รู้ลึกเรื่องรถ
เล็กดี รสโต
ขอหยิบยืมสโลแกน “เล็กดี รสโต” ของลูกอมยี่ห้อเก่าแก่ แม้จะเม็ดเล็กแต่รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม มาใช้กับรถของเราในวันนี้ เพราะนี่คือ รถยนต์ที่แม้จะ “เล็ก” และฟิทเข้ากับตัวคนขับ ราวกับ “ถุงมือ” (เล็กไปนิดสำหรับหลายคน โดยเฉพาะพวกก้นใหญ่อย่างผู้เขียน) แต่ถ้าคุณสามารถลดน้ำหนักส่วนเกินลง และหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับรถคันนี้ได้ มันจะเป็นรถยนต์ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ “เข้มข้น” และตราตรึงในความทรงจำไม่รู้ลืม โดยคุณจะสนุกสนานกับการขับขี่ในระดับที่รถยนต์ “แพงกว่า” หรือ “แรงกว่า” ก็อาจจะไม่สามารถทำได้ สมกับที่มันได้ปลุกกระแสนิยมรถประเภทโรดสเตอร์ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ 25 ปีก่อน
ใช่แล้วครับ เราจะมาถอดรหัส “ความลับแห่งความสำเร็จ” ของ มาซดา เอมเอกซ์-5 รหัสตัวถัง เอนดี ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่ 4 (และเป็นรถที่พัฒนาร่วมกับ เฟียต กรุพ จากอิตาลี) ว่าเขาทำอะไรกับรถที่ดีอยู่แล้ว ให้ดีขึ้นไปอีก
“จินบะ อิตไต”
แม้ว่าเราอาจจะคุ้นเคยกับวลี “ซูม-ซูม” ของ มาซดา ที่แสดงออกถึงความสนุกเร้าใจในการขับขี่ และไม่คุ้นหูกับภาษาญี่ปุ่นว่า จินบะ อิตไต (JINBA ITTAI) ที่เป็นแนวคิดของรถคันนี้ แต่ “จินบะ อิตไต” คือ แนวคิดและจิตวิญญาณที่ มาซดา ริเริ่มขึ้น พวกเขาตั้งเป้าให้ เอมเอกซ์-5 ทุกคัน “หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างผู้ขี่และม้าของเขาทั้งร่างกายและจิตใจ” และเพื่อให้บรรลุถึงปรัชญาดังกล่าว มาซดา ได้สร้างบรรทัดฐานของความเป็น เอมเอกซ์-5 ไว้หลายประการ อาทิ ความสมดุล ด้วยการกระจายน้ำหนักเฉลี่ยหน้า/หลัง อัตราส่วน 50:50 ตามด้วยน้ำหนักที่เบา เครื่องยนต์ที่ให้แรงบิดสูงที่รอบต่ำ (อันเป็นสาเหตุเครื่องยนต์โรตารีที่มีน้ำหนักเบา แต่ให้แรงบิดน้อยในรอบต่ำไม่ได้รับการติดตั้งในรถรุ่นนี้) พร้อมทั้งการส่งกำลังผ่านชุดเกียร์ธรรมดาที่กระชับ เฉียบคม มีระยะการขยับเพียงขยับข้อมือ อันเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในรถยนต์รุ่นอื่นๆ
สุดท้าย คือ ความเรียบง่ายของการออกแบบ จากเอกลักษณ์เหล่านี้ เอมเอกซ์-5 รหัสตัวถัง เอนดี ได้พัฒนารายละเอียดทางวิศวกรรมให้เข้าใกล้อุดมคติขึ้นไปอีกขั้น แต่สิ่งที่ทีมวิศวกรของ มาซดา ประสบความสำเร็จกับรถคันนี้มากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องของการ “ลดน้ำหนัก”
น้ำหนัก “เบา” เป็นหัวใจของ มาซดา เอมเอกซ์-5 มานับตั้งแต่ในเจเนอเรชันแรก (รหัสตัวถัง เอนเอ) ได้สืบทอดจิตวิญญาน และแนวคิดในการสร้างรถยนต์สปอร์ทของ โลทัส สปอร์ทน้ำหนักเบาจากอังกฤษในยุคทศวรรษที่ 60 ในด้านของการทำให้ “เบา” มากกว่าการ “เพิ่มแรงม้า” โดยแนวคิดการลดน้ำหนักนั้น เป็นแนวคิดที่เราสามารถเห็นได้ว่าอุปกรณ์เพื่อการแข่งขันนานาชนิดที่ใช้ความเร็ว อาทิ จักรยานเสือหมอบ ที่แข่งกันในหน่วยกรัม ยิ่งเบาก็ยิ่งเร็ว ยิ่งเบาก็ยิ่งทำให้ใช้แรงขับเคลื่อนน้อยลง และยิ่งเบาก็ยิ่งลดความต้องการด้านกำลังเครื่องลง รวมไปถึงลดความจำเป็นของการใช้ชิ้นส่วนที่ต้องรับแรงลงไปด้วยในเวลาเดียวกัน
มาซดา เอมเอกซ์-5 รุ่นล่าสุด มาพร้อมกับ เครื่องยนต์สกายแอคทีฟ ขนาด 1.5 ลิตร ที่คาดว่าจะเป็นเครื่องยนต์ที่ขายดีที่สุด มีน้ำหนักตัวเพียง 975 กก. เท่านั้น ซึ่งเรียกได้ว่าเบาที่สุด นับตั้งแต่ผลิตรถยนต์รุ่นนี้ออกมา และเบากว่ารถรุ่นที่แล้ว (รหัสตัวถัง เอนซี) ถึง 100 กก.
แนวคิดเรื่องน้ำหนักเบานั้น หากเปรียบเทียบกับเจเนอเรชันแรก ยุคนั้นทำได้โดยการ “ใส่เท่าที่จำเป็น” แต่ด้วยการพัฒนาด้านความปลอดภัยจากอุบัติเหตุ และคุณภาพการขับขี่ รวมไปถึงมาตรฐานการซับเสียงรบกวนที่สูงขึ้นกว่าเมื่อ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา แนวคิดเรื่องการใส่เท่าที่จำเป็น จึงไม่เพียงพออีกต่อไป จำเป็นต้องคิดกันใหม่หมดว่าจะทำให้รถในรหัสตัวถัง เอนดี มีน้ำหนักเบาทัดเทียมรหัสตัวถัง เอนเอ ที่เป็นตำนานได้อย่างไร
เริ่มจาก “ลดขนาดตัวถัง” แน่นอนว่ารถรุ่นใหม่ยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานการออกแบบที่เน้นความสมดุลของการกระจายน้ำหนักหน้า/หลัง แบบ 50:50 และมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ แต่นอกจากนั้น รถรุ่นใหม่ผลงานของทีมงาน มาซดา ในสหรัฐอเมริกา นำทีมโดย เดเรค เจนคินส์ (DEREK JENKINS) มีความยาวตัวถังเพียง 3,915 มม. สั้นกว่ารุ่นที่แล้วที่มีความยาว 3,999 มม. ถึง 74 มม. หรือเกือบ 3 นิ้ว รวมไปถึงการลดความยาวฐานล้อลงเกือบ 20 มม. เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน เหลือเพียง 2,310 มม. ซึ่งส่งผลกับการลดน้ำหนักอย่างชัดเจน
ด้วยการใช้แนวความคิด สกายแอคทีฟ อย่างเต็มรูปแบบ ได้ส่งผลตรงต่อการลดน้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชิ้นส่วนที่มีขนาดสั้นลง ด้วยการออกแบบให้ชิ้นส่วน “เป็นเส้นตรง” มากขึ้น ส่วนการรับแรงบิดได้มากขึ้นของแชสซีส์แบบแบคโบน (BACKBONE CHASSIS) อันเป็นมรดกทางการออกแบบจาก โลทัส ได้มาจากการออกแบบให้อุโมงค์กลางมีหน้าตัดใหญ่ขึ้น แข็งแรงมากกว่าเดิม รวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติสูง อาทิ เหล็กเหนียวชนิดพิเศษ และอลูมิเนียม ในสัดส่วนที่สูงขึ้นกว่าเดิม โดยใช้เหล็กเหนียวในสัดส่วนมากถึง 71 % ของน้ำหนักตัวถัง เพิ่มขึ้นจากรุ่นที่แล้วที่ใช้เพียง 58 % และอลูมิเนียมเกรด 7000 นั้นใช้มากถึง 9 % จากเดิมที่ใช้เพียง 0.1 % เท่านั้น ซึ่ง 20 % ของน้ำหนักที่ลดลงได้นั้น มาจากการนำอลูมิเนียมมาใช้นั่นเอง ยกตัวการนำมาใช้ อาทิ ชิ้นส่วนของกันชนหน้าและหลัง เพียงเท่านั้นสามารถช่วยให้ลดน้ำหนักลงได้ 3.6 กก. เมื่อเทียบกับแบบเหล็กแผ่นปั๊มของรุ่นที่ผ่านมา และนอกจากนั้นยังมีการนำไปใช้ในส่วนอื่นๆ อาทิ ชิ้นส่วนตัวถัง และวัสดุเสริมความแข็งแรงของตัวรถ และเก้าอี้นั่งที่รวมๆ กันแล้วลดน้ำหนักลงได้ถึง 16 กก.
มากไปกว่านั้นห้องเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ นอกจากจะโดดเด่นในด้านความคม และกระชับว่องไวเพียงขยับข้อมือ ยังได้รับการออกแบบให้เบาลงถึง 7 % ด้วยการใช้ห้องเกียร์ที่ทำจากอลูมิเนียมหล่อ รวมถึง เฟืองท้ายใหม่ที่เบาลงประมาณ 7-10 กก. (แล้วแต่รุ่นเครื่องยนต์)
ในส่วนของเครื่องยนต์ก็ถูกลดน้ำหนักลงเช่นกัน ด้วยแนวคิดสกายแอคทีฟ เบนซิน แบบ 4 สูบ อัตราส่วนกำลังอัด 13.0:1 ได้รับเลือกมาใช้งาน โดยมีให้เลือกในขนาดความจุ 1.5 และ 2.0 ลิตร โดยทั้ง 2 ขนาดได้รับการออกแบบให้ลดน้ำหนักของชิ้นส่วนในระบบไอดี ไอเสีย รวมไปถึงระบบความร้อน โดยในรุ่น 2.0 ลิตร หากเทียบกับเครื่องยนต์รหัส เอมอาร์เซด ที่ประจำการในรุ่น เอนซี จะเบากว่า 8 กก.และหากนำรุ่นสกายแอคทีพ 1.5 ลิตร มาเทียบก็จะเบากว่าถึง 15 กก. เลยทีเดียว
น้ำหนักที่หายไปทั้งหมดนั้น เป็นผลจากการใส่ใจในรายละเอียดทุกๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นการบีบให้ผนังห้องเครื่องบางลงในจุดที่ทำได้ ฟลายวีลและเพลาข้อเหวี่ยงรวมไปถึงลูกสูบได้รับการลดน้ำหนัก กระจังหม้อน้ำบางและสั้นลง ท่อไอดี และชุดท่อไอเสียล้วนแล้วแต่ได้รับการรีดน้ำหนักให้เบา รวมไปถึงฝาครอบเครื่องที่ทำจากอลูมิเนียมฉีดขึ้นรูปยังมีน้ำหนักทัดเทียมกับฝาครอบพลาสติคอีกด้วย
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการลดน้ำหนักของระบบช่วงล่างลงถึง 12 กก. และการนำเอาเทคโนโลยี พวงมาลัยเพาเวอร์ที่ผ่อนแรงด้วยระบบไฟฟ้าเข้ามาแทนที่ระบบไฮดรอลิค โดยได้เลือกใช้ระบบตัวหนอนคู่ผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (DUAL-PINION ELECTRIC POWER ASSIST STEERING) ที่นอกจากจะเบากว่า และยังกินแรงจากเครื่องยนต์น้อยกว่ามากอีกด้วย
เมื่อกล่าวถึงระบบพวงมาลัยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า หลายท่านอาจจะเป็นกังวลว่ามันอาจจะทำให้การตอบสนองของพวงมาลัยไม่เป็นธรรมชาติ เมื่อเทียบกับระบบไฮดรอลิคที่คุ้นเคย เนื่องจากระบบมอเตอร์ไฟฟ้านั้นจะทำงานเฉพาะ เมื่อพวงมาลัยมีการขยับออกจากตำแหน่งกึ่งกลางเท่านั้น ซึ่งในอดีตนั้นเราพบว่าระบบจะให้ความรู้สึกหลอกๆ ฝืนๆ อยู่บ้าง แต่ในปัจจุบัน ระบบได้รับการพัฒนาปรับแต่งมาจนให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติแบบไม่มีข้อกังขาใดๆ แล้ว พร้อมกับมอบข้อดีด้านความปลอดภัยหลายๆ ประการ อาทิ การช่วยรักษาให้รถวิ่งได้ตรงเลน ไม่คร่อมเลน หรือเบี่ยงออกจากเลนโดยไม่ตั้งใจได้อีกด้วย (เมื่อทำงานร่วมกับระบบความปลอดภัยอื่นๆ)
เรื่องการลดน้ำหนักตัวถังอาจทำให้หลายๆ คนกังวลว่ารถจะอ่อนแอ แต่ในความเป็นจริง เอมเอกซ์-5 รุ่นล่าสุดนี้กลับแข็งและแกร่งกว่ารุ่นเดิมด้วยซ้ำ ด้วยการปรับปรุงเสริมความแข็งแรงในหลายจุด อาทิ จุดยึดระบบรองรับทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หรือแม้แม้กระทั่งจุดยึดเบาะนั่ง ทั้งหมดนี้ช่วยให้ตัวถังเกิดความแกร่ง และลดความความสั่นสะเทือน ลดเสียงรบกวนอันเกิดจากคลื่นความถี่ต่ำที่เกิดขึ้นจากถนน อันนำมาซึ่งความเงียบของห้องโดยสาร
นอกจากนั้นการออกแบบรูปทรงของขอบเฟรมกระจกบังลมหน้าก็ยังช่วยลดเสียงรบกวนที่เป็นคลื่นความถี่สูงจากลม อีกทั้งตัววัสดุผ้าใบเองก็ได้รับการออกแบบให้กันเสียงได้ดีขึ้น และกระพือเมื่อแหวกอากาศน้อยลง เมื่อเปิดประทุนแล้ว ก็ยังมีชุดปิดหลังคาผ้าใบทำจากอลูมิเนียมครอบทับ ซึ่งแม้ความเงียบในห้องโดยสารอาจจะไม่เคยเป็นจุดแข็งของรถรุ่นก่อน แต่สำหรับรุ่นล่าสุดได้รับการออกแบบให้ผู้ขับและผู้โดยสาร สามารถสนทนากันได้ในยามเปิดหลังคาได้อย่างสบายด้วยการใส่ใจในระบบอากาศพลศาสตร์ ทั้งหมดนี้ทำให้ลดเสียงรบกวนลงได้ถึง 40 % เมื่อเทียบกับรุ่นหลังคาผ้าใบในรุ่นก่อนหน้านี้
จุดสุดท้ายที่ช่วยให้รถคันนี้เบาลงได้อีก นั่นคือ การกำหนดขนาดของล้อและยางที่ใช้ จากการที่ทีมวิศวกรสามารถลดน้ำหนักของตัวรถยนต์ลงมาได้เบาขนาดนั้นแล้ว ไฉนเลยจึงจะต้องยึดติดกับการใช้ล้อขนาดใหญ่กับยางหน้ากว้าง นั่นจึงนำมาซึ่งการลดจำนวนนอทล้อกลับมาเหลือ 4 ตัว (เหมือนในรุ่น เอนเอ กับ เอนบี) จากเดิมในรหัสตัวถัง เอนซี นั้นใช้นอทล้อ 5 ตัว เหมือนกับ มาซดา 3 ซึ่งตามมาตรฐานแล้ว ล้อที่ใช้นอท 5 รู ต้องได้รับการออกแบบให้รับโหลดมากกว่านอท 4 ตัว ถึงวงละ 190 กก. ส่งผลให้ล้อแต่ละวงโดยเฉลี่ยจะต้องหนากว่าและหนักกว่าราว 2 กก./วง และยังสามารถลดขนาดยางลงให้เบากว่าเดิมอีกด้วย น้ำหนักรวมของล้อและยางจะลดลง ซึ่งส่งผลโดยตรงกับการบังคับควบคุม
นอกจากเรื่องการลดน้ำหนักแล้ว ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมายสำหรับ มาซดา เอมเอกซ์-5 เจเนอเรชันล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราสิ้นเปลือง ระบบอำนวยความสะดวก ระบบความปลอดภัย และระบบเปิด/ปิดหลังคาที่ว่องไวกว่ารถเปิดประทุนทั่วไป (ใช้เวลาเพียง 12 วินาที เท่านั้น) แต่ไฮไลท์จริงๆ คือ เรื่องการลดน้ำหนัก และความสนุกในการขับขี่โดยไม่ง้อพลังเครื่องยนต์นั่นเอง
นี่คือ หัวใจของความสำเร็จของ มาซดา มาตลอด 25 ปี และไม่น่าผิดไปถ้าจะคาดเดาว่า รถรุ่นนี้จะเป็นคลาสสิคคาร์ที่มีสาวกคลั่งไคล้ไปทั่วโลก เช่นเดียวกับที่บรรพบุรุษของมันทำไว้อย่างแน่นอน
เรื่องโดย : ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2558
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/105235