เทคนิค
ช่วง 2-3 เดือนนี้ ได้รับคำถามเกี่ยวกับอะไหล่ และชิ้นส่วนเกี่ยวข้องกับรถยนต์มากมาย ส่วนใหญ่เป็นประเด็นเรื่องของการเปรียบเทียบการเลือกซื้ออะไหล่, ชิ้นส่วนต่างๆ, ยาง, น้ำมันเครื่อง ในประเด็นที่ว่า ของไทยกับของนอกอันไหนดีกว่ากัน ?
ช่วง 2-3 เดือนนี้ ได้รับคำถามเกี่ยวกับอะไหล่ และชิ้นส่วนเกี่ยวข้องกับรถยนต์มากมาย ส่วนใหญ่เป็นประเด็นเรื่องของการเปรียบเทียบการเลือกซื้ออะไหล่, ชิ้นส่วนต่างๆ, ยาง, น้ำมันเครื่อง ในประเด็นที่ว่า ของไทยกับของนอกอันไหนดีกว่ากัน ?
ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ฟังแล้วก็เศร้าใจไม่น้อยเลยทีเดียว ว่าทำไมคนไทยด้วยกันถึงได้ดูถูกฝีมือ
ของคนชาติเดียวกันขนาดนี้ หลายๆ คนชี้แจ้งให้ฟัง และยอมรับความคิดใหม่ๆ ว่าของไทยไม่แพ้
ชาติใดในโลก หลายคนก็ย้อนกลับมาว่าจะซื้อของนอกจะทำไม ในเมื่อเขามั่นใจว่าของนอกดีกว่า
เงินก็เงินของเขา รถเขาก็รถนอก จะมาใช้อะไหล่ที่ผลิตในประเทศได้อย่างไร ด้วยความที่ไม่อยาก
โดนชก เลยไม่ได้บอกเขาว่ารถคันที่ขับน่ะ ก็ประกอบบ้านเรานะ
ฉบับนี้เราเลยจะมาแนะนำกันเรื่องอะไหล่ และชิ้นส่วนต่างๆ ว่าของไทยกับของนอก ควรเลือกซื้อ
อย่างไรจึงจะคุ้มค่ามากกว่ากัน
ยางรถยนต์
เป็นประเด็นที่ถูกถามเข้ามามากมาย เช่น ถ้าเพิ่มอีกเส้นละ 700 บาท แล้วได้ยางนอก ควรซื้อหรือไม่
ครับ ? หรือ เห็นเขาว่ากันว่ายางนอกมีประสิทธิภาพดีกว่าจริงไหมครับ ? หรือ ยางไทยใช้แล้ว
แข็งเร็วจริงกว่ายางนอกใช่ไหมครับ ? และอีกหลายๆ คำถามที่มาในทำนองเดียวกัน
ประเด็นแรกที่ผู้ใช้รถต้องเรียนรู้ คือ ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน แถมมีความชื้นสูงด้วย แตกต่าง
จากประเทศแถบยุโรป และญี่ปุ่น ที่มีอากาศเย็น เมื่อคุณทราบความแตกต่างเรื่องสภาพอากาศ
แล้ว คุณจะเข้าใจว่าทำไมวิศวกรถึงต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อพัฒนายางให้เหมาะกับแต่ละ
ภูมิภาค นั่นเพราะว่าสภาพอากาศ และสภาพแวดล้อมเป็นตัวแปรสำคัญ ที่จะทำให้ยางมี
ประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสุด เหมือนกับคุณจะไปเปิดร้านข้าวซอยที่ภาคใต้ มันก็ดูแปลกตาดี
แต่ยอดขายคงไม่ดีนัก เพราะมันไม่ถูกปากเขา ในทางกลับกัน ถ้าคุณเอาข้าวยำรสจัดๆ
ไปขายเมืองเหนือก็คงได้ผลเหมือนๆ กัน
ทำไมวิศวกรต้องมานั่งปวดหัวพัฒนายางรุ่นหนึ่งให้เหมาะกับแต่ละสภาพพื้นที่ ? อย่างบ้านเรา
อากาศร้อน พื้นถนนร้อนมาก ถ้าใช้ยางเนื้อนิ่มๆ แบบเดียวกับประเทศแถบยุโรป และญี่ปุ่น
มันจะสึกหรอเร็วมากๆ แต่สิ่งที่ได้รับ คือ การยึดเกาะที่ดีเยี่ยม กรณีที่เอายางบ้านเราไปวิ่งบน
ถนนที่เปียกแฉะ หรือเย็นๆ ก็คงลื่นเอาง่ายๆ
หลักใหญ่ใจความในการออกแบบยางรถยนต์ คือ ต้องมีประสิทธิภาพในทุกสภาพอากาศ รองลงมา
คือ ความทนทาน บ้านเราอากาศร้อน พื้นถนนร้อนมาก ยางจะสึกหรอเร็ว จำเป็นต้องเพิ่มความ
ทนทานให้กับยางมากขึ้น ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมลดลงบ้างนั่นเอง หลายท่านอาจจะเคย
พบว่ายางที่มาจากยุโรป หรือญี่ปุ่น มักแก้มบวมง่าย, ดอกยางสึกเร็ว นั่นเพราะว่าถนนบ้านเขา
เรียบมากๆ โครงสร้างยางไม่ต้องเผื่อให้แข็งมากก็ได้ และเนื้อยางนิ่มๆ เหมาะกับอากาศเย็น
และพื้นที่ที่มีหิมะตก พอมาใช้บ้านเรามันก็หมดเร็วเป็นธรรมดา ยางรุ่นเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกัน
ผลิตกันคนละที่ เพื่อให้สอดคล้องกับภูมิภาคที่แตกต่างกัน คุณสมบัติของเนื้อยางจะไม่
เหมือนกัน เพราะคำนึงถึงปัจจัยที่กล่าวมาแล้ว
สรุปได้ว่ายางที่ผลิตบ้านเรานั้นไม่ใช่ไม่ดี แต่มันเหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพอากาศแบบนี้
จึงมีสมรรถนะ, ความทนทาน และราคาที่เหมาะสมควบคู่กันไป การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความ
ต้องการของตัวคุณเองถ้าต้องการยางที่ใช้ได้คุ้มค่า ควรเลือกยางที่ผลิตในบ้านเรา เพราะออกแบบ
มาเพื่อถนนบ้านเราโดยเฉพาะ สิ่งสำคัญ คือ วัตถุดิบในการผลิตอยู่ที่บ้านเรานี่เอง ต้นทุนการผลิต
เลยถูกกว่ากันมาก กรณีที่ต้องการเรื่องสมรรถนะในการยึดเกาะถนนมากๆ หมดเร็วไม่ว่า
และงบประมาณไม่เกี่ยง ควรเลือกยางนอก แต่ต้องดูปีด้วยนะครับว่าเป็นยางใหม่ ไม่ใช่ยางเก่าเก็บ
หัวเทียน
มีรุ่นน้องหลายคนชอบถามว่าหัวเทียนที่ผลิตบ้านเรากับผลิตที่ญี่ปุ่นต่างกันอย่างไร ทำไมรุ่น
เดียวกัน เบอร์เดียวกัน ราคามันแตกต่างกันเยอะ เลยต้องบอกไปว่า ประการแรก ค่าขนส่งจาก
ระยองมากรุงเทพ ฯ กับค่าขนส่งจากญี่ปุ่นมาเมืองไทย อย่างไหนถูกกว่ากัน นั่นคือ เหตุผลหลักๆ
ว่าทำไมราคาถึงแพงกว่ากันเยอะ
ประการที่ 2 ถ้านำเข้ามาถูกต้องจะเจอเรื่องของภาษี, ค่าการตลาด และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้
ของที่ผลิตในบ้านเราถูกกว่า ส่วนเรื่องคุณภาพถือว่าพอๆ กัน เพราะใช้เทคโนโลยี, วัตถุดิบ
และเครื่องจักรเหมือนๆ กัน หนำซ้ำหัวเทียนที่ผลิตในบ้านเรานั้นถูกติดตั้งไปกับรถหลายๆ
รุ่น หลายๆ ยี่ห้อ ที่ส่งขายไปทั่วโลกด้วย ลองคิดดูว่าคุณภาพเท่าๆ กัน อายุการใช้งานเท่าๆ กัน
ราคาถูกกว่าเยอะ อย่างไหนจะคุ้มค่ากว่า เพราะมันต่างกันแค่คำว่า MADE IN THAILAND
เท่านั้น
ผ้าเบรค
เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นชัดเจนถึงความรู้สึกในการตอบสนอง โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยน
ยี่ห้อ เปลี่ยนรุ่นใหม่ ความรู้สึกจะค่อนข้างชัดเจนว่าการตอบสนองแตกต่างกัน เรื่องนี้เคยเจอกับ
ตัวเอง ได้ผ้าเบรคยี่ห้อหนึ่งที่ผลิตในบ้านเรามาใช้ ยี่ห้อนี้ดั้งเดิมโรงงานอยู่ที่ญี่ปุ่น เพิ่งมาตั้งโรงงาน
ในบ้านเราเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เมื่อใช้จนหมดด้วยความติดใจในสมรรถนะของยี่ห้อนี้ เลยเปลี่ยนโดย
เจาะจงยี่ห้อเดิม แต่คราวนี้เพิ่มเงินอีกราวๆ 1,000 บาท เพื่อซื้อของที่ผลิตในญี่ปุ่น หลังจากใช้ไป
หลายวัน จับความแตกต่างไม่ได้เลย ดังนั้นสรุปได้เลยว่า ของยี่ห้อเดียวกันที่ผลิตในบ้านเรา
นั้นคุณภาพไม่แตกต่างกัน เพราะเขาต้องรักษาคุณภาพให้เหมือนต้นฉบับ ไม่อย่างนั้นสินค้าจะขาย
ไม่ได้นั่นเอง ทำไมบริษัทผ้าเบรคใหญ่ๆ จึงมาตั้งฐานการผลิตในบ้านเรา นั่นเพราะว่าบ้านเรา
มียอดจำหน่ายรถยนต์สูงมากๆ และเป็นฐานการผลิตส่งออกสำคัญ ถ้าเขามาตั้งโรงงานก็ได้ 2 เด้ง
คือ ขายเป็นอะไหล่ กับขายเข้าโรงงานประกอบรถยนต์ แล้วอย่างนี้ยังจะเสียเงินแพงๆ อีกทำไม
ใบปัดน้ำฝน
เข้าหน้าฝนแล้วคุณเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนหรือยังครับ ? และถ้าจะเปลี่ยน ของที่ผลิตในบ้านเรา
คุณภาพดีๆ มีให้เลือกเยอะ ราคาไม่แพงด้วยนะครับ ทำไมถึงแนะนำให้ใช้ของที่ผลิตในบ้านเรา
เพราะว่าบ้านเราเป็นแหล่งผลิตยางดิบคุณภาพดี เลือกยางปัดน้ำฝนราคากลางๆ ก็ได้ของดีแล้ว
ไม่ต้องคิดมาก ใช้ปีเดียวก็เสื่อมสภาพแล้ว เคยเจาะจงของนอกยี่ห้อดังๆ ราคาแพงกว่าของที่
ผลิตในบ้านเราเป็นเท่าตัว เอามาใช้ปรากฏว่าปัดไม่สะอาดเลย เราคิดว่าเป็นเพราะกระจกไม่สะอาด
ก็ลงทุนเช็ดทำความสะอาด แล้วใช้ใบมีดโกนหนวดขูดคราบสกปรกที่เช็ดไม่ออกจนเกลี้ยง
ก็ยังปัดไม่สะอาดอยู่ดี
เมื่อถอดใบปัดน้ำฝนออกมาพิจารณาดู พบว่าใบปัดมีรอยแตกลายงา เนื้อยางไม่นุ่มเท่าที่ควร
จึงไปซื้อมาใหม่เป็นของยี่ห้อเดิม แต่ผลิตในบ้านเรา เมื่อเปรียบเทียบกันพบว่ายางมีความนุ่ม
ยืดหยุ่นดีกว่าอันแรกที่ซื้อมา สรุปได้ว่าเจอของเก่าเก็บมานั่นเอง แบบนี้จะสู้ของที่ผลิตใหม่ๆ
ในบ้านเราได้อย่างไร เรื่องใบปัดน้ำฝนควรเปลี่ยนก่อนเข้าฤดูกาล พอปีหน้าก็เปลี่ยนใหม่ จะทำให้
การปัดสะอาด ไม่ทำให้กระจกเป็นรอย เนื่องจากยางจะแนบกับกระจกตลอดเวลา ความร้อนทำให้
ยางเสื่อมง่ายมาก หนำซ้ำการยกก้านปัดน้ำฝนเอาไว้เพราะต้องการยืดอายุใบปัด ทำให้สปริงล้า
ไม่สามารถกดใบปัดให้แนบกระจกได้ดีนัก พอใช้ความเร็วมากขึ้น ใบปัดจะกวาดน้ำออกจาก
กระจกได้ไม่ดี
น้ำมันเครื่อง
อีกหนึ่งเรื่องปวดหัวที่เจอบ่อย หลายคนคิดว่าน้ำมันเครื่องที่ผลิตในบ้านเรา ปกป้องเครื่องยนต์
ได้ไม่ดีพอ ต้องเสาะแสวงหาของนอกมาใช้ให้ได้ แพงเท่าไหนก็สู้ มีเพื่อนคนหนึ่งเป็นเอามาก
ขนาดน้ำมันเครื่องนำเข้าแล้วมาแบ่งบรรจุในบ้านเราพวกยังไม่ซื้อเลย ปัจจุบันนี้น้ำมันเครื่อง
นำเข้าบรรจุเป็นแกลลอนมาแล้วเริ่มหายาก ก็มาปรึกษาว่าจะหาน้ำมันเครื่องดีๆ ได้ที่ไหน
เลยย้อนถามกลับไปว่า ทำไมคิดว่าน้ำมันเครื่องนอกดีกว่าของไทย ถึงกับสะอึกหาเหตุผลไม่เจอ
พอจี้ใจดำเข้าหน่อยว่ามันมีผลด้านจิตใจใช่ไหม พวกบอกว่าใช่ เลยย้อนถามกลับไปว่า ปกติเห็น
ใช้รถ 4-5 ปีก็เปลี่ยน แถมวิ่งก็ไม่เคยเกินแสน กม. แล้วจะซีเรียสไปทำไมหนักหนา ดูรถแทกซีสิ
ใช้น้ำมันเครื่องธรรมดา เปลี่ยนถ่ายอย่างเหมาะสม เขาก็ใช้งานได้มากกว่าสองแสนสบายๆ
แล้วอย่างนี้จะไปกังวลอะไรหนักหนา จนเพื่อนคนนั้นเห็นทางสว่าง เปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้
น้ำมันเครื่องที่ผลิตในบ้านเรา แกลลอนละ 700-800 บาท สักพักก็มาเล่าให้ฟังว่าไม่เห็นถึงความ
แตกต่างอะไร ที่เห็นชัด คือ ค่าน้ำมันเครื่องบวกไส้กรองน้ำมันเครื่อง และค่าแรง ก็ถูกกว่ากันถึง
1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอะไรนะหรือครับ...
ส่วนใหญ่การใช้งานในชีวิตประจำวันเราไม่ได้ใช้รอบเครื่องสูงๆ ตลอดเวลา ยิ่งในเมืองเราใช้
แต่รอบต่ำๆ ถึงปานกลางแค่นั้นเอง ใช้น้ำมันเครื่องดีมากๆ ก็ไม่ช่วยอะไร เว้นแต่ว่าคุณวิ่งทางไกล
เป็นประจำ ใช้ความเร็วสูง รอบเครื่องสูง กรณีนี้น้ำมันเครื่องแพงๆ ถึงจะเหมาะกับการใช้งานของคุณ
ทั้งหมดทั้งมวลที่เอามาเล่าให้ฟัง เพื่อต้องการให้ผู้ใช้รถเปลี่ยนพฤติกรรมกันใหม่ ที่แนะนำไปนั้น
มันมีเหตุผลของแต่ละหัวข้ออยู่ บางอย่างของนอกย่อมดีกว่า ผมไม่เถียง ถ้าคุณใช้ถึงขีดความ
สามารถของมัน ในรถบ้านอย่างเราๆ ไม่จำเป็นต้องพึ่งของแพงๆ เหล่านั้นเลย มันเป็นการเอาเงิน
ไปทิ้งโดยไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา
เหมือนคุณสั่งทีโบนเนื้อนำเข้าจานละ 500 บาท แต่พ่อครัวฝีมือไม่ถึง ปรุงออกมา กินแล้วไม่รู้สึก
ต่างจากเนื้อบ้านเราจานละ 220 บาท แบบนี้จะไปกินเนื้อนำเข้าทำไม เว้นแต่ไปเจอพ่อครัวเก่งๆ
ที่ดึงรสชาติเนื้อออกมาได้เต็มร้อย แบบนั้นค่อยน่าควักกระเป๋าจ่ายแพงๆ ครับ
ABOUT THE AUTHOR
พ
พหล ฯ 30 4wheels@autoinfo.co.th
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน กันยายน ปี 2552
คอลัมน์ Online : เทคนิค