ทดสอบ(formula) 26 Jan 2018
มาเซราตี เลวันเต ดีเซล
ค่ายรถที่มีประวัติมายาวนานอย่าง มาเซราตี สร้างตำนานบทใหม่เป็นครั้งแรกกับการรังสรรค์ยานยนต์ในสไตล์ เอสยูวี ขึ้นมา นั่นคือ เลวันเต ภายใต้ชื่อเสียงด้านความสปอร์ทที่บรรดารุ่นพี่ร่วมค่ายสั่งสมมานาน เอสยูวี มาดสปอร์ทรุ่นนี้จะสะท้อนภาพลักษณ์ดังกล่าวเอาไว้ได้หรือไม่ เรามาพิสูจน์กันจากการทดสอบครั้งนี้ กับปฐมบทใหม่ของค่ายตรีศูล
EXTERIOR ภายนอก
แม้ตัวถังของ มาเซราตี เลวันเต จะเป็น เอสยูวี แต่เส้นสายโดยรวมยังดูคุ้นเคย เอกลักษณ์ของค่ายรถแห่งนี้ กระจังหน้าทรงดุดัน พร้อมสัญลักษณ์ “ตรีศูล” ตรงกลาง พบเจอได้ในรถสปอร์ท และซีดาน แทบทุกรุ่นของ มาเซราตี ไฟหน้าทรงเรียวเหลี่ยม แนวใหม่ จากที่เคยเห็นมาแล้วจากรถแนวคิด อัลไฟรี (ALFIERI) ฝากระโปรงหน้าทรงโค้ง พร้อมกับสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับ มาเซราตี นั่นคือ ช่องระบายอากาศบริเวณด้านข้าง เหนือซุ้มล้อคู่หน้า บ่งบอกสายพันธุ์สปอร์ทด้วยประตูแบบไร้กรอบกระจก แนวหลังคาที่ลาดเท สันเหลี่ยมเหนือซุ้มโป่งล้อด้านท้ายที่คมเข้ม โดดเด่น บรรจบกับชุดไฟท้ายที่ดูคล้ายกับสปอร์ทตัวธงของค่ายอย่าง กรันตูริสโม พร้อมล้อแมกขนาด 20 นิ้ว ยางกูดเยียร์ อีเกิล เอฟ 1 ขนาด 265/45 R20 โดยรวมแล้ว เอสยูวี รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของ มาเซราตี ผสมผสานเอกลักษณ์ของรถยนต์ร่วมค่ายหลายรุ่น ผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าน่าพอใจ รูปทรงมีความลงตัว และดูคุ้นเคยสำหรับผู้ที่หลงใหลความเป็นค่ายรถสัญชาติอิตาเลียน
ในแง่ของมิติตัวถัง เลวันเต มีความยาว 5,003 มม. และระยะฐานล้อ 3,004 มม. ใกล้เคียงกับ เอสยูวี อย่าง เอาดี คิว 7 (มิติตัวถัง 5,052 และ 2,994 มม.) นับว่า เลวันเต เป็น เอสยูวี ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร แม้เส้นสายภายนอกจะปราดเปรียว ความสูงจากพื้นถนน (ในโหมดปกติ) ใกล้เคียงกับซีดานด้วยซ้ำ แต่หากใช้โหมดลุยทางสมบุกสมบัน ระบบรองรับจะเพิ่มความสูงให้อัตโนมัติ
INTERIOR ภายใน
สัมผัสของความเป็นรถยนต์จาก มาเซราตี สามารถพบเจอได้แม้กระทั่งภายในห้องโดยสาร เริ่มจากเบาะสีแดงสด เหมือนบรรดาสายพันธุ์สปอร์ทของค่ายรถห่งนี้ เร้าใจตั้งแต่แรกเห็น การตัดเย็บประณีต และการประกอบแน่นหนา สมฐานะ และราคาของ เอสยูวี รุ่นนี้ คอนโซลหน้า ตลอดจนแผงคอนโซลเกียร์ และรูปทรงของพวงมาลัย ใกล้เคียงกับสปอร์ทซีดานอย่าง กีบลี โดยเฉพาะรูปทรงของคันเกียร์ทรงโค้ง การเปลี่ยนจังหวะ หรือโหมดเกียร์ ใช้การผลักคันเร่งขึ้น/ลง ไม่ใช่การเลื่อนเป็นขั้นๆ เหมือนคันเกียร์ทั่วไป ช่วงแรกอาจต้องใช้ความเคยชินเล็กน้อย มาตรวัดแบบแอนาลอกแยก 2 วง ตรงกลางเป็นพื้นที่แสดงผลข้อมูลแบบดิจิทอล พวงมาลัยทรงกลมแบบ 3 ก้าน ไม่หักมุมด้านล่างแบบรถสมรรถนะสูง ตำแหน่งเบาะนั่งมีความสูงอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับซีดาน กีบลี แต่ทัศนวิสัยยังน่าพอใจ จากการที่พื้นตัวถังมีความสูงขึ้นมาพอสมควร รายละเอียดบางส่วนช่วยเพิ่มอรรถรสด้านความสปอร์ทได้ดี เช่น แพดเดิล ชิฟท์ ใช้วัสดุอลูมิเนียม ติดตั้งกับคอพวงมาลัย มีขนาดใหญ่ ขณะกดใช้งานให้ความรู้สึกที่หนักแน่น สมกับความเป็นสายพันธุ์สปอร์ทผสมอยู่
ความรู้สึกขณะโดยสาร ด้านหน้ามีความกว้างขวางที่พอเหมาะ ความรู้สึกของผู้ขับ คือ ความกระชับแน่น สไตล์สปอร์ท แต่ไม่ถึงกับอึดอัดแต่อย่างใด ขณะที่เบาะด้านหลังมีพื้นที่เพียงพอเช่นกัน ระยะช่วงขานั่งได้สบาย ใกล้เคียงกับ กีบลี แม้พิจารณาจากความยาว และระยะฐานล้อ เราคิดว่าพื้นที่ของผู้โดยสารด้านหลังน่าจะมีให้มากกว่านี้ แต่สิ่งที่ได้ประโยชน์เต็มๆ จากตัวถังแบบ เอสยูวี คือ พื้นที่ใช้สอยที่มีความอเนกประสงค์มากที่สุดในรถยนต์สายการผลิตของ มาเซราตี เบาะหลังสามารถพับได้แบบ 60:40 สามารถเอนพนังพิงหลังได้เล็กน้อย แม้ไม่ถึงกับพับราบโดยสิ้นเชิง แต่ก็ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
ห้องโดยสารของ มาเซราตี มีพื้นที่ส่วนขาใกล้เคียงกับสปอร์ทซีดานร่วมค่ายอย่าง กีบลี แต่มีจุดได้เปรียบเรื่องพื้นที่เหนือศีรษะ และอรรถประโยชน์ที่หลากหลายกว่า ตามแบบฉบับ เอสยูวี ความรู้สึกของผู้ขับมีความเร้าใจ แฝงความสปอร์ทในรายละเอียด เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ค่าย มาเซราตี ทำได้ดีเสมอมา
ENGINE เครื่องยนต์
มาเซราตี เลวันเต รุ่นที่เราได้ทดสอบ ใช้เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด วี 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 275 แรงม้า ที่ 4,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 61.2 กก.-ม. ที่ 2,000-2,600 รตน. เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
คู่เปรียบเทียบของเรา คือ เอสยูวี สัญชาติเยอรมนี เอาดี คิว 7 45 ทีเอฟเอสไอ กวัตตโร เครื่องยนต์เบนซิน ซูพอร์ชาร์จ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 333 แรงม้า ที่ 5,500-6,500 รตน. แรงบิดสูงสุด 44.9 กก.-ม. ที่ 2,900-5,300 รตน. เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาเช่นกัน
เริ่มกันด้วยอัตราเร่งช่วงตีนต้น 0-100 กม./ชม. เลวันเต ทำได้ที่ 8.2 วินาที ส่วน คิว 7 คือ 7.2 วินาที มีระยะห่างกันพอประมาณ แต่ถือว่าเครื่องยนต์ดีเซลของ มาเซตี ก็มีความกระฉับกระเฉงที่ดี เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์เบนซิน ขนาดเท่ากัน
ถัดมา คือ ช่วงตีนปลาย อัตราเร่งระยะ 0-1,000 ม. เลวันเต ทำได้ 29.1 วินาที (ที่ความเร็ว 182.5 กม./ชม.) ขณะที่ คิว 7 ใช้เวลา 27.1 วินาที (ที่ความเร็ว 199.4 กม./ชม.) แม้ตัวถังจะมีขนาดใหญ่ แต่ เลวันเต อาศัยแรงบิดที่ดีในรอบต่ำตามแบบฉบับเครื่องยนต์ดีเซล ทำอัตราเร่งได้ดีในช่วงแรก แม้ช่วงปลายของระยะ 0-1,000 ม. จะมีแผ่วเล็กน้อย ถือว่าอัตราเร่งไหลลื่นดี
มาถึงอัตราเร่งยืดหยุ่นที่ความเร็ว 60-100 และ 80-120 กม./ชม. เอสยูวี จาก มาเซราตี ทำเวลาที่ 4.2 และ 5.6 วินาที ขณะที่ เอสยูวี ของ เอาดี ทำได้ที่ 3.8 และ 4.5 วินาที ในส่วนนี้ เลวันเต มีอัตราเร่งที่เข้าใกล้ คิว 7 เข้ามาอีกเล็กน้อย แต่ในช่วงความเร็วสูงยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง แต่ก็เป็นไปตามบุคลิกของเครื่องยนต์ และพละกำลังโดยรวม
เรามีความรู้สึกว่า มาเซราตี เลวันเต เครื่องยนต์ดีเซล ถูกปรับแต่งให้เน้นการใช้งานทั่วไป อัตราเร่งอาจไม่ดุดัน หวือหวา แต่เน้นการส่งกำลังที่ต่อเนื่อง กดคันเร่งลึกก็มีแรงดึงประมาณซุ่มเสียงยังไว้ลายสายพันธุ์สปอร์ท กับเสียงก้องกังวานที่มีให้พอหอมปากหอมคอ แต่ไม่มากเท่าเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 3.0 ลิตร ที่เราเคยทดสอบมาแล้วกับ กีบลี ที่มีความเร้าใจขณะกดคันเร่งมากกว่า ราวกับต้องการให้รถรุ่นนี้สามารถใช้งานทั่วไปได้อย่างสะดวกสบาย ผสมความประหยัดเชื้อเพลิงที่พอเหมาะตามแบบฉบับเครื่องยนต์เบนซิน แต่ไม่ถึงกับสะท้อนสมรรถนะที่เร้าใจเหมือนสปอร์ทร่วมค่ายรุ่นอื่น
SUSPENSION ระบบรองรับ
ระบบรองรับของ มาเซราตี เลวันเต มีโครงสร้างหลักเป็นแบบถุงลม ข้อดี คือ สามารถปรับเปลี่ยนการตอบสนองได้หลากหลาย รวมถึงความสูงของตัวรถ โดยความสูงจะลดลงต่ำสุดในโหมดสปอร์ท เพื่อสมรรถนะที่ดีขณะเข้าโค้ง และการทำอัตราเร่ง แต่แน่นอนว่า ในเมื่อเป็น เอสยูวี ที่เผื่อเหลือให้การลุยได้พอประมาณ จึงมีระบบช่วงล่างสำหรับทางสมบุกสมบัน ความสูงของระบบรองรับจะเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย แต่หากคาดหวังความสปอร์ทสำหรับนักขับเท้าหนัก ระบบรองรับอาจไม่หนึบแน่นขนาดนั้น นอกจากนี้การบังคับควบคุมถือว่ามีน้ำหนักในระดับปานกลาง ควบคุมง่าย แม่นยำ แต่ไม่หนักมือจนเกินไป โดยเฉพาะขณะเข้าโค้งที่ความเร็วต่ำ หรือขณะถอยจอด เป็นอีกจุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า เลวันเต รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล เน้นการใช้งานแบบผสมผสาน สะดวกสบาย และขับสนุกพอหอมปากหอมคอ มั่นคงด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา ส่งกำลังได้หลากหลาย ตั้งแต่หน้า/หลัง ในอัตราส่วน 50:50 หรือส่งกำลังไปล้อคู่หลัง 100 % คล้ายรถสปอร์ทขนานแท้ก็ย่อมได้
ในส่วนระบบความปลอดภัย และอุปกรณ์ช่วยเหลือการขับขี่ มีติดตั้งมาให้อย่างเหมาะสม เช่น ระบบควบคุมเสถียรภาพตัวรถ ระบบป้องกันการลื่นไถล พร้อมระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน รวมถึงระบบครูส คอนทโรลแบบแปรผันความเร็ว ปรับระยะห่างจากคันหน้าได้ตามต้องการ ระบบเตือนจุดอับสายตาจากด้านข้าง และระบบเตือนการเปลี่ยนเลนโดยไม่เจตนา ถือว่าเพียงพอสำหรับรถยนต์ยุคปัจจุบัน แต่เมื่อดูจากราคาแล้ว น่าจะมีระบบช่วยจอด รวมถึงระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติมาให้ด้วย
สุดท้ายแล้ว มาเซราตี เลวันเต สามารถเอาชนะสังเวียนการร่วมวงตลาดตัวลุยระดับหรูเป็นครั้งแรกได้หรือไม่ ? หากให้เปรียบเป็นภาษามวยเราคงบอกได้ว่า “ชนะ” แต่ไม่ใช่การชนะนอคอย่างขาดลอย เรียกได้ว่าชนะคะแนนอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ก็แล้วกัน จุดที่ได้คะแนน คือ รูปทรงที่เฉียบคม สปอร์ท สมกับความเป็น มาเซราตี ทุกอณู โดดเด่นไม่แพ้บรรดารถร่วมค่ายอื่นๆ แฟนๆ มาเซราตี ต้องถูกใจอย่างแน่นอน จุดที่ได้คะแนนอย่างจะแจ้ง คือ ภายในห้องโดยสารที่เร้าใจ แฝงมาดสปอร์ท กว้างขวางเพียงพอ ผสมความอเนกประสงค์ในแบบที่ มาเซราตี รุ่นอื่นไม่อาจสนองให้ได้ นับเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจมากสำหรับสายพันธุ์สปอร์ท ภายใต้ร่างตัวลุยรุ่นนี้ อย่างไรก็ตาม ในหัวข้อสมรรถนะ คะแนนถูกลดทอนลงมา จากสมรรถนะที่ไม่หวือหวามากนัก จากการหันมาใช้เครื่องยนต์ดีเซล แม้จะมีแรงม้าถึง 275 ตัว แต่การตอบสนองโดยรวมเน้นความนุ่มนวล ไหลลื่น อาจไม่เสียหายสำหรับ เอสยูวี ทั่วไป แต่กับค่ายรถที่มีภาพลักษณ์ด้านความสปอร์ทที่เข้มข้น อารมณ์ความเร้าใจควรจะมีให้มากกว่านี้เช่นกัน หากไม่เช่นนั้นแล้วคงต้องหันไปคบรุ่น เลวันเต เอส เครื่องยนต์เบนซิน สมรรถนะสูง แต่ราคาก็สูงกว่ากันไม่น้อย
หากใครมองหา เอสยูวี มาดสปอร์ท มีความคลาสสิคในตัว แตกต่างไม่เหมือนใคร เพราะเป็น “ปฐมบท” ของการทำตลาด เอสยูวี ของค่ายรถแห่งนี้ ภายใต้ความสะดวกสบาย อเนกประสงค์ โดยไม่เน้นสมรรถนะมากเกินไป มาเซราตี เลวันเต พร้อมจะให้คุณโดดเด่นบนท้องถนน และทุกที่ที่คุณขับเคลื่อนไปด้วยกันอย่างแน่นอน !