ทดสอบ(formula) 31 Jan 2017
โพร์เช 718 บอกซ์สเตอร์
พูดถึงบแรนด์ “โพร์เช” หลายคนคงนึกถึงความสปอร์ทระดับตำนานสัญชาติเยอรมันที่สืบทอดจากรถสปอร์ทมากมายหลายรุ่น แม้ปัจจุบันค่ายรถแห่งนี้จะมีรถยนต์หลากหลายประเภท แต่ความคาดหวังเรื่องสมรรถนะ และการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมยังมีอยู่เสมอมา ครั้งนี้ทีมงานของ “ฟอร์มูลา” ได้มีโอกาสทดสอบน้องเล็กประจำค่าย นั่นคือ โพร์เช 718 บอกซ์สเตอร์ มาดูกันว่าสปอร์ทโรดสเตอร์เครื่องยนต์วางกลางลำคันนี้ จะสืบทอดความร้อนแรงได้แค่ไหน
EXTERIOR ภายนอก
โพร์เช 718 บอกซ์สเตอร์ นับเป็นทายาทลำดับที่ 4 (รหัสตัวถังเปลี่ยนไป) ของสายพันธุ์โรดสเตอร์กับเอกลักษณ์เครื่องยนต์วางกลางลำ รูปทรงโดยรวมจะใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้านี้ แตกต่างกันที่รายละเอียดบางส่วน เช่น ชุดไฟหน้าเพิ่มไฟส่องสว่างเวลากลางวัน ช่องรับอากาศด้านข้างเปลี่ยนรูปทรงเล็กน้อย ส่วนบั้นท้ายมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ไฟท้ายทรงเรียวกว่าเดิม บริเวณสปอยเลอร์หลังดูลงตัวมากขึ้น สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง คือ การใช้ประทุนหลังคาผ้าใบแบบดั้งเดิม เปิด/ปิดด้วยไฟฟ้า มีข้อดี คือ น้ำหนักเบา และรักษาสมดุลของตัวรถขณะขับขี่ได้เป็นอย่างดี
ฝากระโปรงหน้าทรงโค้งทอดยาวบริเวณด้านหน้า ทำให้ 718 บอกซ์สเตอร์ มีความเป็น โพร์เช ตั้งแต่แรกเห็น เส้นสายที่ถูกขัดเกลาให้มีความคมเข้มมากขึ้น ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับสปอร์ทรุ่นใหญ่ร่วมค่าย นั่นคือ 911 คาร์เรรา แลดูเร้าใจแม้จอดนิ่งอยู่กับที่ ! อย่างไรก็ตามสิ่งที่ลดทอนความดุดันของสปอร์ทโรดสเตอร์รุ่นนี้ คือ ล้อแมกที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน มีขนาด 18 นิ้ว (ดันลอพ เอสพี สปอร์ท แมกซ์ซ์ จีที ด้านหน้า 235/45 ZR18 ด้านหลัง 265/45 ZR18) แก้มยางดูหนากว่าที่ควรจะเป็นเล็กน้อย ดูจากขนาดซุ้มล้อ 718 บอกซ์สเตอร์ เหมาะกับยางแก้มเตี้ย และล้อแมก 19-20 นิ้ว จะลงตัวมาก
INTERIOR ภายใน
เมื่อเข้ามานั่งอยู่หลังพวงมาลัยของ 718 บอกซ์สเตอร์ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด คือ รูปทรงของพวงมาลัย มีความสวยงามกว่ารุ่นก่อนหน้าลิบลับ แบบ 3 ก้าน รูปทรงบาง ตัดขอบด้วยโครเมียม คล้ายกับ 911 คาร์เรรา รุ่นล่าสุด บริเวณด้านในฝั่งขวา ติดตั้งปุ่มปรับโหมดการขับขี่ (จากเดิมที่ติดตั้งบริเวณคอนโซลข้างคนขับ) เป็นแป้นหมุนทรงกลม เปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้สะดวก ฉับไว ตรงกลางเป็นปุ่มกดขนาดเล็กสำหรับโหมด สปอร์ท เรสปอนส์ (SPORT RESPONSE) เมื่อกดแล้วเครื่องยนต์จะเร่งรอบขึ้นสูง เตรียมพร้อมสำหรับการขับแบบเน้นสมรรถนะเต็มๆ โดยมีเวลาจำกัดที่ 20 วินาที เสมือนการทำอัตราเร่งชั่วขณะ
แผงมาตรวัดสไตล์ โพร์เช แบบแยก 3 วง ด้านซ้ายเป็นมาตรวัดความเร็ว ตรงกลางเป็นมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ (มีตัวเลขความเร็วแบบดิจิทอลด้านล่าง) ส่วนฝั่งขวาเป็นจอแสดงผลแบบดิจิทอลแสดงผลได้หลากหลาย ตั้งแต่โหมดการขับขี่ การนับเวลาถอยหลังของโหมด สปอร์ท เรสปอนส์ รวมถึงการทำงานของเทอร์โบ
หันมาทางด้านข้างจะพบกับคอนโซลข้างคนขับจัดเรียงเป็นระเบียบ สวยงาม ตกแต่งโทนสีดำตัดกับวัสดุโครเมียม คันเกียร์ขนาดพอเหมาะ สลักคำว่า “PDK” บริเวณฐานคันเกียร์บ่งบอกว่า นี่คือ เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ที่ถูกพัฒนาโดย โพร์เช จุดเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนอีกประการ คือ รูปทรงของคอนโซลหน้า มีความลาดเทมากขึ้น ทำให้ห้องโดยสารดูโปร่งโล่งกว่าเดิม ช่องแอร์จะนูนขึ้นมา (รุ่นก่อนจะเรียบเป็นแนวเดียวกับแผงคอนโซล) มาตรวัด สปอร์ท คโรโน (SPORT CHRONO) จะถูกวางตำแหน่งร่นเข้าไปด้านใน ส่วนหลังคาประทุนผ้าใบ สามารถเปิด/ปิดได้ในเวลาประมาณ 9 วินาที (รองรับความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม.) การเก็บเสียงขณะขับขี่ทำได้ดี เสียงรบกวนจากภายนอกอาจมากกว่ารถยนต์ทั่วไปเล็กน้อย แต่อยู่ในระดับที่รับได้ ไม่รบกวนความสะดวกสบายขณะโดยสาร
สิ่งที่เรารู้สึกว่า 718 บอกซ์สเตอร์ ทำได้ดีเกินคาด คือ พื้นที่ของห้องโดยสาร มีความสะดวกสบายเป็นอย่างดี สำหรับผู้โดยสาร 2 คน แม้เบาะนั่งจะอยู่ต่ำลงมาตามสไตล์รถสปอร์ทโรดสเตอร์ แต่พื้นที่ช่วงขามีเหลือเฟือ สามารถเหยียดขาได้สบาย โดยที่เบาะเอนไปข้างหลังได้พอสมควร นอกจากนี้ทัศนวิสัยก็ดีเกินคาดเช่นกัน การขับขี่ในตัวเมืองท่ามกลางการจราจรที่ค่อนข้างหนาแน่น ไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด มุมมองขณะเปลี่ยนเลนเห็นได้ชัดเจน เป็นข้อดีสำหรับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ขณะที่ช่องเก็บสัมภาระจะอยู่ที่ด้านหน้าและหลังของตัวรถ โดยที่ด้านหน้ามีพื้นที่แนวลึกค่อนข้างมาก ใส่กระเป๋าเดินทางขนาดเล็กถึงขนาดกลางได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม แม้ค่าตัวจะอยู่ในระดับ 7 ล้านบาท แต่โรดสเตอร์รุ่นนี้ ก็ขาดอุปกรณ์ที่ควรจะเป็นบางอย่างไป เช่น กระจกมองหลังแบบปรับแสงอัตโนมัติ หรือแม้แต่ระบบเนวิเกเตอร์ก็ไม่มีติดตั้งมาให้จากโรงงาน นอกจากนี้แป้นแพดเดิล ชิฟท์ มีขนาดเล็กไปหน่อย เมื่อเทียบกับความเป็นรถสปอร์ทสมรรถนะฉับไว
ENGINE เครื่องยนต์
เครื่องยนต์ของ โพร์เช 718 บอกซ์สเตอร์ ซุกซ่อนอยู่กลางลำตัวรถ มองไม่เห็นจากภายนอกเนื่องจากด้านบนเป็นชุดหลังคาประทุนผ้าใบ และส่วนประกอบของห้องโดยสาร สเปคตามนี้ คือ แบบเบนซิน เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 300 แรงม้า ที่ 6,500 รตน. แรงบิดสูงสุด 38.7 กก.-ม. ที่ 1,950-4,500 รตน. เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ของ โพร์เช (PDK) 7 จังหวะ ถือเป็นการก้าวสู่ยุคใหม่ของการลดขนาดเครื่องยนต์ พ่วงระบบอัดอากาศเทอร์โบ จากที่ก่อนหน้านี้ โพร์เช จะเน้นเครื่องยนต์แบบไร้ระบบอัดอากาศ
รถสปอร์ทเครื่องยนต์วางกลางลำไม่ได้มีทดสอบกันง่ายๆ แต่รถสปอร์ทสมัยใหม่ 1 คัน เครื่องยนต์วางกลางลำ แถมพ่วงด้วยระบบ พลัก-อิน ไฮบริด อีกต่างหาก นั่นคือ บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 พละกำลังสูงสุด 362 แรงม้า ตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ จัดเต็มในเกือบทุกทาง มาดูกันว่า 718 บอกซ์สเตอร์ จะต่อกรได้มากน้อยแค่ไหน
เริ่มด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 718 บอกซ์สเตอร์ ทำเวลาได้ที่ 5.4 วินาที ส่วน ไอ 8 อยู่ที่ 5.3 วินาที แค่เริ่มก็แสดงให้เห็นถึงความสูสีของสมรรถนะจากรถสปอร์ทต่างสไตล์ทั้ง 2 รุ่น มาจัดกันต่อที่ความเร็วตีนปลายช่วง 0-1,000 ม. สปอร์ทจาก โพร์เช ทำเวลาได้ใน 24.1 วินาที (ที่ความเร็ว 224.2 กม./ชม.) ขณะที่ ไอ 8 ทำเวลานำแบบเฉือนกันที่ 23.9 วินาที (ที่ความเร็ว 226.4 กม./ชม.) ยังคงไม่มีใครยอมใครง่ายๆ โดยเฉพาะสปอร์ทรุ่นเล็กของ โพร์เช มีการตอบสนองของเครื่องยนต์เทอร์โบดีมาก
อัตราเร่งยืดหยุ่นที่ช่วงความเร็ว 60-100 และ 80-120 กม./ชม. 718 บอกซ์สเตอร์ ทำเวลาได้ที่ 2.7 และ 3.1 วินาที ขณะที่อัตราเร่งในส่วนนี้ของ ไอ 8 คือ 2.4 และ 2.9 วินาที ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าสปอร์ทล้ำยุคที่พ่วงทั้งเครื่องยนต์เทอร์โบ และมอเตอร์ไฟฟ้า ไม่สามารถฉีกหนี 718 บอกซ์สเตอร์ได้เลย ! มีเพียงช่วง 60-100 กม./ชม. เท่านั้น ที่ขยับระยะห่างได้เพียงเล็กน้อย
อาวุธสำคัญของ โพร์เช 718 บอกซ์สเตอร์ คือ ขนาดตัวที่พอเหมาะ รวมถึงน้ำหนักรวม ผนวกกับเครื่องยนต์ที่ตอบสนองได้ดีเมื่อกดคันเร่งลึก อัตราเร่งที่ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับเสียงที่ทุ้มห้าว เร้าใจ แผงดังมาจากด้านหลังคนขับ ให้อารมณ์คล้ายกับซูเพอร์คาร์ ผ่านช่องเสียงที่ทางผู้ผลิตติดตั้งเอาไว้ด้านหลังเบาะนั่ง (เป็นเสียงที่แท้จริงจากเครื่องยนต์ ไม่ใช่เสียงสังเคราะห์)
ในแง่ของความคุ้มค่าจากสมรรถนะที่ตอบสนองออกมา โพร์เช 718 บอกซ์สเตอร์ มีให้อย่างเต็มเปี่ยม หากมองในแง่ราคาที่ 7,200,000 บาท เมื่อเทียบกับ บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 ที่มีราคาถึง 11,899,000 บาท อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องแลกกับโรดสเตอร์เครื่องยนต์วางกลางลำคันนี้ คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ทางผู้ผลิตระบุที่ 14.5 กม./ลิตร แม้จะน่าพอใจเมื่อเทียบกับสมรรถนะที่ได้มา แต่อัตราสิ้นเปลืองของสปอร์ทพลัก-อิน ไฮบริด อย่าง ไอ 8 ทำได้ดีกว่านั้นมากมาย
SUSPENSION ระบบรองรับ
การทดสอบด้วยเครื่องมือวัดสมรรถนะ ดาทรอน กับยี่ห้อ โพร์เช เป็นครั้งแรกของทีมงาน ทำให้เกิดสถิติใหม่ด้านระยะเบรค โดย 718 บอกซ์สเตอร์ ทำประสิทธิภาพของระบบเบรคที่น่าทึ่ง ที่ความเร็ว 60/80/100 กม./ชม. มีตัวเลขออกมาที่ 12.9/22.4/35.5 ม. ตามลำดับ เป็นระยะเบรคที่ดีกว่าตัวแรงอย่าง เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที เอส ด้วยซ้ำไป แม้สปอร์ทโรดสเตอร์คันนี้ จะใช้ยางที่มีแก้มค่อนข้างหนา แต่ด้วยระบบเบรคประสิทธิภาพสูง ผนวกกับการวางเครื่องยนต์กลางลำ ทำให้ขณะเบรค น้ำหนักไม่ถ่ายเทไปข้างหน้ามากเกินไป ผู้ขับจะรู้สึกถึงแรงสะท้อนกลับในระดับที่เหมาะสม ด้วยความสมดุลที่ดี ทำให้ระยะเบรคออกมาเป็นสถิติตัวเลขที่ดีที่สุด นับตั้งแต่ทำการทดสอบด้วยเครื่องมือวัดสมรรถนะ ดาทรอน นั่นเชียว !!
ในแง่ของการขับขี่ ขณะแล่นที่ความเร็วสูง 718 บอกซ์สเตอร์ มีน้ำหนักพวงมาลัยที่ให้ความมั่นคงเป็นอย่างดี ระบบรองรับที่หนึบแน่น ควบคุมได้ดีในทางโค้ง แต่หากใช้ความเร็วมากเกินควร อาการโอเวอร์สเตียร์สามารถพบเจอได้ทุกเมื่อ เป็นจุดที่ต้องระวังของโรดสเตอร์ขับเคลื่อนล้อหลัง ส่วนการตอบสนองของช่วงล่าง รองรับสมรรถนะได้ดี แต่มีจุดที่ต้องระวัง คือ สภาพพื้นผิวถนนที่มีความขรุขระ ตัวรถสะท้อนแรงสั่นสะเทือนพอสมควร แม้ใช้โหมดช่วงล่างปกติแล้วก็ตาม (สามารถกดปุ่มให้ระบบรองรับหนึบแน่นมากขึ้น ด้วยปุ่มบริเวณคอนโซลข้างผู้ขับ)
ขนาดตัว และระดับราคา ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการสำแดงความเป็นตัวตนในแบบฉบับของ โพร์เช ผ่านสิ่งต่างๆ ในตัว 718 บอกซ์สเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงที่สวยสะดุดตา สมรรถนะ และซุ่มเสียงที่เร้าใจจากขุมกำลัง การขับขี่ที่ยอดเยี่ยม รวมถึงคุณภาพของวัสดุภายในห้องโดยสาร ล้วนถูกรังสรรค์ขึ้นมาอย่างลงตัว ขับสนุกกว่ารถสปอร์ทรุ่นใหญ่หลายรุ่น ไม่น่าแปลกใจกับการได้รับหมายเลขประจำรุ่น นั่นคือ 718 ตามรถแข่งที่เคยสร้างชื่อเสียงเมื่อครั้งอดีต แม้ในสายพันธุ์ของ โพร์เช จะมีสปอร์ทสมรรถนะสูงอีกมากมาย แต่แค่นี้ก็ “เหลือเฟือ” แล้วสำหรับความร้อนแรงที่โรดสเตอร์รุ่นนี้มอบให้ !!