแบบดิจิทอล พร้อมกันนี้ มาซดา ได้เปิดตัวรถใหม่ 5 รุ่น ได้แก่ มาซดา 2 สกายแอคทีฟ ดีเซล และเบนซิน บีที-50 ไมเนอร์เชนจ์ มาซดา 3 และ มาซดา เอมเอกซ์-5 พร้อมมุ่งเน้นสร้างความเชื่อมั่น สร้างบแรนด์ให้เป็นที่ยอมรับของตลาด ทั้งการขาย การบริการ และบริการหลังการขาย รวมถึงเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ จากยอดขายในตลาดโดยรวม 797,000 คัน เป็นยอดขายของ มาซดา 39,471 คัน ซึ่ง มาซดา เป็นค่ายเดียวที่ยอดขายพุ่งขึ้นได้สูงสุดถึง 15 % เมื่อเทียบกับปี 2557 ที่มียอดขาย 34,326 คัน และสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้ตามเป้าหมาย คือ 5 % ในปี 2558 ยอดขายรวมของ มาซดา แบ่งเป็น มาซดา 2 จำนวน 19,091 คัน เพิ่มขึ้น 181 % มีส่วนแบ่งการตลาด 8.9 % มาซดา บีที-50 พโร จำนวน 8,054 คัน ลดลง 38 % มีส่วนแบ่งการตลาด 2.5 % มาซดา 3 จำนวน 7,143 คัน ลดลง 20 % มีส่วนแบ่งการตลาด 17.3 % มาซดา ซีเอกซ์-5 จำนวน 3,832 คัน ลดลง 32 % มีส่วนแบ่งการตลาด 3.1 % มาซดา ซีเอกซ์-3 จำนวน 1,321 คัน มีส่วนแบ่งการตลาด 1.1 % มาซดา เอมเอกซ์-5 จำนวน 28 คัน และ มาซดา ซีเอกซ์-9 จำนวน 2 คัน ฟอร์มูลา : ในปีนี้ มาซดา วางนโยบายและทิศทางไว้อย่างไร ? ทาเกสึเอะ : ตลาดรถยนต์ในไตรมาสแรกยังคงได้รับอิทธิพลจากภาวะเศรษฐกิจของปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่กำลังฟื้นตัว จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงครึ่งปีหลัง แต่จะเห็นแววความสดใสชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 โดยจะเป็นการเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ ในปีที่ผ่านมาแม้ว่ากำลังซื้อจะมีน้อยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากยอดขาย มาซดา ยังสามารถเดินหน้าได้ตามแผนงานอย่างมั่นคง เศรษฐกิจที่หดตัวไม่ได้มีผลกระทบแต่อย่างใดกับ มาซดา และยังสามารถผลิตรถยนต์นั่งได้ตามเป้า ทั้งเพื่อขายในประเทศ และส่งออกไปยังต่างประเทศ พร้อมเริ่มผลิตเครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติ เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิต และเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของ มาซดา ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม มาซดา ยังคงเชื่อมั่นว่าตลาดรถยนต์ในปีนี้จะมียอดขายทะลุถึง 8 แสนคัน อันเนื่องมาจากกำลังซื้อยังมีอยู่อีกมาก โดยเฉพาะรถยนต์นั่ง และรถอเนกประสงค์ เอสยูวี ซึ่ง มาซดา ได้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้วจากยอดการขายรถเก๋งที่สามารถก้าวขึ้นมาครองอันดับ 3 ของตลาด ในขณะที่ปีนี้ มาซดา มองว่าเซกเมนท์ของรถอเนกประสงค์ เอสยูวี จะเป็นอีกรุ่นหนึ่งที่สอดแทรกเข้ามา และ มาซดา มั่นใจว่าจะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในเซกเมนท์นี้ มาซดา ยังคงเดินหน้าสร้างความสำเร็จด้านยอดขาย เตรียมพร้อมการเป็นพรีเมียมบแรนด์ และถือเป็นการร่วมพัฒนายานยนต์ก้าวไปอีกขั้น และพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ โดยปีนี้จะเปิดตัวรถยนต์ถึง 7 รุ่น พร้อมงัดกลยุทธ์การตลาดมาใช้อย่างเต็มที่ตลอดทั้งปี คาดว่าการแข่งขันของตลาดรถยนต์ในปีนี้จะดุเดือดมากกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรักษาส่วนแบ่งการตลาด ทั้งแคมเปญส่งเสริมการขาย ไปจนถึงการปรับราคาตามโครงสร้างภาษีใหม่ ถือเป็นบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งของทุกบแรนด์อย่างแท้จริง อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ คือ จากการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา โดยคิดตามอัตราการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แทนการคิดตามความจุกระบอกสูบ ส่งผลให้ราคารถยนต์ของ มาซดา ในปี 2559 มีการปรับทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง หรือบางรุ่น มาซดา รับภาระบางส่วนแทนลูกค้า พร้อมมอบความคุ้มค่าให้ลูกค้าด้วยการเพิ่มอุปกรณ์เสริม ในปีนี้ มาซดา ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 44,000 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 10 % มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 5.5 % มุ่งเน้นรักษาการเป็นผู้นำรถยนต์นั่งในประเทศไทย ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 12 % ในปีที่ผ่านมา และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในรถอเนกประสงค์ เอสยูวี ที่เติบโตอย่างมากในปีที่ผ่านมา ตั้งเป้ามีส่วนแบ่งการตลาด 16 % โดยใช้รถยนต์ ซีเอกซ์-3 และซีเอกซ์-5 เป็นหัวหอกในการสร้างยอดขาย และส่วนแบ่งการตลาด ซึ่งยอดขายโดยรวมทั้งหมดจะแบ่งเป็น รถยนต์นั่ง 72 % อเนกประสงค์ เอสยูวี 21 % ที่เหลือเป็นรถพิคอัพ และพรีเมียมคาร์ ฟอร์มูลา : กลยุทธ์ที่จะนำมาใช้ในการแข่งขัน ? ทาเกสึเอะ : ปีนี้ มาซดา จะเน้นกลยุทธ์ในการเพิ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยมุ่งเน้นลูกค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่น มีประสบการณ์ที่ดี มุ่งเน้นการเอาใจใส่ดูแล สร้างความพึงพอใจ เพื่อให้เกิดความจงรักภักดี และก่อให้เกิดเป็นภาวะลูกค้าเก่าเป็นผู้สร้างลูกค้าใหม่ในที่สุด ซึ่งสามารถถ่ายทอดจากความประทับใจที่เกิดขึ้นจริง นอกเหนือจากนี้ การสร้างภาพลักษณ์ของบแรนด์ให้มีความโดดเด่น แตกต่าง สร้างจุดแข็งให้สินค้าทุกรุ่นตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ใช้ โดยมุ่งสื่อสาร 4 หลัก อันเป็นเอกลักษณ์ของ มาซดา ประกอบไปด้วย เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ โคโดะ ดีไซจ์น MZD CONNECT และ I-ACTIVSENSE พร้อมการสร้างบแรนด์รอยัลทีด้วยการนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพ ส่วนของงานบริการหลังการขาย ที่ผ่านมา มาซดา เปิดโครงการศูนย์กลางอะไหล่ที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียน พร้อมพัฒนาบริการหลังการขายที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศ มีมาตรฐานที่ดี สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าว่าจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด โดย มาซดา จะไม่ใช่เพียงแค่บแรนด์ที่ลูกค้าเลือก แต่จะเป็นบแรนด์ที่ลูกค้ารัก และแนะนำให้กับคนที่ลูกค้ารักต่อไปอีกด้วย จะขยายใหญ่จนกลายเป็น ”สังคมคนรัก มาซดา” ในระยะสั้นเน้นการสื่อสารกับลูกค้าเพื่อรับรู้ความคิดเห็นเสียงสะท้อนต่างๆ เพื่อเพิ่มความพึงพอใจได้อย่างทันท่วงที ซึ่งปีนี้ มาซดา ตั้งเป้าส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่มีมูลค่า 3,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4 % จากปีที่แล้ว การเพิ่มยอดขายในปีนี้ จากการสังเกตในปีที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพ ฯ จึงมีการปรับกลยุทธ์ให้มีความชัดเจน และเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าของแต่ละพื้นที่ทั้งในกรุงเทพ ฯ และต่างจังหวัด เพื่อให้เกิดความคล่องตัวของกระบวนการทำงาน ในด้านของผู้จำหน่ายรถยนต์ มาซดา ซึ่งเป็นเสมือนประตูใหญ่ของบแรนด์ทั่วประเทศ มุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการอย่างเต็มรูปแบบ ให้สามารถเดินหน้าธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างยอดขาย และให้ทุกโชว์รูมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างบแรนด์ มาซดา ให้แข็งแกร่ง ก้าวสู่การเป็นบแรนด์ระดับพรีเมียมสมบูรณ์แบบ และเติบโตไปด้วยกันในอนาคต นอกจากนี้ยังเตรียมวางนโยบายการบริหารของผู้จำหน่าย เพื่อสร้างมาตรฐาน และควบคุมคุณภาพให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากลทั่วประเทศ พร้อมปรับปรุงภาพลักษณ์โชว์รูมใหม่ ให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความทันสมัย และการเป็นพรีเมียมบแรนด์ ตอบรับกับการที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มตัว ฟอร์มูลา : ปัจจุบันมีโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการกี่แห่ง มีแผนที่จะขยายเพิ่มขึ้นหรือไม่ ? ทาเกสึเอะ : มาซดา มีโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการ 150 แห่งทั่วประเทศ ปีนี้ไม่มีแผนที่จะขยายโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการเพิ่มขึ้น แต่จะเน้นที่การให้บริการที่ดีที่สุด ให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจ สร้างความสัมพันธ์ภาพที่ดีกับลูกค้า รวมทั้งกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการอย่างต่อเนื่อง สร้างฐานลูกค้าให้มีความสัมพันธ์ในระยะยาว และเกิดความจงรักภักดีกับตราสินค้าหรือบริการตลอดไป นอกจากนี้ยังปรับปรุงภาพลักษณ์โชว์รูมให้เป็นไปตามมาตรฐานของ มาซดา คือ MCI MAZDA CORPORATE IDENTITY โชว์รูมที่ มาซดา ได้ปรับปรุงภาพลักษณ์รูปแบบใหม่หมด เน้นการสื่อสารบแรนด์ และความทันสมัยในการออกแบบเป็นหลัก ฟอร์มูลา : แผนการลงทุนเพิ่มจะมีอีกหรือไม่ ? ทาเกสึเอะ : มาซดา ยังคงเดินแผนการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะมุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นศูนย์การผลิตที่สำคัญนอกเหนือจาก ฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในประเทศไทยจะมีการลงทุนอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งรถยนต์ เครื่องยนต์ และอะไหล่ ซึ่งปีนี้ มาซดา จะเพิ่มกำลังการผลิตเกียร์เป็น 135,000 จากเดิม 120,000 ยูนิท โดยจะส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ 95,000 ยูนิท ส่วนการผลิตรถยนต์โดยรวมของโรงงานเอเอที มีกำลังการผลิตเต็มที่ 270,000 คัน ปัจจุบันแบ่งเป็นการผลิต มาซดา 50 % ของทั้งหมด หรือประมาณ 135,000 คัน ผลิตรถยนต์นั่ง 31,000 คัน พิคอัพ 54,000 คัน ที่เหลือผลิต ซีเอกซ์-3 ฟอร์มูลา : คุณมองว่าการแข่งขันในตลาดอีโคคาร์จะเป็นอย่างไร ? ทาเกสึเอะ : อีโคคาร์ เป็นรถประหยัดพลังงาน ตลาดกลุ่มนี้ผู้ผลิตค่ายอื่นแข่งขันสูงมาก สำหรับ มาซดา 2 เป็นรถในโครงการอีโคคาร์ 2 มีคุณภาพเทียบเท่ากับซิทีคาร์ ประหยัดน้ำมันดีกว่า มาซดา มองว่าการทำตลาดของ มาซดา 2 มีจุดที่แตกต่างชัดเจน ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง ฟอร์มูลา : จะมีรถกลุ่มไหนหายไปจากตลาด สืบเนื่องจากการปรับโครงสร้างภาษีใหม่หรือไม่ ? ทาเกสึเอะ : การกำหนดโครงสร้างอัตราภาษาใหม่ ที่เริ่มใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นการวางแผนให้รถในประเทศไทยมีมาตรฐานการส่งออก เพราะข้อกำหนดของ CO2 เป็นเกณฑ์มาตรฐานของทุกเซกเมนท์ และเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก การกำหนดประสิทธิภาพการผลิต หรือการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อให้รถมีคุณภาพตามหลักเกณฑ์ทั่วโลก ซึ่งในจุดนี้ มาซดา มีความพร้อมที่จะผลิตรถให้มีมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ทุกกลุ่ม
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : สายชล อรรถาเวช
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2559
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/120388