พิเศษ(4wheels)
"ปั่น" เขาใหญ่ หัวใจต้องสตรอง !
สิงห์นักปั่น ที่ต้องการหาความท้าทายใหม่ๆ ให้ตัวเอง "4 WHEELS" ขอเสนอ ภารกิจปั่นจักรยานขึ้นเขา ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในขณะนี้ พร้อมแนะนำเส้นทางปั่นบนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ สถานที่ที่นักปั่น (ขึ้นเขา) พลาดไม่ได้ !3 ทางปั่นบนเขาใหญ่ เลือกได้ตามความฟิท เส้นทางปั่นจักรยานบนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีหลายเส้นทาง "4 WHEELS" ได้รวบรวม 3 เส้นทางปั่นยอดนิยม มาให้เลือกตามระดับความยากง่าย และความฟิทของแต่ละคนดังนี้ LEVEL 1 (22 กม.) ที่ทำการอุทยาน ฯ–น้ำตกเหวสุวัต-ที่ทำการอุทยาน ฯ ขอประเดิมด้วยเส้นทางยอดนิยมของนักปั่นทุกระดับ ใครมาปั่นจักรยานบนเขาใหญ่ ก็ต้องเริ่มจากเส้นทางนี้ เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ครบเครื่อง ทั้งเนินเตี้ย เนินชัน (ที่ไม่ชันมาก) ทางลงเขายาว และทางโค้งหักศอก ให้พอรู้สึกตื่นเต้น สนุกสนานตลอดทาง เส้นทางนี้มีระยะทางจากที่ทำการอุทยาน ฯ-ถึงน้ำตกเหวสุวัต 11 กม. ขากลับอีก 11 กม. รวมเป็น 22 กม. นับว่ากำลังดี เหมาะสำหรับนักปั่นที่เน้นออกกำลังกายที่ไม่หักโหมนัก ก่อนปั่น ควรวอร์มร่างกายประมาณ 5 นาที ต่อด้วยการปั่นเบาๆ (ทางราบ) อีก 5 นาที เพื่อให้ร่างกายได้เตรียมพร้อมสำหรับการปั่นขึ้นเขา เริ่มสตาร์ทบริเวณที่ทำการอุทยาน ฯ เป็นเนินชันยาวประมาณ 300 ม. จากนั้นก็เข้าสู่ทางราบที่โล่งกว้าง ขนานกับอ่างเก็บน้ำสายศรที่สวยงาม ซึ่งสามารถจอดรถถ่ายรูปได้ ยิ่งยามเย็นจะสวยเป็นพิเศษ เมื่อปั่นไปอีกนิดสภาพเส้นทางเริ่มสูงชัน สลับกับโค้งซ้าย/ขวาให้ออกแรงกันหน่อย แนะนำให้ใช้เกียร์ที่คิดว่าปั่นสบายที่สุด ไม่ต้องสนใจความเร็ว ให้เน้นที่เราออกแรงแล้วรู้สึกไม่อึดอัด ลองปั่นแบบนี้สักครึ่งชั่วโมง แล้วประเมินสภาพร่างกาย และวางแผน เพื่อให้ปั่นจบในระยะทางที่ตั้งเป้าไว้ จากนั้นเป็นพื้นที่ราบ ขึ้น/ลงเนินเตี้ยๆ อีก 5 กม. ก็เข้าสู่สถานที่กางเทนท์ผากล้วยไม้ เมื่อถึงจุดนี้ จะเริ่มเข้าสู่บริเวณป่าทึบ เส้นทางมีทั้งเนินชันยาว ลงเขายาว และมีโค้งแคบ นักปั่นต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ช่วงนี้ควรให้ชะลอความเร็ว ด้วยการกำเบรคทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน หากอยู่ในโค้ง แล้วรถยังเร็วอยู่ อย่าตกใจครับ ให้เบรคเบาๆ ค่อยๆ เลี้ยว ก้มตัวต่ำๆ เพื่อให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำ จะช่วยให้การทรงตัวดีขึ้น และถ้าไม่ชัวร์ อย่าลงเร็วเด็ดขาดครับ บริเวณน้ำตกเหวสุวัต ควรหยุดพักผ่อน นั่งชมน้ำตกรับลมเย็นๆ รับรองว่ามีแรงปั่นกลับสบาย แถวลานจอดรถมีห้องน้ำสะอาด รวมถึงร้านค้าสวัสดิการ และร้านอาหาร เลนจักรยาน (สีฟ้า) บนเขาใหญ่ บนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีเลนจักรยานโดยเฉพาะทาสีฟ้า เส้นทางวนเป็นวงกลมล้อมรอบพื้นที่อุทยานเขาใหญ่ ระยะทางรวม 10 กม. เริ่มต้นจากอ่างเก็บน้ำสายศร หรืออ่างเก็บน้ำมอสิงโต ไปตามเส้นทางโป่งทุ่งกวาง จุดกางเทนท์ลำตะคอง สนามกอล์ฟเขาใหญ่ ต้นน้ำลำตะคอง และค่ายเยาวชนสุรัสวดี ตลอดทางจะมีป้ายสื่อความหมาย และสถานีสำหรับศึกษาหาความรู้บนอุทยาน ฯ LEVEL 2 (32 กม.) ที่ทำการอุทยาน ฯ–ยอดเขาเขียว (ผาเดียวดาย)-ที่ทำการอุทยาน ฯ เส้นทางนี้กำลังได้รับความนิยมจากนักปั่นมือเก๋า ที่ปั่น LEVEL 1 จนเข้าที่แล้ว และอยากหาจุดมุ่งหมายใหม่ให้ตัวเอง ความยากของเส้นทางนี้ คือ ปั่นขึ้นเขาล้วนๆ ต่อเนื่องเป็นระยะทางกว่า 5 กม. นับว่าโหดพอตัว ดังนั้นสภาพร่างกาย รวมถึงรถต้องพร้อม จากที่ทำการอุทยาน ฯ จนถึงศาลเจ้าพ่อเขาเขียว ระยะทางประมาณ 10 กม. สภาพเส้นทางอาจยังไม่โหดนัก สำหรับนักปั่นที่พิชิต LEVEL 1 มาแล้ว แต่จากนี้ไปอีก 6 กม. จะเป็นทางขึ้นเขาล้วนๆ แถมบางช่วงยังอยู่ในระหว่างซ่อมแซม ทำให้อาจมีหลุมบ่อ รวมทั้งฝุ่น ดักรอเราอยู่บ้างเป็นระยะๆ ดังนั้นช่วงนี้ ควรต้องปั่นด้วยความระมัดระวัง ช่วงปั่นขึ้นเขา แนะนำว่าควรจับแฮนด์ให้มั่นคง ถ้าเป็นเสือหมอบ เวลาปั่นขึ้นเขาให้จับแฮนด์ด้านบนสุด เหมือนกับจักรยานทั่วไป (แฮนด์ตรง) โดยต้องนั่งให้ก้นชิดไปทางด้านท้ายของเบาะ และเหยียดแขนตึงพอประมาณ ท่านี้จะช่วยให้ช่วงลำตัว มีความมั่นคง เวลาออกแรงปั่น ช่วงประมาณ 2 กม. สุดท้ายก่อนถึงผาเดียวดาย จะมีเนินชันที่เป็นโค้งหักศอก 3 จุด แนะนำให้ลงจูงจักรยานจะปลอดภัยกว่า ช่วงโค้งสุดท้ายบริเวณผาเดียวดาย จะเป็นเนินวัดใจที่ชันยาวเกือบ 1 กม. ถ้าใครผ่านเนินนี้ไปได้ ถือว่าสอบผ่าน รวมระยะทางจากที่ทำการอุทยาน ฯ ถึงยอดเขาเขียว 16 กม. ถ้าไป/กลับก็ 32 กม. ด้านบนเป็นพื้นที่ของกองทัพอากาศ มีอากาศเย็นสบายตลอดปี และเป็นจุดชมวิวของยอดเขาเขียว มีห้องน้ำ และร้านค้าเล็กๆ ให้ซดมาม่าแก้หิวได้ ถ้าใครอยากดูวิวสวยๆ แบบพาโนรามา แนะนำให้จอดแวะที่ "ผาเดียวดาย" จะเป็นทางเดินสะพานไม้เข้าไปอีก 200 ม. สามารถแบกจักรยานลงไปได้ ขากลับอย่าลืมว่า ต้องระมัดระวังให้มาก อย่าใจร้อน และใช้เบรคให้เป็น แล้วคุณจะถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ทริคเปลื่ยนเกียร์ ขณะขึ้นเขา เมื่อปั่นอยู่ในความเร็วระดับหนึ่ง ขณะกำลังจะเริ่มขึ้นเนิน ไม่ควรเปลื่ยนเกียร์ให้เบาลงทันที ให้ปั่นด้วยเกียร์เดิมจนกว่าจะรู้สึกว่า รอบขาเริ่มลดลง และจึงเปลี่ยนเกียร์ให้เบาลงทีละ 1 ชั้นเฟือง (เปลื่ยนเฟืองหลังก่อน) เมื่อเปลี่ยนจนถึงระดับ 4 หรือ 5 แล้ว หากรอบขายังช้าลงอีก ก็ให้เริ่มเปลี่ยนที่จานหน้าลงไปอีก 1 ชั้นเฟือง เมื่อเปลี่ยนแล้วรอบขาจะเบาลง (รอบขาเร็วขึ้น) ให้เปลี่ยนเฟืองหลังเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั้นเฟืองตามลำดับ ขณะขึ้นเขา ไม่ควรเปลี่ยนเกียร์ให้เบามาก ควรคำนึงถึงรอบขาเป็นสำคัญ และไม่ควรเปลี่ยนเกียร์กะทันหันเมื่อรอบขาเริ่มจะหยุดนิ่ง (ขณะขึ้นเนิน) เพราะจะทำให้ฟันเฟืองของจักรยานเสียหายได้ LEVEL 3 (94 กม.) ด่าน (ปากช่อง) ชน ด่าน (ปราจีนบุรี) เส้นทางสุดท้ายนี้ ขอบอกว่า "หินสุดๆ" เหมาะสำหรับขาปั่นบ้าพลัง ที่เตรียมความฟิทของร่ายกายมาเป็นอย่างดี ใครที่ยังไม่ฟิท แนะนำให้ "ซ้อม" ไปก่อน เพราะถ้าร่างกายรับไม่ไหว อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ตลอดเส้นทางล้วนเป็นภูเขาสูง แถมมีระยะไกลถึง 47 กม. ทั้งไปและกลับรวมกันก็เกือบ 100 กม. แต่ "4 WHEELS" เชื่อว่าเป้าหมายนี้ ถ้าตั้งใจจริง และหมั่นฝึกซ้อมอยู่เสมอ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ที่จะพิชิตได้ ก่อนปั่นต้องวอร์มร่างกาย และตรวจเชคสภาพรถให้พร้อม โดยเฉพาะระบบเบรค เราเริ่มต้นขึ้นอุทยาน ฯ จากด่านปากช่อง หลังจากสักการะเจ้าพ่อเขาใหญ่ ก็เริ่มเข้าสู่พื้นที่ป่า ช่วงแรกยังเป็นเนินเตี้ยๆ สลับโค้งไปมา จนถึงเนินชันยาวที่คดโค้งตั้งแต่ กม. ที่ 5 เป็นต้นไป เล่นเอาเหนื่อยตั้งแต่ต้นกันทีเดียว การปั่นจักรยานขึ้นเขา จะมีแรงต้านขาจากแรงโน้มถ่วงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ออกแรงกดลูกบันไดแบบตอนปั่นทางราบไม่ได้ เพราะจะทำให้หัวเข่า และกล้ามเนื้อท่อนบนด้านหน้าขาทำงานหนักมาก อาจเกิดอาการปวดเข่า โดยเฉพาะ "ตะคริว" เอาง่ายๆ ดังนั้นจึงต้องใช้การดันลูกบันได จากการออกแรงกล้ามเนื้อท่อนขาหลังบน ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มาช่วยสร้างแรงดันจะดีที่สุด หลังจากเส้นทางคดโค้ง ก็ถึงเนินชันยาว จุดนี้ถ้าเหนื่อยสามารถหยุดพักได้ จากนั้นจะเข้าสู่ทางขึ้น/ลงเขาสูงที่สวยงาม สลับกันไปเป็นลูกคลื่น เหมือนกับเล่นรถไฟเหาะไม่มีผิด แรงส่งจากเนินสูง จะทำให้ความเร็วเพิ่มสูงขึ้นกว่า 50 กม./ชม. พยายามทรงตัวให้ดี แล้วจะรู้ว่าจุดนี้ละสนุกมาก เมื่อแรงเฉื่อยเริ่มจะหมดจากการไหลขึ้นเนิน ให้ปรับเลือกเกียร์ที่หลักสุดก่อน แล้วไล่ลงให้เบาขึ้นเป็นจังหวะ พอถึงโป่งช้าง ด่านช้าง ดงกระทิง จะมีจุดให้หยุดพัก แต่ต้องระวังลิงแสมให้ดี เพราะอาจโดนขโมยของแบบไม่รู้ตัว จากนั้นก็เข้าสู่ที่ทำการอุทยาน ฯ ให้ใช้เส้นทางเดียวกับไปผาเดียวดาย แต่เมื่อถึงทางเข้าเขาเขียวให้ตรงไป (ไม่ต้องเลี้ยวซ้ายเข้าผาเดียวดาย) มุ่งหน้าสู่น้ำตกเหวนรก อีก 23 กม. เส้นทางช่วงนี้เป็นเนินชันยาวสุดสายตา คล้ายกับคลื่นยักษ์ในทะเล สูงชันกว่าเส้นจากปากช่องมาอุทยาน ฯ ดังนั้น ต้องระวังเป็นพิเศษ อย่ารีบจนเกินไป ระยะทางจากนี้ไปถึงน้ำตกเหวนรก ไกลพอสมควร แต่ทางจะไม่ชันมากนัก เป็นทางลงเสียส่วนใหญ่ อาจหยุดพักได้ถ้ารู้สึกเหนื่อย แต่... "ร ะ วั ง...ช้ า ง ป่ า" ให้ดีนะครับ ถ้าเห็นว่ามีขี้ช้างอยู่ตรงจุดไหน ให้รีบผ่านไปให้ห่างไว้ก่อน เส้นทางนี้พยายามปั่นให้อยู่ในรอบขา ที่เรารู้สึกดี ไม่ให้เร็วไปหรือช้าไป ใช้การเปลี่ยนเกียร์เป็นตัวกำหนด ปั่นไปเรื่อยๆ อย่าใจร้อน พยายามใช้จานหน้า (ใบเล็ก) ไปเรื่อยๆ ก่อน และให้ใช้การเปลี่ยนเกียร์จานหลัง เป็นตัวควบคุมระดับการออกแรงให้คงที่และสม่ำเสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะร่างกายจะทำงานได้ดี ไม่เหนื่อยมาก หากเราควบคุมระดับการออกแรงให้คงที่อย่างสม่ำเสมอ เวลาเจอเนินที่ชันจริง จะได้มีแรงเหลือเอาไว้พาตัวเราไปได้ เมื่อผ่านน้ำตกเหวนรกไปจะเป็นทางขึ้น/ลงเนิน สลับโค้งเป็นระยะๆ อีกประมาณ 18 กม. ไม่นานนักก็ถึงด่านเนินหอม ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุด อย่าลืมเผื่อแรงไว้ปั่นตอนขากลับด้วยนะครับ เส้นทางนี้หากจะลองปั่นเป็นครั้งแรก แนะนำให้ขึ้นจากด่านปราจีน (ด่านเนินหอม) จะดีกว่า ถึงแม้ว่าระยะทางจะยาวกว่าขึ้นด่านปากช่อง (กรณีไปอุทยาน ฯ) อยู่พอสมควร แต่มีความชันจะน้อยกว่า ร ะ วั ง... ช้ า ง ป่ า ! พื้นป่าในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก บางครั้งอาจพบเจอช้างป่าอยู่บนถนนได้ ดังนั้นเมื่อเจอช้างป่าให้ปฏิบัติดังนี้ 1. หยุดรถให้ห่างจากช้างอย่างน้อย 30 เมตร และรอจนกว่าช้างจะหลบไปจากถนน 2. อย่าส่งเสียงดังรบกวนช้าง หรือไล่ช้าง เพราะอาจทำให้ช้างโกรธ และเข้ามาทำร้ายเราได้ 3. ห้ามใช้ฟแลชถ่ายรูปเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ช้างตกใจ เพราะธรรมชาติของช้างจะอยู่รวมกันเป็นโขลง บางทีเราเห็นแค่ตัวเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีช้างตัวอื่นๆ อยู่ในบริเวณนั้น 4. เมื่อตกอยู่ในวงล้อมของช้าง ตั้งสติให้ดี สังเกตอารมณ์ของช้างอยู่ตลอด ช้างอารามณ์ดี หูจะสะบัดไปมา หางจะแกว่ง และสะบัดงวงไปมา หรือเกี่ยวดึงต้นไม้กิน ส่วนช้างหงุดหงิด หูจะตั้งกาง ไม่สะบัดหาง งวงนิ่งแข็ง นิ่งจ้องมองมาทางเรา ปกติช้างจะวิ่งไล่ผู้รบกวนเป็นระยะทางสั้นๆ เพียง 2-3 ครั้ง หากวิ่งตามไม่ทันจะเลิกราไปเอง แต่หากช้างโกรธ หรือไม่ไว้ใจสิ่งใด แม้อยู่ระยะไกลก็อาจพุ่งตรงเข้าทำร้ายเราได้ เตรียมพร้อม ก่อน (ปั่น) ขึ้นเขา สำหรับสิงห์นักปั่น ลำพังแค่มีจักรยานกับหัวใจ อาจยังไม่พอ ถ้าต้องปั่นขึ้นเขา ควรมองหาอุปกรณ์เสริมที่ช่วยในเรื่องความสบาย และความปลอดภัย ให้ครบครัน มิเตอร์วัดความเร็ว เป็นของเล่นไฮเทคที่นักปั่นต้องมี โดยทั่วไปจะบอกความเร็ว ระยะทาง เวลา ความเร็วเฉลี่ย และอุณหภูมิ ส่วนรุ่นที่สูงขึ้นไป จะมีอุปกรณ์เสริม สามารถวัดความเร็วรอบขา และอัตราการเต้นของหัวใจได้ กระบอกน้ำดื่ม ปั่นจักรยานขึ้นเขาจะทำให้เสียเหงื่อมาก กระบอกน้ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักปั่นที่ร่างกายขาดน้ำ หมั่นจิบบ่อยๆ ทุก 5-10 นาที และควรดื่มบริเวณเส้นทางที่ชันไม่มาก นาฬิกาวัดหัวใจ เรื่องการควบคุมหัวใจ ให้อยู่ในโซนที่เราต้องการ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักปั่นขึ้นเขา นาฬิกาที่สามารถวัด อัตราการเต้นของหัวใจ (HEART RATE) ได้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมี รองเท้าคลีทปั่นจักรยาน นักปั่นที่ต้องการกำลัง และความเร็ว ต้องใส่รองเท้าคลีท สำหรับยึดติดกับบันได ช่วยให้รอบการปั่นมีความสม่ำเสมอ และเร่งรอบปั่นได้โดยที่เท้าไม่หลุดจากบันได แต่สำหรับนักปั่นมือใหม่ ควรศึกษาวิธีใช้ และฝึกการใช้งานให้คล่องตัวก่อน เพราะหากขาดสติ หรือเกิดความประมาท จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ เช่นเดียวกัน ฝึกปั่นแบบไม่ฟรีขา การฝึกปั่นจักรยานแบบไม่ฟรีขา จะทำให้เราได้ฝึกปั่นในขณะที่ใช้รอบขาต่างกัน ทำให้เข้าใจจุดบอดในการปั่น และประเมินจุดบอดของเราว่าอยู่ในจังหวะไหน จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที ทริคเล็กๆ พิชิตเขาใหญ่ ประเมิน “ความฟิท” ของตัวเอง การจะปั่นขึ้นเขาได้ สิ่งสำคัญต้องมี "ความฟิท" สภาพร่างกายต้องพร้อมสำหรับการปั่นระยะไกล เรื่องนี้นักปั่นทุกคนสามารถประเมินได้ด้วยตัวเอง ถ้ายังไม่ฟิท ก็ควรหมั่น "ซ้อม" บ่อยๆ ด้วยวิธี "อินเทอร์วอล" (INTERVAL) หรือการปั่นแบบ "เบาสลับหนัก" ถ้าประเมินแล้วว่าไหวแน่ ก็เข้าใกล้เป้าหมายไปแล้วเกินครึ่ง ศึกษาเส้นทาง วางแผนการปั่น การศึกษาเส้นทางปั่น เพื่อประเมิน และวางแผน นับเป็นสิ่งที่นักปั่นมืออาชีพใช้กัน เราต้องรู้ระยะทางที่จะปั่น เนินมีความชันแค่ไหน อยู่ในช่วงใดบ้าง จะพักกันตรงไหน เพื่อจะได้บริหาร "แรง" และ "คุมจังหวะการปั่น" ของเราได้ถูก เรื่องนี้อาจต้องพึ่งเครื่องมือวัดจากมอนิเตอร์ติดรถ (MONITOR) ได้แก่ จีพีเอส (GPS) และอัตราการเต้นของหัวใจ(HEART RATE MONITOR) เพื่อควบคุมการเต้นของหัวใจให้อยู่ในโซนที่ปลอดภัย นั่งปั่น ดีกว่ายืนปั่น การปั่นขึ้นเขา ท่านั่งที่ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญ เราควร "นั่งปั่น" มากกว่า "ยืนปั่น" เพราะการนั่งปั่น จะสามารถใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ช่วงต้นขาหลังอย่างมีประสิทธิภาพ จริงอยู่ว่าการยืนปั่น จะทำให้ได้แรงมากกว่า แต่ก็จะทำให้เราหมดแรงเร็วกว่าด้วยเช่นกัน เน้นรอบขาให้คงที่ รอบขานับเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับการปั่นขึ้นเขาอย่างมาก ควรปั่นให้ได้รอบขาที่สม่ำเสมอ รอบขาที่ทำให้ปั่นแล้วสบาย อยู่ที่ประมาณ 90 รอบ/นาที แต่สำหรับบางคนอาจจะสูงหรือต่ำกว่าค่านี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกาย และการฝึกฝน ปรับแต่งชุดเกียร์ให้เหมาะสม หัวข้อนี้เหมาะกับจักรยาน "เสือหมอบ" ถ้าคิดจะนำมาปั่นขึ้นเขา เนื่องจากชุดเกียร์ทั้งจานหน้า และหลัง ของจักรยานเสือหมอบ เน้นใช้ความเร็วสูงในทางเรียบ แต่จะนำมาปั่นขึ้นเขาก็ควรเลือกจานหน้าแบบคอมแพคท์ (มีฟันน้อยกว่าแบบมาตรฐานทั่วไป) และเฟืองท้ายแบบที่มีจำนวนฟันมากกว่ามาตรฐาน จะช่วยให้ปั่นได้เบาขึ้น ผ่อนแรงได้เยอะ
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการบทความและสารคดี 4wheels
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2559
คอลัมน์ Online : พิเศษ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/117053