ทดสอบ(formula) 1 Oct 2012
MITSUBISHI MIRAGE
มาถึงวันนี้หลายคนคงได้สัมผัส หรือรู้จักกับ อีโคคาร์ หลากรุ่น หลายยี่ห้อ กันไปแล้ว ซึ่งแต่ละรุ่นล้วนมีจุดเด่นแตกต่างกันไป รวมไปถึงรถที่เรานำมาทดสอบในครั้งนี้กับ มิตซูบิชิ มิราจ (MITSUBISHI MIRAGE) อีโคคาร์ จากค่ายสามเพชร มาดูกันว่ารถคันนี้มีไม้เด็ดอะไรบ้าง ที่จะมาสู้ศึกรถเล็กเน้นความประหยัดในบ้านเราขณะนี้
EXTERIOR ภายนอก
ตัวถังในสไตล์แฮทช์แบคเหมือนกันกับเพื่อนคู่แข่งระดับเดียวกัน (ยกเว้น อัลเมรา) เส้นสายยึดแนว “ทางสายกลาง” นั่นคือ ไม่ถึงกับโค้งมนเหมือน นิสสัน มาร์ช (NISSAN MARCH) แต่ไม่ได้คมเข้มแบบ ซูซูกิ สวิฟท์ (SUZUKI SWIFT) หรือ ฮอนดา บรีโอ (HONDA BRIO) อย่างไรก็ตาม ระยะฐานล้อยังคงทัดเทียมกับคู่แข่งแฮทช์แบคทั้งหลาย โดย มิราจ คือ 2,450 มม. เท่ากับ มาร์ช พอดี มากกว่าทั้ง สวิฟท์ และ บรีโอ
คุณสมบัติที่น่าสนใจของรถรุ่นนี้ คือ น้ำหนักตัวที่เบาหวิวกว่าคู่แข่ง โดยมีพิกัดน้ำหนักรวมอยู่ระหว่าง 830-870 กก. เท่านั้น เทียบกับเจ้าอื่นอย่าง สวิฟท์ 960-975 กก. มาร์ช 900-965 กก. และ บรีโอ 920-950 กก. ถือว่าแตกต่างกันเกือบ 100 กก. ทีเดียวเชียว เท่านั้นยังไม่พอ ตัวถังของ มิราจ ยังลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ (CD) เพียง 0.29 เท่านั้น
เนื่องจากต้องคำนึงถึงความประหยัดเชื้อเพลิงตามมาตรฐาน อีโคคาร์ ยางที่ใช้จึงมีขนาดเล็กมาก เทียบกันแล้วถือว่าเล็กที่สุดกับบรรดาคู่แข่งทั้งหลายกับยาง บริดจ์สโตน อีโคเพีย (BRIDGESTONE ECOPIA) ขนาด 165/65 R14 ในทุกรุ่นย่อย ขณะที่ยางขนาด 14 นิ้ว ติดตั้งกับ มาร์ช (รุ่น เอส ถึง อีแอล) มีขนาด 165/70 R14 และ บรีโอ คือ 175/65 R14
INTERIOR ภายใน
ภายในของ มิราจ ใช้โทนสีดำ สังเกตจากวัสดุที่ใช้ตามส่วนต่างๆ ยังคงเรียบง่ายตามสไตล์รถราคาประหยัด แต่พวงมาลัยดูจืดชืดไปหน่อย ส่วนพื้นที่ห้องโดยสารถือว่าพอเพียง ไม่แพ้คู่แข่งรายอื่นๆ เบาะนั่งเน้นความสบาย โดยเฉพาะด้านหลัง รูปทรงที่ไม่โอบสรีระ แต่มีประโยชน์ยามขับทางไกล สามารถเปลี่ยนอิริยาบถได้สะดวก นอกจากนี้ยังพับแยกได้แบบ 60:40 เพิ่มความหลากหลายทั้งการโดยสาร และการขนสัมภาระ แต่การพับเบาะค่อนข้างยุ่งยากเล็กน้อย เนื่องจากต้องดึงห่วงบริเวณด้านหลังเบาะเท่านั้น หากเพิ่มสลักบริเวณหัวไหล่ด้วยจะสะดวกกว่านี้
ภายใต้ความเรียบง่ายยังติดตั้งเครื่องเล่นดีวีดี เนวิเกเตอร์ (รุ่นทอพ จีแอลเอส ลิมิเทด) นับเป็น อีโคคาร์ เจ้าเดียวในตอนนี้ที่ติดตั้งอุปกรณ์ระดับดังกล่าวมาให้ จากการสอบถามทางเจ้าหน้าที่ของ มิตซูบิชิ ระบุว่าเป็นเครื่องเล่นดีวีดีของ CLARION รองรับความบันเทิงได้เกือบครบถ้วน แต่เนื่องจากไม่มีระบบพวงมาลัยมัลทิฟังค์ชัน การสั่งงานต้องผ่านหน้าจอระบบสัมผัสทั้งหมด อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ที่กำลังขับรถ
ทาง มิตซูบิชิ ยังเพิ่มอรรถประโยชน์การใช้งานด้วยระบบไฟฟ้าตั้งเวลา (ETACS: ELECTRONIC TIME AND ALARM CONTROL SYSTEM) ควบคุมระบบช่วยเหลือต่างๆ เช่น ระบบปรับจังหวะการปัดน้ำฝนด้านหน้า (ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. ขึ้นไป) ระบบลอคประตู ปิดไฟหน้า และหน่วงเวลาการทำงานของกระจกไฟฟ้า โดยอัตโนมัติหลังจากดับเครื่องยนต์ 30 วินาที แม้เป็นลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ แต่ในแง่ของการใช้งานในตัวเมืองที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ระบบ ETACS ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และอุ่นใจ ได้อีกทางหนึ่ง
ENGINE เครื่องยนต์
เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร กำลัง 78 แรงม้า แม้จะดูน้อยกว่าเจ้าอื่นๆ (มาร์ช และ อัลเมรา 79 แรงม้า) แต่อย่างที่กล่าวไปแล้วในหัวข้อ “ภายนอก” ว่ารถรุ่นนี้มีน้ำหนักตัวที่เบาหวิวเพียง 870 กก. (รุ่นที่นำมาทดสอบเป็นรุ่นทอพ) เมื่อมาเฉลี่ยแล้วม้า 1 ตัวแบกน้ำหนัก 11.2 กก. ไม่ต่างจากคู่แข่งอีโคคาร์มากนัก
ด้านความประหยัดเชื้อเพลิงที่ความเร็ว 80 กม./ชม. มิราจ ทำได้ 26.3 กม./ลิตร ถือว่าดีกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับ สวิฟท์ ที่ 24.8 กม./ลิตร และ มาร์ช ที่ 26.0 กม./ลิตร
ขยับความเร็วมาที่ 100 กม./ชม. อีโคคาร์จากค่ายสามเพชร มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 20.4 กม./ลิตร นับเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในบรรดาอีโคคาร์สไตล์แฮทช์แบคทั้งหลาย โดย มาร์ช 20.1 กม./ลิตร สวิฟท์ 19.2 กม./ลิตร และ บรีโอ 19.8 กม./ลิตร จะเป็นรองก็เพียงซีดานอย่าง อัลเมรา ที่มีความได้เปรียบทางอากาศพลศาสตร์ กับตัวเลขในส่วนนี้ที่ 20.6 กม./ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยของ มิราจ ขณะขับที่ความเร็วคงที่อาจดูใกล้เคียงกับคู่แข่งรายอื่น แต่เราสังเกตจากไฟแสดงผล “ECO” บนหน้าปัด ที่แสดงขึ้นเกือบตลอดเวลา แม้จะกดคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็ว สัญญาณไฟดังกล่าวก็ยังแสดงให้เห็น มีความเป็นไปได้ว่าด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติแปรผัน MIVEC-3 ทำให้ มิราจ มีการส่งกำลังที่เหมาะสม มีความประหยัดเชื้อเพลิงที่ยืดหยุ่นแม้ขณะกดคันเร่ง ในแง่การใช้งานทั่วไป ถือว่ารถรุ่นนี้มีความประหยัดโดยรวมที่ดีทีเดียว
ทางด้านสมรรถนะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. มิราจ ทำเวลา 15.3 วินาที ใกล้เคียงกับอีโคคาร์แฮทช์แบคอย่าง สวิฟท์ 14.9 วินาที มาร์ช 15.1 วินาที และ บรีโอ 14.8 วินาที (ซีดานอย่าง อัลเมรา ตามมาห่างๆ ที่ 16.4 วินาที)
หากลองเร่งกันยาวๆ ที่อัตราเร่งระยะ 0-1,000 ม. มิราจ ทำเวลาได้ 36.9 วินาที (ที่ความเร็ว 139.7 กม./ชม.) ตามเพื่อนๆ แฮทช์แบคทั้งหลายอยู่เล็กน้อยโดย สวิฟท์ 36.0 วินาที (ที่ความเร็ว 144.9 กม./ชม.) มาร์ช 36.7 วินาที (ที่ความเร็ว 137.8 กม./ชม) และ บรีโอ 36.3 วินาที (ที่ความเร็ว 139.2 กม./ชม.) แต่ยังนำหน้าซีดานอย่าง อัลเมรา กับอัตราเร่ง 37.4 วินาที (ที่ความเร็ว 140.4 กม./ชม.)
สุดท้าย คือ อัตราเร่งยืดหยุ่นที่ความเร็ว 60-100 กม./ชม. มิราจ ทำได้ 8.5 วินาที ไวกว่า มาร์ช แบบเฉียดฉิว กับอัตราเร่ง 8.8 วินาที และตามมาติดๆ กับ สวิฟท์ 8.3 วินาที และ บรีโอ 8.0 วินาที (อัลเมรา ตามมาที่ 9.2 วินาที)
พิจารณาจากอัตราเร่งแล้ว มิราจ ยังทำได้ดีพอสมควร แม้ไม่ถึงกับโดดเด่น แต่ก็มีหลายส่วนที่ตามคู่แข่งมาไม่ห่างในช่วงความเร็วต่ำ น้ำหนักตัวที่ค่อนข้างน้อยมีประโยชน์ในส่วนนี้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามพละกำลังที่ไม่มากมายเท่าไรยังส่งผลให้ความเร็วช่วงตีนปลายมีแผ่วบ้างเป็นธรรมดา
SUSPENSION ระบบรองรับ
ช่วงล่างของ มิราจ ปรับแต่งเน้นความนุ่มนวล แต่ไม่ถึงยวบยาบจนเกินไป การขับขี่โดยรวม ยังให้ความมั่นคงเป็นอย่างดี พวงมาลัยเบาแรง บังคับควบคุมง่ายดาย ในการใช้งานทั่วไปในตัวเมือง หรือการเดินทางไกล ถือว่าไม่มีปัญหาสำหรับรถรุ่นนี้ แต่ด้วยยางที่ใช้มีหน้ากว้างค่อนข้างน้อย (165/65 R14) จึงควรหลีกเลี่ยงการเข้าโค้งที่ความเร็วสูง หรือโค้งต่อเนื่อง
ด้านประสิทธิภาพระบบเบรคที่ความเร็ว 60/80/100 กม./ชม. มิราจ ทำได้ 15.5/27.8/43.0 ม. ถือว่าทำได้ดีพอสมควร นับว่าเป็น อีโคคาร์ ที่มีประสิทธิภาพของระบบเบรคดีเยี่ยมเป็นลำดับที่ 2 เป็นรองแค่ มาร์ช ที่ทำได้ 15.3/26.7/40.9 ม. ตามลำดับ
มิตซูบิชิ มิราจ แสดงให้เห็นอีกสไตล์หนึ่งของรถ อีโคคาร์ เน้นความประหยัดเชื้อเพลิงที่มีความยืดหยุ่นเป็นอย่างดี การขับขี่โดยรวมที่มีความคล่องตัว สะดวกสบาย พร้อมกับสมรรถนะโดยรวมที่พอเพียงกับการใช้งานทั่วไป จุดเด่น คือระบบต่างๆ ที่ถูกติดตั้งมาเพื่อเอื้อต่อการใช้งานของผู้เป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นระบบเกียร์ที่ชาญฉลาด พร้อมกับระบบ ETACS ที่ช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันได้ไม่น้อย
ตลาดอีโคคาร์ ยังคงดำเนินต่อไป พร้อมกับการแข่งขันของรถรุ่นใหม่ๆ ที่จะตามมาในอนาคต แต่ มิราจ ก็มีดีมากพอที่จะทำให้เรารู้สึกว่า ไม่ต้องมองไปไกลขนาดนั้น เพราะปัจจุบันที่เป็นอยู่กับรถรุ่นนี้ก็น่าสนใจมากพออยู่แล้ว