ทดสอบ(formula) 1 Sep 2014
FORD FOCUS VS MAZDA 3
รถซี-เซกเมนท์ สำหรับคนหัวใจสปอร์ท และเงินถึง ย่อมหนีไม่พ้น เหล่าพิกัดเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ราคาแตะ 1 ล้านบาท ถูกวางตำแหน่งให้เป็น “ตัวทอพ” ของแต่ละรุ่น นอกจากสมรรถนะจะเหนือกว่าเครื่องยนต์ 1.6-1.8 ลิตร แล้ว ยังมีออพชันแบบเต็มพิกัดอีกต่างหาก ครั้งนี้เรานำ 2 คู่แข่งพิกัดดังกล่าวมาเทียบกันตรงๆ ระหว่าง ฟอร์ด โฟคัส 2.0 และน้องใหม่มาแรง มาซดา 3 ภายใต้ตัวถัง 5 ประตูเหมือนกัน และขุมกำลัง 2.0 ลิตรสมัยใหม่ แบบฉีดเชื้อเพลิงตรงอีกต่างหาก
EXTERIOR ภายนอก
รูปทรงองค์เอวของ โฟคัส ออกแบบได้โฉบเฉี่ยว ไม่น้อยหน้ารถจากชาติตะวันออกทั้งหลาย ด้านหน้าสวยเรียบ มีจุดเด่นที่กรอบไฟท้ายทรงแปลก ด้านขวาซ่อนฝาถังน้ำมันอย่างแนบเนียน ส่วนล้อแมกขนาด 17 นิ้ว (มีขนาด 18 นิ้ว เป็นออพชันเสริม) ยางเน้นความนุ่มเงียบ มิเชอแลง พรีมาซี แอลซี ขนาด 215/50 R17 มีเฉพาะตัวถังแฮทช์แบคของรุ่น 2.0 ลิตร
ทางด้าน มาซดา 3 แม้รุ่นก่อนหน้าจะออกแบบได้อย่างลงตัว มีความสวยงาม และสปอร์ท ที่สืบทอดอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ในรุ่นล่าสุดนี้ก็ยังไม่น้อยหน้า ด้วยเส้นสายที่พลิ้วไหวตลอดทั้งคัน สันเหลี่ยมคมเข้ม ช่วยให้รถรุ่นนี้แลดูปราดเปรียว และหรูหรากว่าเดิม มาพร้อมกับล้อแมกขนาดใหญ่ 18 นิ้ว กับยาง ดันลอพ เอสพี สปอร์ท แมกซซ์ ขนาด 215/45 R18
ด้านมิติตัวถังแบบ 5 ประตูแฮทช์แบค ของทั้ง 2 รุ่น โฟคัส มีความยาว 4,358 มม. และระยะฐานล้อ 2,648 มม. มีขนาดที่เล็กกว่า มาซดา 3 เล็กน้อยกับตัวเลขที่ 4,460 และ 2,700 มม. ตามลำดับ จะยกเว้นก็เพียงความกว้างที่เป็นไปในทางตรงกันข้าม โดยทาง โฟคัส มีความกว้างที่ 1,823 มม. ส่วน มาซดา 3 คือ 1,795 มม.
INTERIOR ภายใน
เนื่องจากทั้ง 2 รุ่นต่างก็มีมาดสปอร์ททัดเทียมกัน ปราดเปรียวกันคนละแบบ ดังนี้แล้วพื้นที่ภายในของห้องโดยสารอาจไม่เน้นความกว้างขวางมากนัก (เมื่อเทียบกับซีดานหรูระดับเดียวกันอย่าง นิสสัน ซิลฟี) ทาง โฟคัส มีความกว้างขวางของผู้โดยสารด้านหน้าในระดับที่น่าพอใจ การตกแต่งถือว่าพยายามเน้นความทันสมัย ชุดเครื่องเสียงใช้ของ SONY มีคุณภาพเสียงที่ดีมาก แต่บริเวณปุ่มควบคุมแอร์ไม่โดดเด่นเท่าใดนัก
ทาง มาซดา 3 มีการออกแบบนี้คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ดั้งเดิมของค่ายรถแห่งนี้ ที่เห็นได้ชัด คือ ปุ่มควบคุมขนาดใหญ่ 3 วง ดูคุ้นตามาก แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว การออกแบบถือว่าทำได้ลงตัว จอมอนิเตอร์ทรงแบนดูคล้ายกับรถยุโรปสมัยใหม่ (แม้คุณภาพของภาพจะหยาบไปสักนิด) ในรุ่นทอพที่เรานำมาทดสอบ ติดตั้งมาตรวัดความเร็วแบบดิจิทอล แสดงผลแบบ “H.U.D” (HEAD UP DUSPLAY) สะท้อนกระจกบานหน้า ส่วนมาตรวัดตรงกลางเป็นการแสดงผลของรอบเครื่องยนต์แทน แต่พื้นที่ของผู้โดยสารด้านหลังค่อนข้างน้อย ราวกับว่ารถคันนี้เหมาะกับการโดยสารด้านหน้ามากกว่า ราวกับรถสปอร์ท แถมมีแป้นแพดเดิล ชิฟท์ ด้วย ในแง่ความสนุกขณะขับขี่ รถเก๋งจาก มาซดา ยังมีความได้เปรียบ (โฟคัส มีระบบเกียร์บวก/ลบ บริเวณนิ้วหัวแม่มือของคันเกียร์ ไม่เร้าใจเท่าใดนัก)
ENGINE เครื่องยนต์
จุดน่าสนใจของรถทั้ง 2 รุ่น คือ ลักษณะของขุมกำลังที่นำมาใช้ นอกจากพิกัด 2.0 ลิตรแล้ว ยังเป็นระบบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงด้วย ทาง โฟคัส มีกำลัง 170 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ ส่วน มาซดา 3 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร SKYACTIV กำลัง 165 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ แต่มีความได้เปรียบ คือ รองรับ อี 85 ด้วย แต่ในด้านสมรรถนะจะเป็นอย่างไร มาดูกันเลย
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. โฟคัส 9.9 วินาที และ มาซดา 3 ทำได้ 10.7 วินาที สปอร์ทแฮทช์แบคจาก ฟอร์ด ยังคงเป็นรถคันเดียวกันในระดับนี้ที่ทำอัตราเร่งได้ต่ำกว่า 10 วินาที อย่างไรก็ตาม มาซดา 3 ถือว่าทำได้ใกล้เคียงพอสมควร
มาวัดกันยาวๆ ที่อัตราเร่ง 0-1,000 ม. โฟคัส ทำได้ที่ 31.0 วินาที (ที่ความเร็ว 172.0 กม./ชม.) ส่วนทาง มาซดา 3 คือ 31.7 วินาที (ที่ความเร็ว 170.4 กม./ชม.) แม้จะยังตามหลัง แต่ก็ถือเป็นเวลาที่ต่ำกว่า 1 วินาทีเท่านั้น นับว่าเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร แบบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงของทั้ง 2 รุ่น มีอัตราเร่งที่ดีกว่าเครื่องยนต์แบบหัวฉีดดั้งเดิมแบบ “ทิ้งขาด” อย่างชัดเจน
สำหรับอัตราเร่งยืดหยุ่นที่ช่วงความเร็ว 60-100 และ 80-120 กม./ชม. โฟคัส มีตัวเลขออกมาที่ 5.2 และ 6.5 วินาที ทางด้าน มาซดา 3 คือ 5.4 และ 6.7 วินาที ตามลำดับ นับว่าคู่คี่สูสียิ่งแบบกินกันไม่ลง ! ดังนี้แล้วในแง่ของการออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง ระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ของ โฟคัส มีความได้เปรียบกว่าเล็กน้อย แต่หากเป็นอัตราเร่งยืดหยุ่นขณะแล่นอยู่ถือว่าเกียร์อัตโนมัติของ มาซดา ก็ไม่ด้อยกว่ากันเลย
เปลี่ยนหัวข้อมาด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกันบ้าง ที่ความเร็ว 60/80/100/120 กม./ชม. โฟคัส ทำได้ที่ 24.8/23.9/18.9/13.9 กม./ลิตร เมื่อเทียบกับตัวเลขของฝั่ง มาซดา 3 ที่ 25.3/23.4/17.514.3 กม./ลิตร นับว่าทำได้ดีมาก สมกับความเป็นเครื่องยนต์ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงที่นอกจากสมรรถนะดีแล้ว ยังมีความประหยัดที่ดีกว่าเครื่องยนต์หัวฉีดมาก อย่างไรก็ตาม เราให้เครดิทเรื่องความประหยัดกับ มาซดา 3 เพราะรถรุ่นนี้สามารถรองรับ อี 85 ได้ด้วย ช่วยประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงอีกแรง (โฟคัส รองรับ อี 20 เท่านั้น)
SUSPENSION ระบบรองรับ
โฟคัส มีช่วงล่างและการบังคับควบคุมที่หนึบพอสมควร แต่ไม่กระด้าง ว่ากันตามจริงแล้วเราคาดหวังความหนึบแน่นมากกว่านี้ด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับสมรรถนะ แต่หากมองในแง่การใช้งานทั่วไปก็ถือว่าพอรับได้กับความนุ่มนวลที่ผสมผสานเข้ามา ขณะที่ มาซดา 3 มีความหนึบ และมั่นคงเป็นอย่างดี ด้วยความเชี่ยวชาญเรื่องระบบรองรับที่ให้อารมณ์สปอร์ทดีอยู่แล้ว มาถึงรุ่นล่าสุดนี้ทาง มาซดา ปรับแต่งให้มีความนุ่มนวลมากขึ้นเช่นกัน แต่ยังขับสนุกไม่เปลี่ยนแปลง ในด้านอารมณ์ความรู้สึกในส่วนนี้แล้ว มาซดา 3 ดูจะลงตัวกว่าเล็กน้อย
ถึงอย่างนั้น สิ่งที่น่าชมเชยของ ฟอร์ด โฟคัส ด้วยการติดตั้งสารพัดอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยมาเต็มพิกัด เกินหน้า เกินราคาค่าตัว ไปไกลลิบ เมื่อเทียบกับบรรดาคู่แข่งทั้งหลาย โดยเฉพาะ ระบบช่วยการจอดรถอัตโนมัติ ซึ่งปกติมีให้ในรถยนต์ราคาหลายล้านบาทขึ้นไปเท่านั้น แต่ มาซดา 3 ก็ยังมีระบบความปลอดภัยยุคหน้าติดตั้งมาให้เช่นกัน ทั้งระบบเตือนจุดบอดด้านข้างของตัวรถ (ของ ฟอร์ด โฟคัส มีติดตั้งในรุ่นทอพของตัวถังซีดานเท่านั้น ไม่มีในรุ่นแฮทช์แบค 5 ประตู) ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติเมื่อตรวจพบสิ่งกีดขวางข้างหน้า ส่วนระบบป้องกันการลื่นไถล และระบบควบคุมเสถียรภาพตัวรถ มาซดา 3 ให้มาทุกรุ่นย่อย ในแง่นี้แล้วถือว่าคุ้มค่ามาก สำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด
ด้านประสิทธิภาพระบบเบรคที่ความเร็ว 60/80/100 กม./ชม. โฟคัส ทำระยะเบรคได้ที่ 15.0/26.8/41.5 ม. ส่วนทาง มาซดา 3 คือ 15.2/27.7/42.0 ม. แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่สมรรถนะทางอัตราเร่งเท่านั้น แต่ประสิทธิภาพการเบรคของ มาซดา 3 ทำได้ดีไม่แพ้สปอร์ทแฮทช์แบค สัญชาติอเมริกัน แต่อย่างใด
ในแง่ของประสิทธิภาพด้านต่างๆ ถือว่าทั้ง ฟอร์ด โฟคัส และ มาซดา 3 ต่างก็ระดม “อาวุธหนัก” มาเกินหน้าความเป็นรถ ซี-เซกเมนท์ 2.0 ลิตร อย่างไม่ไว้หน้าเจ้าอื่น ในแง่ของความเป็น “ตัวทอพ” แล้ว เรามีความคิดว่า ฟอร์ด โฟคัส ยังมีความได้เปรียบ แม้ราคาจะเกิน 1 ล้านบาทแบบเฉียดๆ แต่ด้วยประสิทธิภาพรอบด้าน ทั้งสมรรถนะ และความประหยัดโดยรวม ผนวกกับออพชันที่ให้มาเกินราคา ดังนี้แล้ว แฮทช์แบคสัญชาติอเมริกัน ยังคงน่าสนใจ และคุ้มค่ามาก ส่วน มาซดา 3 ในแง่ของความเป็นตัวทอพ ถือว่าให้มาไม่น้อยหน้ากัน แม้ออพชันจะน้อยกว่าเล็กน้อย แต่ความสนุกขณะขับขี่ยังคือเสน่ห์ที่โดดเด่นของค่ายรถแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม ด้วยกลยุทธ์ใหม่กับการหันมาใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ทุกรุ่นย่อย กับราคาเริ่มต้นที่ 833,000 บาท ทำให้ผู้ที่มีงบประมาณจำกัด มีโอกาสใช้เครื่องยนต์สมรรถนะดี แถมประหยัดเชื้อเพลิงไม่แพ้รถยนต์ระดับ 1.6-1.8 ลิตร นับเป็นความคุ้มค่ารอบด้านอย่างที่ไม่เคยมีใคร “กล้า” ทำมาก่อนเลยทีเดียว !