ทดสอบ(formula) 1 Feb 2012
KIA PICANTO K1
EXTERIOR ภายนอก
เกีย ปิกันโต (KIA PICANTO) รุ่นนี้ถือเป็นรุ่นที่ 2 ที่ทำตลาดในบ้านเรา กันชนหน้าบึกบึน พร้อมช่องรับอากาศขนาดใหญ่ ไฟหน้าทรงเหลี่ยม ติดตั้งกระจังหน้าแบบ “TIGER NOSE” เอกลักษณ์เฉพาะของ เกีย เส้นด้านข้างที่คมเข้ม พาดยาวจรดไฟท้าย ซึ่งมีรูปทรงเหมือนบูเมอแรง ช่วยให้ท้ายรถดูกว้างขึ้น รุ่นที่เราทดสอบเป็นรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ใช้ล้อแมก 14 นิ้ว กับยาง MAXXIS MA-P1 ขนาด 165/60 R14 ถ้าใครอยากสปอร์ทกว่านี้ ยังมีล้อแมกขนาด 15 และ 16 นิ้ว ให้เลือกในรุ่นทอพ เอสอี
หากเทียบทางด้านมิติตัวถังแล้ว ปิกันโต มีความยาว และระยะฐานล้อ ที่ 3,595 และ 2,385 มม. ตามลำดับ ถือว่ามีฐานล้อใกล้เคียงกับแฮทช์แบคระดับ 1.5 ลิตร อย่าง ซูซูกิ สวิฟท์ (SUZUKI SWIFT) กับมิติตัวถัง 3,755 และ 2,390 มม. และมีขนาดย่อมกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับ อีโคคาร์ อย่าง นิสสัน มาร์ช (NISSAN MARCH) ที่มีมิติ 3,800 และ 2,450 มม.
ถือว่าทีมออกแบบของ เกีย สามารถรังสรรค์ให้รูปลักษณ์ของ ปิกันโต แลดูทันสมัย และมีสไตล์สปอร์ทผสมผสานอยู่ด้วย แตกต่างจากบรรดารถเล็กอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ที่มักจะเน้นเส้นสายที่โค้งมน นับว่าไม่ง่ายเลยสำหรับแฮทช์แบคที่มีเนื้อที่จำกัด แต่ออกแบบได้อย่างลงตัวเช่นนี้
INTERIOR ภายใน
เมื่อเข้ามานั่งภายใน การตกแต่งเน้นโทนสีดำ ตัดสลับสีเงิน ให้ความรู้สึกที่ทันสมัย โดยเฉพาะบริเวณด้านล่างของพวงมาลัยยังออกแบบในสไตล์ “TIGER NOSE” เช่นเดียวกับกระจังหน้า หักมุมด้านล่างเล็กน้อยเพื่อหลบช่วงขา และเพิ่มพื้นที่วางนิ้วหัวแม่โป้ง จับได้กระชับมือ ให้อารมณ์เหมือนพวงมาลัยของรถสปอร์ท มาตรวัดแยก 3 ส่วน พร้อมจอแสดงผลได้หลายโหมด เช่น การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ระยะทางที่แล่นต่อไปได้ และการเปิด/ปิดโหมด อีโค (ECO)
ภายใต้ความทันสมัย แฮทช์แบคจากแดนกิมจิคันนี้ มีประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลายซ่อนตามจุดต่างๆ เช่น ที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ใกล้กับคันเกียร์ จะดีดตัวออกมาตามแนวโค้งเมื่อกดปุ่ม นับเป็นลูกเล่นที่ให้ความเก๋ไก๋ และทำให้บริเวณดังกล่าวสามารถวางของได้ด้วย หากไม่ได้ใช้งานที่วางแก้ว (พับเก็บได้) นอกจากนี้ยังใช้พื้นที่ใต้เบาะหน้าให้เป็นประโยชน์ด้วยการติดตั้งถาดเก็บสัมภาระ เบาะคู่หลังสามารถพับได้แบบ 60:40 สามารถพับแยกซ้าย/ขวา สามารถเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระท้าย และแบ่งที่ให้ผู้โดยสารได้ในเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตามพื้นที่เก็บสัมภาระมีให้เหลือเฟือ ทำให้พื้นที่ช่วงขาของผู้โดยสารด้านหลังถูกกินเนื้อที่เล็กน้อย เรามีความรู้สึกว่าพื้นที่ในส่วนนี้ของทั้ง ฮอนดา บรีโอ และ นิสสัน มาร์ช นั่งสบายกว่า ขณะที่การออกแบบภายนอกอย่างมีสไตล์ทำให้กระจกที่ประตูท้าย มีขนาดค่อนข้างเล็ก ทัศนวิสัยยามเมื่อมองกระจกส่องหลัง จึงมีมุมแคบลงด้วย
ENGINE เครื่องยนต์
ปิกันโต วางเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.2 ลิตร กำลัง 87 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ดูจากพิกัด และแรงม้า จึงหนีไม่พ้นที่เราจะนำมาเปรียบเทียบกับบรรดา อีโคคาร์ สไตล์แฮทช์แบคทั้ง นิสสัน มาร์ช (79 แรงม้า) และ ฮอนดา
บรีโอ (90 แรงม้า) โดยที่ 2 คันหลัง ใช้เกียร์อัตโนมัติแปรผัน (CVT)
เริ่มจากอัตราเร่งช่วงตีนต้น 0-100 กม./ชม. ปิกันโต ทำได้ 15.2 วินาที นับว่าใกล้เคียงมากกับ มาร์ช ที่ใช้เวลา 15.1 วินาที รวมไปถึง บรีโอ เฉือนเล็กๆ ที่ 14.8 วินาที
การตอบสนองขณะออกตัวของ ปิกันโต อาศัยแรงบิดที่มากกว่า อีโคคาร์ ทั้ง 2 คัน (12.2 กก.-ม. ที่ 4,000 รตน.) แม้เป็นเกียร์อัตโนมัติ แต่ก็มีแรงกระชากให้รู้สึกได้ อย่างชัดเจน นับว่าให้ความเร้าใจแบบหอมปากหอมคอ แต่สุดทายแล้วเวลาที่ทำได้ ยังคงใกล้เคียงคู่เปรียบเทียบทั้ง 2 คัน
เมื่อลองวัดกันยาวๆ ในส่วนของอัตราเร่ง 0-1,000 ม. แฮทช์แบคจากค่าย เกีย ทำได้ 34.9 วินาที (ที่ 146.6 กม./ชม.) เทียบกับ มาร์ช กับเวลา 36.7 วินาที (ที่ 137.8 กม./ชม.) และ บรีโอ 36.3 วินาที (ที่ 139.2 กม./ชม.)
ยิ่งความเร็วสูงเท่าไร ปิกันโต กลับมีความได้เปรียบมากเท่านั้น การส่งกำลังทำได้ต่อเนื่อง โดยทาง มาร์ช มีข้อจำกัดที่เครื่องยนต์เป็นแบบ 3 สูบ ทำให้กำลังแผ่วในช่วงปลาย และ บรีโอ ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบเหมือนกัน แต่ถูกจำกัดความเร็วสูงสุดที่ 140 กม./ชม. รถจิ๋วแดนกิมจิ จึงทิ้งห่างพอสมควรในส่วนนี้
สำหรับอัตราเร่งแบบยืดหยุ่น ช่วงความเร็ว 60-100 กม./ชม. ปิกันโต ทำเวลาได้ 8.2 วินาที สูสีกับ บรีโอ ที่ทำเวลาเกือบเท่ากันที่ 8.0 วินาที และตามมาไม่ไกลกันนักกับ มาร์ช ทำได้ 8.8 วินาที
หลังจากดูอัตราเร่งทั้ง 3 ส่วนดังกล่าว สมรรถนะของ ปิกันโต ไม่ได้ด้อยไปกว่าเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร สมัยใหม่ของ อีโคคาร์ จากแดนปลาดิบทั้ง 2 คันแต่อย่างใด แม้อัตราเร่งสูสีกัน แต่ในด้านความรู้สึกแล้ว เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะยังให้ความรู้สึกที่เร้าใจกว่าเกียร์ ซีวีที
ด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่ความเร็ว 80 และ 100 กม./ชม. รถเล็กจาก เกีย ทำได้ 18.7 และ 16.5 กม./ลิตร ตามลำดับ เมื่อเทียบกับรถเล็กที่เน้นความประหยัดทั้ง 2 คัน โดย มาร์ช ทำได้ 26.0 และ 20.1 กม./ลิตร และ บรีโอ คือ 29.8 และ 19.8 กม./ลิตร ตามลำดับ ถือแตกต่างกันพอสมควร
สมรรถนะที่พอเพียง บวกกับความเร้าใจพอประมาณ กลับต้องแลกกับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ซึ่งมาจากการใช้รอบเครื่องยนต์ค่อนข้างสูง (ประมาณ 3,000 รตน. ที่ความเร็ว 100 กม./ชม.) ทำให้แฮทช์แบค อีโคคาร์ ที่ถูกพัฒนาเพื่อการประหยัดเชื้อเพลิงโดยเฉพาะ จึงมีความได้เปรียบในส่วนนี้ (ประมาณ 2,000 รตน. ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ทั้งคู่)
อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างด้านการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกลับมาใกล้เคียงกันที่ความเร็ว 120 กม./ชม. ปิกันโต อยู่ที่ 14.1 กม./ลิตร อีกครั้งที่อาการแผ่วปลายของเครื่องยนต์ 3 สูบ ทำให้ตัวเลขของ มาร์ช ตกลงมาที่ 13.2 กม./ลิตร ขณะที่ บรีโอ ยังประคองไปได้ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ ตัวเลขจึงอยู่ที่ 15.7 กม./ลิตร
SUSPENSION ระบบรองรับ
ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง เป็นรูปแบบที่รถยนต์ระดับเดียวกันหลายรุ่นเลือกใช้ แต่จุดแตกต่างของ ปิกันโต อยู่ที่ช่วงล่างด้านหลังแบบ กึ่งอิสระ ทอร์ชันบีม ผสานการบังคับควบคุมพวงมาลัยด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (MDPS: MOTION DRIVEN POWER STEERING) แปรผันน้ำหนักตามความเร็ว ผลที่ออกมา คือ ระบบรองรับที่ให้อารมณ์กรุ่นกลิ่นอายรถยุโรปนั่นเชียว มีความหนึบ และมั่นคง แต่ไม่แข็งกระด้าง
การแปรผันน้ำหนักของพวงมาลัย ต้องใช้ความเคยชินในระยะแรก ที่ความเร็วต่ำ พวงมาลัยมีน้ำหนักเบา สะดวกต่อการหักเลี้ยว แต่เมื่อแล่นที่ความเร็วสูง เรารู้สึกได้ว่าพวงมาลัยมีน้ำหนักมากขึ้นอย่างชัดเจน แต่การตอบสนองก็ฉับไวตามด้วย ช่วยให้รถคันนี้สามารถขับสนุกได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วที่สูงจนเกินไป
ระบบรองรับที่ปรับแต่งมาได้อย่างน่าพอใจ เมื่อเทียบกับความเป็นรถขนาดเล็กระดับ เอ เซกเมนท์ เช่นนี้ ทำให้เราอยากให้คะแนนเต็ม 5 ดาวด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่ ปิกันโต กลับไม่มีระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐานสำหรับรถในยุคปัจจุบัน คือ ถุงลมนิรภัย และเบรค เอบีเอส มาให้ซะงั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทำให้เราต้องหักคะแนนในส่วนนี้ไปโดยปริยาย อีกทั้งระยะเบรคที่วัดออกมาได้ ณ ความเร็ว 60 และ 80 กม./ชม. กับตัวเลข 19.1 และ 32.3 ม. ถือว่าอยู่ในเกณฑ์พอใช้
ปิกันโต แฮทช์แบคคันเล็ก ทรงสวย มีสไตล์ที่ทันสมัย ผนวกกับการใช้สอยที่หลากหลาย ถือเป็นพัฒนาการที่น่าพอใจสำหรับรถยนต์สัญชาติ เกาหลี ยุคปัจจุบัน และยังเป็นตัวเลือกที่แตกต่างจากบรรดารถเล็กสายหลักทั้งหลาย ที่มักจะเน้นความประหยัด ด้วยการบังคับควบคุมที่ดีเกินตัว ให้อารมณ์สปอร์ทอย่างชัดเจน อีกทั้งยังผ่านเกณฑ์การได้รับเงินคืนจากภาษีของรถคันแรก ช่วยเพิ่มความน่าสนใจของรถคันนี้ได้ไม่น้อย
จากคุณสมบัติที่กล่าวมา ถือว่าไม่แพงเกินไปเลย กับค่าตัวประมาณ 500,000 บาท แม้ขาดระบบความปลอดภัยไปบ้าง คงไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้อยากเป็นเจ้าของ ที่มั่นใจว่าจะยังไงตัวเองก็ "เอาอยู่" !