ชีวิตอิสระ(4wheels)
คาราวานตามรอยอารยธรรม
"4 WHEELS" มีโอกาสร่วมคาราวาน "ตามรอยอารยธรรม ประจวบ-มะริด 159" ของสมาคมส่งเสริมพัฒนาการค้า การลงทุน ประจวบ-มะริด จากด่านสิงขร จ. ประจวบคีรีขันธ์ มุ่งหน้าสู่มะริด เมืองชายทะเลของประเทศเมียนมาร์ ตามเส้นทางลูกรังลัดเลาะเนินเขา รวมระยะทางไป/กลับกว่า 400 กม. กิจกรรมครั้งนี้สมาคมส่งเสริมพัฒนาการค้า ฯ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกให้แก่ภาคเอกชน เมื่อวันที่ 10-13 มีนาคม 2559 เพื่อย้อนรอยเส้นทางประวัติศาสตร์ ศึกษาอารยธรรม สร้างสัมพันธ์ และส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงศึกษาลู่ทางการลงทุนในอนาคต โดยมีผู้ร่วมเดินทางกว่า 180 คน รถยนต์เกือบ 50 คันตีธงปล่อยรถ ณ ด่านสิงขร เราเริ่มต้นเดินทางแต่เช้าตรู่ จากโรงแรมประจวบแกรนด์ อ. เมือง จ. ประจวบคีรีขันธ์ มุ่งหน้าสู่ด่านสิงขร ตามเส้นทางลงใต้ผ่านถนนเพชรเกษม กลับรถช่วงหลัก กม. ที่ 332-333 แล้วเลี้ยวซ้ายที่ กม. 332 (มีป้ายด่านสิงขรบอกชัดเจน) ขับตรงไปอีก 12 กม. ก็ถึงด่าน ก่อนข้ามแดนทุกคันต้องเติมน้ำมันให้เรียบร้อย เพราะเส้นทางข้างหน้าไม่มีปั๊มน้ำมันเลย จนถึงเมืองมะริด บริเวณด่านสิงขร เราสามารถเดินชมกล้วยไม้ป่า และต้นกล้าพันธุ์ไม้ต่างๆ ที่วางขายเรียงราย ซึ่งส่วนใหญ่มาจากฝั่งเมียนมาร์ จึงมีราคาถูก นอกจากนี้ยังมี โต๊ะ เก้าอี้ไม้ และเครื่องประดับที่ทำจากหินสีและพลอย ให้เลือกซื้อกันอีกด้วย ผู้จัดแบ่งขบวนออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อง่ายในการควบคุมดูแล จากนั้นตีธงปล่อยขบวนคาราวาน มุ่งหน้าไปยัง ตม. เมียนมาร์ อีกประมาณ 1 กม. ตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไปต้องขับรถชิดด้านขวาเท่านั้น เมื่อถึงด่านพบเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองทักทายเป็นคำแรกว่า "มิงกะลาบา" แปลว่า "สวัสดี" ก่อนตรวจสอบเอกสารข้ามแดน เราโชคดี ที่มีล่ามของสหภาพเมียนมาร์ร่วมเดินทางไปกับรถของเราด้วยตลอด เพื่ออำนวยความสะดวก และให้ความรู้ด้านวัฒนธรรม ซึ่งแต่ละคน "ช้อเด่" (น่ารัก) มากครับ ด่านสิงขร-หมู่บ้านทรายขาว หลังจากตรวจสอบเอกสารเรียบร้อย คาราวานก็ออกเดินทางข้ามไปยังเมียนมาร์ โดยใช้เส้นทางสายชนบท ซึ่งเป็นเส้นทางการขนส่งระหว่างฝั่งทะเลอันดามันกับอ่าวไทยมานานกว่า 2,000 ปี เป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุด โดยไม่ต้องอ้อมไปทางแหลมมาลายู ประเทศสิงคโปร์ ในช่วง 10 กม. แรก ยังคงเป็นถนนลาดยาง ขับได้สบายๆ ประมาณ 80 กม./ชม. สองข้างทางเต็มไปด้วยสวนปาล์ม ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของแถบนี้ เมื่อพ้น 10 กม. พื้นผิวถนนกลายเป็นดินลูกรัง สีแดงส้ม ช่วงนี้ฝุ่นเข้าปกคลุมเต็มพื้นที่ ต้องขับรถด้วยความระมัดระวัง เราขับลัดเลาะไปตามเนินเขา ทางเริ่มแคบลง ชมทิวทัศน์ป่าไม้สองข้างทาง ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ แต่มีเนินเขาบางช่วงเริ่มถูกคนแผ้วถางเป็นพื้นที่ราบเพื่อปลูกสวนหมาก และตัดไม้ออกไปสร้างบ้านเรือนกันบ้างแล้ว ใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชม. ระยะทางกว่า 40 กม. ถึงจุดแวะพัก "หมู่บ้านทรายขาว" เพื่อเข้าห้องน้ำและดื่มชาของชาวบ้านที่นี่ ผ่านเส้นทางฝุ่น อย่างทุลักทุเล เส้นทางจากบ้านทรายขาว ไปยังตะนาวศรี ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เพราะเป็นช่วงที่อยู่บนเนินเขา พื้นถนนเป็นหินก้อนใหญ่และแหลมคม เสี่ยงยางแตก คณะคาราวานจึงค่อยๆ ขับรถลัดเลาะขึ้นเนินเขา แต่ไม่ชันมาก หลบหิน และหลุมบ่อกันตลอดทาง ทำความเร็วได้ไม่เกิน 30 กม./ชม. เส้นทางช่วงนี้กำลังก่อสร้างด้วยวิธีแบบโบราณ โดยใช้เครื่องเจาะ สกัดหินออกมาเป็นก้อนๆ แล้วใช้แรงงานคนโยนขึ้นท้ายรถบรรทุก โดยไม่มีอุปกรณ์ทุ่นแรงอย่างรถแบคโฮแต่อย่างใด เส้นทางนี้คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 2 ปี หลังจากขับรถผ่านช่วงที่เป็นเนินเขาแล้ว รถทุกคันต้องเปิดไฟหน้า และไฟผ่าหมาก เพราะทางช่วงนี้จะเป็นฝุ่นดินแดงหนาหลายนิ้ว รถบางคันถึงกับเสียการทรงตัว คล้ายกับขับรถบนทางทราย จำเป็นต้องทิ้งระยะห่างจากคันหน้าประมาณ 300 ม. เพื่อให้มองทางได้ชัดเจน และเบรคได้ทัน หากมีรถสวนทางมา ต้องชะลอหรือจอดรถให้ฝุ่นจางก่อน ทางบางช่วงอันตรายมาก เป็นหลุมหินที่เอามาเรียงกองไว้เพื่อรอลาดยาง ระยะทางช่วงนี้ประมาณ 40 กม. สะพานตะนาวศรี ไฮไลท์ที่ต้องแวะ หลังจากลุยทางฝุ่นกันไป ก็เข้าสู่ถนนที่ไร้ฝุ่น (ลาดยาง) แต่พื้นถนนยังขรุขระตามการวางหิน ที่ถูกนำมาทับซ้อนกันหลายๆ ชั้น และใช้น้ำยางมะตอยเททับพื้นหินที่วางกองไว้ ไม่มีเครื่องจักร หรือรถบดถนนที่ทำให้เรียบแต่อย่างใด คาราวานเดินทางมาถึงสะพานตะนาวศรี ที่มีระยะทางยาวกว่า 400 ม. ซึ่งเป็นไฮไลท์ที่ต้องหยิบโทรศัพท์และกล้องถ่ายรูปออกมาเก็บภาพกัน เราขับเลียบแม่น้ำชมทัศนียภาพสวยงามตลอดทั้งสองข้างชายฝั่ง แวะสักการะศาลหลักเมือง อายุกว่า 700 ปี จากนั้นข้ามสะพานจุ่ยแอ้กู้ ที่ใช้โครงสร้างเป็นเหล็กหนา พื้นถนนเป็นไม้วางเรียงติดกัน จึงต้องขับช้าๆ หลบซ้าย/ขวา ระวังตะปูที่โผล่มาเหนือไม้ ! เข้าสู่เมืองทวาย สัมผัสกลิ่นอายชนบท "ทวาย" เมืองนี้ไม่ได้เข้ามาง่ายๆ ต้องติดต่อขออนุญาตจากทางการเมียนมาร์ก่อนเท่านั้น เราจึงเป็นคณะแรกๆ ที่เข้ามาเยือนในถิ่นนี้ สังเกตได้จากชาวบ้านที่ยังเขินอาย เมื่อเราขอถ่ายรูป หรือพูดคุยทักทาย ตลอดสองข้างทางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของชนบท ทุ่งนากว้างใหญ่ มีวัวควายเดินกินหญ้าสองข้างถนน เด็กๆ แก้ผ้ากระโดดน้ำในนาข้าวกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งในประเทศไทยหาชมได้ยากแล้ว ไม่นานก็ถึงวัดโบราณปิ้นอุ้ ซึ่งเป็นวัดไทยมีอายุราว 400 ปี มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายในหลายรูป ก่อนเดินทางกลับที่พักในตัวเมืองมะริด เดิมชมตลาดเช้า ของเมืองมะริด เช้าวันที่สอง เดินชมตลาดเช้าในตัวเมืองมะริด สินค้าส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับประเทศไทย ทั้งผ้าทอ เครื่องใช้ เครื่องสำอาง ตลาดแห่งนี้มีเสน่ห์มาก และยังคงใช้ "ตาชั่ง" แบบโบราณ ผลไม้ส่วนใหญ่จะถูกนำเข้าจากประเทศไทย และจีน เช่น ส้ม ลำไย ผลไม้ท้องถิ่นจะเป็นแตงโม ซึ่งมีผลขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50 ซม. นอกจากนี้ยังมีทุเรียน ที่มีผลเล็กกว่าบ้านเรามาก ถนนสายธรรมมะ "พยาจี้" ถ้าพักในเมืองมะริด ต้องเดินทางมาที่ "ถนนพยาจี้" เป็นถนนสายแรกของเมืองมะริด ยาวประมาณ 1 กม. สองข้างทางเป็นวัดเก่าแก่สร้างเรียงรายอยู่ติดกันยาวจนสุดถนน รวมประมาณ 40-50 วัด อย่างวัดพยาจี้ ที่ยังคงเปิดให้ไหว้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล แถมวัดแห่งนี้ยังมีร่องรอยกระสุนปืนที่ลูกกรงเหล็กให้เห็นกันอยู่ จากการต่อสู้ของเมืองมะริดที่ขณะนั้นอยู่ใต้อาณานิคมของอังกฤษ จากนั้นได้เดินทางต่อไปยังวัดต้อเจ้า หรือวัดป่า สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง เมื่อเดินเข้าไปในวัดก็พบกับประตูลูกกรงเหล็กถูกปิดลอคด้วยแม่กุญแจอย่างแน่นหนาเกือบทุกประตูโบสถ์ เพราะแต่ก่อนคนที่นับถือศาสนาอิสลามที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ เข้ามาทุบพระพุทธรูปจนได้รับความเสียหายเกือบทั้งวัด จึงต้องลอคประตูไว้ วัดเต่งดอจี้ เป็นวัดเก่าแก่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ราว 485 ปี ขึ้นไปด้านบนสามารถชมบรรยากาศโดยรอบ เห็นทะเล เกาะปะเทาะปะแท๊ก กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธ์ ชมศิลปะเจดีย์ทอง ไหว้พระประจำวันเกิด ชมท่าเทียบเรือ ส่งออกปลาและกุ้ง หลังจากไหว้พระ ดูสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างของวัดกันแล้ว คาราวานเดินทางไปที่ท่าเทียบเรือมะริด ซึ่งเป็นจุดขนถ่ายสินค้า โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นการประมง จับสัตว์น้ำ จำพวกปลา และกุ้ง รวมถึงมะพร้าว ส่งออกไปยัง จ. ระนอง ประเทศไทย ส่วนสินค้าที่นำเข้าในช่วงนี้ ส่วนใหญ่เป็นปูนซีเมนท์ที่ผลิตจากประเทศไทย เพราะในช่วงนี้มีความต้องการในการสร้างบ้านเรือนและถนนที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด วันสุดท้าย แวะไหว้พระที่วัดเจดีย์ทอง ก่อนเดินทางกลับ คณะคาราวานแวะไหว้พระขอพร ชมความงามของวัดเจดีย์ทองที่อยู่บนเนินเขา เมื่อโดนแสงอาทิตย์อ่อนๆ จะสะท้อนเป็นประกายสีทองสวยงาม ภายในโอ่อ่า อลังการมาก เป็นสถานที่สุดท้ายของการท่องเที่ยวในเมียนมาร์ และถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึก ในช่วงขากลับต้องขับรถอย่างรีบเร่ง เพื่อไปให้ถึงด่าน ตม. เมียนมาร์ ก่อน 18.00 น. หากมาไม่ทัน ด่านจะปิด ไม่สามารถข้ามแดนได้ แต่โชคดีที่คณะคาราวานทำเวลาได้ดี มาถึงด่านก่อนเวลาปิด 2 ชม. การเดินทางครั้งนี้เป็นทริพที่น่าจดจำ เพราะภาพเหล่านี้เราอาจไม่ได้พบเห็นแล้วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากความเจริญกำลังเข้ามาแทนที่ ธรรมชาติถูกทำลาย วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวบ้านก็เปลี่ยนตามไปด้วย เมืองมะริด "มะริด" หรือ "เมค" (Myeik) อยู่ทางตอนใต้ของเมียนมาร์ ติดชายฝั่งทะเลอันดามัน มีเกาะมากกว่า 800 เกาะ ที่ยังคงความสมบูรณ์ มีประชากรประมาณ 250,000 คน ประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ ทั้งพม่า มอญ กะเหรี่ยง จีน มลายู และคนไทยพลัดถิ่น เศรษฐกิจหลักมาจากการประมง จับสัตว์น้ำ อาทิ กุ้ง หอย และปลา การเดินทาง นอกจากใช้เส้นทางเดินรถ จากด่านสิงขร ถึงเมืองมะริดแล้ว ยังสามารถเดินทางโดยเรือ จาก จ. ระนอง ข้ามไปเกาะสอง แล้วต่อเรือเฟอร์รี หรือถ้าเข้าทางด่านพุน้ำร้อน สามารถนั่งเรือจากทวายไปมะริดได้เช่นกัน ส่วนทางเครื่องบิน ต้องไปลงที่เมืองย่างกุ้งก่อนเท่านั้น แล้วต่อเครื่องบินมาลงที่สนามบินเมืองมะริด แต่มีสายการบินน้อยมาก ต้องติดต่อจองตั๋วล่วงหน้านานหลายวัน เมนูกุ้งลอบสเตอร์ ทีเด็ดในมะริด การไปเยือนเมืองมะริดครั้งนี้ เรามีโอกาสได้ลิ้มรสอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อของเมียนมาร์ ทั้งสดใหม่ รสชาติดี ถูกปากคนไทยอย่างมาก โดยเฉพาะกุ้งลอบสเตอร์ตัวใหญ่ๆ ราดน้ำยำรสเด็ด แซ่บมาก !
เรื่องโดย : พีรพัฒน์ อินทมาตย์
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสม
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2559
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/119192