ทดสอบ(formula) 28 Oct 2018
มาเซราตี เลวันเต เอส
ค่าย มาเซราตี ขึ้นชื่อด้านความสปอร์ทมาช้านาน จัดเป็นหนึ่งในค่ายรถสัญชาติอิตาเลียนที่มีประวัติมายาวนานแห่งหนึ่ง หลังจากที่ทำตลาดกับรถสปอร์ท และสปอร์ทซีดาน แต่จากกระแสรถยนต์ประเภทครอสส์โอเวอร์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด ทางค่ายก็พัฒนารถครอสส์โอเวอร์สไตล์ เอสยูวีรุ่นแรกในประวัติศาสตร์กับ เลวันเต พร้อมทางเลือกเครื่องยนต์ที่หลากหลาย ทั้งเบนซิน และดีเซล แต่ขุมพลังบลอคไหนจะตอบสนองตัวตนของ มาเซราตี ได้ชัดเจนกว่ากัน ? เรามาหาคำตอบในการทดสอบครั้งนี้
EXTERIOR ภายนอก
แม้เป็นครอสส์โอเวอร์รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของค่ายรถแห่งนี้ แต่เส้นสายของ เลวันเต สะท้อนเอกลักษณ์ของ มาเซราตี ได้อย่างครบถ้วน จะเห็นได้จากกระจังหน้าทรง 4 เหลี่ยมโค้งขนาดใหญ่ ไฟหน้าทรงเรียว ชวนให้นึกถึงสปอร์ทร่วมค่ายอย่าง กวัตตโรโปร์เต และขาดไม่ได้กับช่องระบายอากาศด้านข้างตัวถัง บริเวณเหนือซุ้มล้อหน้า คือ สิ่งที่คุ้นตากันเป็นอย่างดีกับรถยนต์ของ มาเซราตี ด้านข้างเน้นความปราดเปรียว กระจกหน้าต่างทรงเรียวรับกับแนวหลังคาที่ลาดเท สมกับค่ายรถแนวสปอร์ท ไฟท้ายทรงเหลี่ยม คล้ายกับสปอร์ทซีดานอย่าง กิบลี แต่รุ่นที่เราทดสอบในครั้งนี้ คือ เลวันเต เอส ตัวถังตกแต่งเน้นมาดสปอร์ท ล้อแมกขนาด 21 นิ้ว ท่อไอเสียคู่ แยกซ้าย/ขวา
แม้เป็นครอสส์โอเวอร์ที่เน้นมาดสปอร์ท แต่ เลวันเต มีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ ระยะฐานล้อถึง 3,000 มม. ความยาว 5,003 มม. ถือว่าใหญ่กว่า บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 5 ด้วยซ้ำ แต่การออกแบบที่ปราดเปรียว และลงตัว ทำให้ เลวันเต ไม่มีความเทอะทะแต่อย่างใด
INTERIOR ภายใน
การออกแบบห้องโดยสารยังคงสะท้อนแนวทางของค่ายรถแห่งนี้เช่นกัน เห็นได้จากรูปทรงของพวงมาลัยแบบ 3 ก้าน เน้นความเรียบง่าย พร้อมโลโกตรีศูลตรงกลาง มาตรวัดแบบแอนาลอกดั้งเดิม จำนวน 2 วง แยกซ้าย/ขวา ตรงกลางเป็นจอดิจิทอลแสดงผลการทำงานต่างๆ ในรุ่น เอส ใช้วัสดุลายคาร์บอนไฟเบอร์ เพิ่มอารมณ์สปอร์ท เร้าใจด้วยการตกแต่งภายในห้องโดยสาร รวมถึงเบาะนั่ง ด้วยหนังแท้ชั้นดี สีแดงสด แต่ยังไม่ทิ้งความคลาสสิคด้วยการติดตั้งนาฬิกาบริเวณด้านบนของคอนโซลหน้า คันเกียร์ทรงโค้ง รูปทรงกระชับสั้น การเปลี่ยนโหมดเกียร์ใช้การโยกขึ้น/ลง แทนที่การเลื่อนลงมาเป็นขั้นแบบระบบเกียร์ทั่วไป บรรดาปุ่มใช้งานต่างๆ จะติดตั้งทางฝั่งขวาของคันเกียร์ เพื่อความสะดวกต่อการใช้งาน ราวกับเป็นรถที่เน้นการขับขี่ด้วยตนเอง อีกจุดหนึ่งที่บ่งบอกความสปอร์ทของรถรุ่นนี้ คือ แพดเดิล ชิฟท์ ขนาดใหญ่ ติดตั้งกับคอพวงมาลัย ใช้วัสดุอลูมิเนียมยามใช้งานให้ความรู้สึกหนักแน่นดีมาก
ในแง่ของความกว้างขวาง ถือว่าทำได้ดีการเป็นครอสส์โอเวอร์สไตล์ เอสยูวี เบาะนั่งไม่โอบกระชับสรีระมากเกินไป แต่ในฐานะที่เป็นตัวแรง รหัส เอส เราคิดว่าตัวเบาะควรเน้นความสปอร์ทมากกว่านี้ (นอกเหนือจากการใช้สีแดงสด) คาดว่าทางผู้ผลิตต้องการให้ เลวันเต สามารถขับใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบายด้วย ขณะที่ด้านหลังนั่งได้สบายเกินคาด ระยะศีรษะมีเหลือเฟือ แม้หลังคาจะค่อนข้างลาดเทก็ตาม แต่การรองรับผู้โดยสารด้านหลัง เหมาะสำหรับจำนวน 2 คนมากกว่า เนื่องจากตรงกลางเป็นซุ้มอุโมงค์เกียร์ขนาดใหญ่ ไม่สะดวกกับการนั่งตรงกลางของเบาะหลัง แต่ในแง่ของอุปกรณ์ใช้สอย มีให้ครบ ทั้งระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พนักพิงหลังปรับเอนได้พอสมควร คุณภาพการประกอบแทบไม่มีที่ติ สมกับการเป็นค่ายรถหรู
ENGINE เครื่องยนต์
เลวันเต เอส ใช้เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ วี 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 430 แรงม้า ที่ 5,750 รตน. แรงบิดสูงสุด 59.1 กก.-ม. ที่ 1,750-5,000 รตน. เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา สามารถแปรผันการส่งกำลังได้ตามสภาวะการขับขี่ อัตราเร่งมีดังนี้
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.4 วินาที อัตราเร่ง 0-1,000 ม. ที่ 25.8 วินาที (ที่ความเร็ว 209.3 กม./ชม.) อัตราเร่งยืดหยุ่น ช่วง 60-100 กม./ชม. คือ 3.0 วินาที และช่วง 80-120 กม./ชม. อยู่ที่ 3.5 วินาที ถือว่าจัดจ้านไม่เบา
นอกจากรุ่นเครื่องยนต์เบนซินแล้ว ทาง มาเซราตี ยังมีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล กับ เลวันเต ดีเซล เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ แบบ วี 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 275 แรงม้า ที่ 4,000 รตน. แรงบิดสุงสุด 61.2 กก.-ม. ที่ 2,000-2,600 รตน. เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะชุดเดียวกันกับรุ่น เอส
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8.2 วินาที อัตราเร่ง 0-1,000 ม. ที่ 29.1 วินาที (ที่ความเร็ว 182.5 กม./ชม.) อัตราเร่งยืดหยุ่น ช่วง 60-100 กม./ชม. คือ 4.2 วินาที และช่วง 80-120 กม./ชม. อยู่ที่ 5.6 วินาที
ตัวเลขของอัตราเร่ง เลวันเต ทั้งรุ่น เอส (เครื่องยนต์เบนซิน) และรุ่นดีเซล ทำให้เรามีความรู้สึกว่า รุ่นตัวแรงเครื่องยนต์เบนซินมีความเร้าใจมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด มีความพิเศษยิ่งกว่า ด้วยเสียงคำรามของเครื่องยนต์ยามกดคันเร่งเพื่อเรียกอัตราเร่ง ซุ่มเสียงมีความก้องกังวาน ราวกับรถสปอร์ทระดับซูเพอร์คาร์ก็ว่าได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากเครื่องยนต์บลอคนี้ถูกพัฒนา และผลิตจากโรงงานเดียวกับค่ายรถม้าลำพอง แฟร์รารี กลิ่นอายความดุดันจึงปรากฏให้เห็นชัดเจน ต่างจากเครื่องยนต์ดีเซล ที่ซุ่มเสียงไม่เร้าใจเท่า บวกกับความเร้าใจของอัตราเร่งที่น้อยกว่ารุ่นเครื่องยนต์เบนซิน
SUSPENSION ระบบรองรับ
มาเซราตี เลวันเต เอส ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา แปรผันการส่งกำลังตามสภาวะการขับขี่ แสดงให้เห็นว่าเป็นระบบขับเคลื่อนที่เน้นทางเรียบ โดยเฉพาะการขับขี่แบบเน้นสมรรถนะที่ต้องการความมั่นคงในทางตรง และความมั่นใจได้ขณะเข้าโค้ง สมกับการเป็นรถยนต์สายเลือดสปอร์ท การตอบสนองของช่วงล่างยังคงมีความนุ่มนวลให้สัมผัส ไม่แข็งกระด้างมากเกินไป ส่วนหนึ่งจากการเป็นครอสส์โอเวอร์ขนาดใหญ่ และการใช้งานทั่วไป อย่างไรก็ตามระบบรองรับ และการตอบสนองของการหักเลี้ยว สามารถปรับแต่งได้ตามโหมดต่างๆ ตามความเร้าใจที่ต้องการ เราคิดว่า เลวันเต เอส มีความสมดุลกับสมรรถนะเป็นอย่างดี อาจไม่หนึบแน่นอย่างที่บรรดาแฟนรถสปอร์ทขนานแท้ชื่นชอบ แต่ในแง่ของการเป็นครอสส์โอเวอร์ ถือว่าทำได้ดีอย่างน่าพอใจ
นอกจากระบบรองรับ และการบังคับควบคุมสไตล์สปอร์ท มาเซราตี เลวันเต เอส ติดตั้งระบบความปลอดภัยมาให้ครบครันตามสมัยนิยม ทั้งระบบเนวิเกเตอร์ ระบบเชื่อมต่อต่างๆ ตลอดจนระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่จำเป็น เช่น ระบบรักษาความเร็ว และระยะห่างจากรถคันหน้าอัตโนมัติ ระบบเตือนจุดอับสายตาด้านข้างเมื่อมีรถคันอื่นแล่นอยู่ กล้องมองภาพรอบทิศทาง เหมาะสำหรับรถยนต์ขนาดใหญ่เช่นนี้ จัดเป็นครอสส์โอเวอร์สมรรถนะสูง มีอุปกรณ์ใช้สอยครบครัน แต่ยังขาดอุปกรณ์บางรายการ เช่น ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ หรือระบบช่วยการขับขี่แบบกึ่งอัตโนมัติ หากติดตั้งมาด้วยจะทำให้รถรุ่นนี้มีทั้งสมรรถนะที่ดุดัน และความล้ำสมัย ลงตัวยิ่งขึ้นสมกับค่าตัวเกินก่า 10 ล้านบาทเช่นนี้
หลังจากที่เราได้มีโอกาสทดสอบ มาเซราตี เลวันเต ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน ใน เลวันเต เอส และเครื่องยนต์ดีเซล เราคิดว่า ตัวตนที่แท้จริงของค่ายรถแห่งนี้ จะฉายแววออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ภายใต้เครื่องยนต์เบนซิน สมรรถนะสูง แม้ในความเป็นจริง ราคาของรุ่นดังกล่าวจะเกินกว่าระดับ 10 ล้านบาทไปแล้ว (ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซล มีราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 8 ล้านบาท) แต่เราถือว่าคุ้มค่า ได้มากับอัตราเร่งที่เร้าใจ ภายใต้ตัวถังครอสส์โอเวอร์รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของ มาเซราตี ซุ่มเสียงที่ชวนให้นึกถึงสปอร์ทตัวแรงขนานแท้ ทั้งหมดที่ว่ามา คือ เอกสิทธิ์เฉพาะจากเครื่องยนต์ของ เลวันเต เอส เท่านั้น ขณะที่รุ่น ดีเซล เน้นความลงตัวระหว่างสมรรถนะ และการประหยัดเชื้อเพลิง แต่ไม่สะท้อนบุคลิกเฉพาะตัวของ มาเซราตี มากนัก