ทดสอบ(formula) 1 Jul 2013
MERCEDES-BENZ A-CLASS (2013)
EXTERIOR ภายนอก
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาสส์ ทำตลาดมาแล้วด้วยกัน 2 รุ่น รุ่นล่าสุดที่เห็นนี้ ถือเป็นลำดับที่ 3 ของสายพันธุ์ สิ่งแรกที่เห็น คือ การเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง จากเดิมที่ 2 รุ่นแรก จะเป็นรูปทรงแฮทช์แบคแบบ 1 กล่อง และมีขนาดเล็กจิ๋ว เทียบเคียงกับรถยนต์ระดับ บี เซกเมนท์ กลับกัน เอ-คลาสส์ รุ่นนี้ เป็นแฮทช์แบค ที่ถูกออกแบบผสมผสานความเป็นรถซีดาน ด้วยตัวถังด้านหน้า โดยเฉพาะฝากระโปรงทรงยาว แนวหลังคาโค้งอยู่ในระดับต่ำ เสริมความปราดเปรียวด้วยเส้นข้างที่โค้งบรรจบเข้าหากันก่อนถึงซุ้มล้อด้านหลัง ซึ่งเป็นลักษณะเส้นสายที่คล้ายกับสปอร์ทซีดานร่วมค่ายอย่าง ซีแอลเอส (CLS) และระยะโอเวอร์แฮงด้านท้ายที่น้อย ช่วยให้ตัวรถแลดูปราดเปรียว และคล่องตัว เมื่อพิจารณาจากมิติตัวถังในส่วนของ ความยาว และระยะฐานล้อ ที่ 4,292 และ 2,699 มม. เทียบได้กับรถระดับ ซี เซกเมนท์ เลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่า เอ-คลาสส์ รุ่นล่าสุด ถูกขยายขนาดตัวกว่ารุ่นก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
รุ่นที่เรานำมาทดสอบได้แก่ เอ 180 และ เอ 250 เอเอมจี ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยทางด้านรูปทรงแตกต่างกัน โดยรุ่น เอ 180 ใช้กระจังหน้าโครเมียมแนวนอน 2 แถว ไฟหน้ามัลทิรีเฟลคเตอร์ ล้อแมกขนาด 17 นิ้ว แม้จะมาแบบเรียบง่าย แต่รูปทรงโดยรวมยังลงตัว แฝงมาดสปอร์ท เหมาะทั้งสำหรับสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรี เน้นการใช้งานทั่วไป
แต่สำหรับคนที่มีงบประมาณมากพอ และอยากจัดเต็มให้ถึงใจกว่านี้ เอ 250 เอเอมจี ก็พร้อมสนองตอบได้เป็นอย่างดี ด้วยรูปทรงที่ดุดันกว่า ติดตั้งชุดแต่งของ เอเอมจี รอบคัน กระจังหน้าแบบสะท้อนแสงระยิบระยับ (DIAMOND GRILL) ช่วยเสริมโลโกดาว 3 แฉกให้มีความโดดเด่นยิ่งขึ้น ราวกับเป็นดาวที่ส่องแสงสว่างกว่าใครในท้องฟ้ายามราตรี ส่วนไฟหน้าเป็นแบบพโรเจคเตอร์ ขอบด้านบนติดตั้งไฟตอนกลางวัน (DAYTIME LIGHT) แบบแอลอีดีบริเวณด้านบน พร้อมทั้งล้อแมกที่เพิ่มขนาดเป็น 18 นิ้วของ เอเอมจี เช่นกัน บ่งบอกความเป็น “HOT HATCH” เต็มพิกัด
เมื่อเทียบกับบรรดาคู่แข่งในบ้านเรา เหล่าแฮทช์แบคหรูก็มีทั้ง เลกซัส ซีที 200 เอช (LEXUS CT200H) และ โวลโว วี 40 (VOLVO V40) แต่ เอ-คลาสส์ จะมีรูปทรงที่ดุดันกว่าใคร นอกจากนี้ยังปราดเปรียว ด้วยความสูงของตัวรถที่ 1,433 มม. (ซีที 200 เอช คือ 1,440 มม. และ โวลโว วี 40 คือ 1,445 มม.) นับว่าทาง เมร์เซเดส-เบนซ์ มาถูกทางแล้ว กับการปฏิวัติรูปทรงของ เอ-คลาสส์ รุ่นนี้ เนื่องจากสามารถออกแบบให้มีความลงตัว มาดสปอร์ทชัดเจนกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีความหลากหลายสามารถนำไปพัฒนาเป็นตัวถังรูปแบบอื่น เช่น สปอร์ทซีดานที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานในบ้านเราอย่าง ซีแอลเอ (CLA)
INTERIOR ภายใน
เมื่อเข้ามาข้างในห้องโดยสาร เราพบว่ามีคอนเซพท์การออกแบบที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงเช่นกัน จากเดิมที่คิดว่าสายพันธุ์รถเล็กจะต้องมีการตกแต่งภายในที่เรียบง่าย สำหรับลูกค้าในวงกว้าง แต่ เอ-คลาสส์ รุ่นนี้กลับ “คิดต่าง” ด้วยการออกแบบที่เน้นหนักที่ความสปอร์ท หยิบยืมรูปแบบจากบรรดาสปอร์ทรุ่นพี่ทั้งหลายอย่าง เอสแอลเค (SLK) และตัวธงอย่าง เอสแอลเอส เอเอมจี (SLS AMG) เช่น มาตรวัด 2 วง ตรงกลางเป็นจอดิจิทอล ปุ่มควบคุมระบบแอร์ติดตั้งบริเวณด้านล่างของคอนโซลกลาง และช่องแอร์ทรงกลม ที่จับรูปทรงคล้ายส่วนหน้าของเครื่องยนต์เจท ขณะที่เบาะนั่งทุกตำแหน่งยังมีรูปทรงคล้ายกับเบาะบัคเกทซีท โดยมีส่วนพนักพิงศีรษะ และพนักพิงหลังเป็นชิ้นเดียวกัน
สำหรับตัวทอพอย่าง เอ 250 เอเอมจี ใส่ออพชันมาเต็มๆ ทั้งหลังคาซันรูฟ เบาะหนัง และพวงมาลัยโทนสีดำ เย็บขอบด้วยด้ายแดง รวมไปถึงขอบที่จับของช่องแอร์ก็เป็นสีแดงด้วย คอนโซลหน้าลายคาร์บอนไฟเบอร์ แป้นคันเร่ง และแป้นเบรคแบบสปอร์ท คันเกียร์ติดตั้งตรงคอพวงมาลัย (ไร้คันเกียร์ตรงกลาง) พร้อมแพดเดิล ชิฟท์เฉพาะรุ่น เอ 250 เอเอมจี เท่านี้ก็ทำให้ เอ-คลาสส์ รุ่นนี้มีกลิ่นอายของความเป็นรถสปอร์ท เน้นสมรรถนะอย่างชัดเจน แม้แต่รุ่นพื้นฐานอย่าง เอ 180 ก็ยังให้ความรู้สึกสปอร์ทใกล้เคียงกัน ถึงออพชันจะน้อยกว่าก็ตามที เช่น เบาะปรับทิศทางด้วยมือ พวงมาลัยมัลทิฟังค์ชันเหมือนกัน แต่ไม่มีแพดเดิล ชิฟท์
ด้านการใช้สอยยังคงความอเนกประสงค์ในสไตล์รถแฮทช์แบค เบาะหลังพับได้แบบ 60:40 แม้ไม่ถึงกับพับราบแต่ก็เพิ่มพื้นที่ใช้งานได้พอสมควร ผนวกกับส่วนเก็บสัมภาระท้าย มีความกว้างขวาง รองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตามผู้โดยสารบนเบาะหลังอาจไม่สะดวกสบายมากนัก เนื่องจากพื้นที่ช่วงขามีให้อย่างพอเพียง ตัวเบาะ และพนักพิงศีรษะไม่สามาถปรับเอนได้ บรรดาความสะดวกสบายส่วนใหญ่จึงอยู่ที่เบาะด้านหน้าเสียทั้งหมด ขณะที่ทัศนวิสัยอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่มุมมองด้านท้ายอาจแคบเล็กน้อย เนื่องจากกระจกมีขนาดค่อนข้างเล็ก ส่วนผู้โดยสารที่เป็นเด็กเล็กอาจอึดอัดกับเบาะหลังเล็กน้อย เนื่องจากขอบประตูอยู่ในระดับสูง อันเป็นผลจากการเน้นความปราดเปรียวของตัวถังภายนอก
ENGINE เครื่องยนต์
เอ 180 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 1.6 ลิตร ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง ให้กำลัง 155 แรงม้า เมื่อดูจากพละกำลังแล้ว นับว่าใกล้เคียงกับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร แบบหายใจธรรมดา เราเปรียบเทียบเครื่องยนต์เบนซินกับอีก 1 ค่าย ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง นั่นคือ ฟอร์ด โฟคัส 2.0 สปอร์ท พลัส (FORD FOCUS 2.0 SPORT+) กำลัง 170 แรงม้า โดยเน้นที่ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ แม้รถทั้ง 2 รุ่น จะอยู่คนละระดับราคาก็ตาม
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เอ 180 ทำได้ 10.8 วินาที ตามหลังทาง โฟคัส เล็กน้อย กับตัวเลขที่ 9.9 วินาที ขณะที่อัตราเร่ง 0-400 ม. แฮทช์แบคค่ายดาว 3 แฉก ทำระยะกระชั้นเข้ามาเล็กน้อยที่ 17.7 วินาที โดยห่างไปไม่ไกล คือ แฮทช์แบคจาก ฟอร์ด อยู่ที่ 17.2 วินาที
ความเร็วช่วงตีนต้น ทาง เอ 180 ทำได้น่าพอใจ แม้ตัวเลขแรงม้าจะน้อยกว่า โฟคัส อยู่บ้าง แต่ด้วยแรงบิดที่มีช่วงการทำงานกว้าง ตั้งแต่รอบต่ำจนถึงรอบปานกลาง จากระบบอัดอากาศในเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร ทำให้มีอัตราเร่งที่ดีไม่แพ้กับเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่า
ด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ความเร็ว 80/100/120 กม./ชม. เอ 180 ทำได้ที่ 23.2/17.7/14.5 กม./ลิตร ตามลำดับ ขณะที่ โฟคัส 2.0 อยู่ที่ 23.9/18.9/13.9 กม./ลิตร ถือเป็นตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ทำได้น่าพอใจทั้งคู่ อย่างไรก็ตามด้วยเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กกว่า แม้จะพ่วงระบบอัดอากาศเทอร์โบก็ตาม เราคิดว่าอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ เอ 180 น่าจะทำได้ดีกว่านี้
ทางด้านตัวแรงอย่าง เอ 250 เอเอมจี สปอร์ท ใช้เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงเช่นกัน มีพละกำลังถึง 211 แรงม้า คู่เปรียบเทียบเราจึงนำหนึ่งในตัวโหดจากเยอรมนี เช่นกัน กับรถสปอร์ทเต็มขั้นอย่าง โฟล์คสวาเกน ชีรคโค 2.0 ทีเอสไอ กำลัง 210 แรงม้า มาดูกันว่าแฮทช์แบคจากค่าย เมร์เซเดส-เบนซ์ จะมีดีกรีความปสอร์ทมากน้อยแค่ไหน
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เอ 250 เอเอมจี ทำได้ 8.7 วินาที ตามมาไม่ห่างกับ ชีรคโค กับอัตราเร่งที่ 8.0 วินาที ขณะที่อัตราเร่งแบบวัดกันยาวๆ เพื่อให้สมกับการเป็นรถแรง 0-1,000 ม. แฮทช์แบคค่ายดาว 3 แฉก ทำเวลาได้ที่ 29.6 วินาที ส่วนสปอร์ทพันธุ์แท้จาก โฟล์คสวาเกน อยู่ที่ 28.2 วินาที แม้จะมีระยะห่างพอประมาณ แต่เมื่อพิจารณาจากขนาดตัวที่ใหญ่กว่า และการเป็นรถแฮทช์แบค 5 ประตู มีความสะดวกสบายในการใช้งานมากกว่า กับสมรรถนะที่เทียบเคียงรถสปอร์ทพันธุ์แท้แบบนี้ ถือว่า เอ 250 เอเอมจี ไม่อาจประมาณได้เลยจริงๆ
ด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ความเร็ว 80/100/120 กม./ชม. เอ 250 เอเอมจี ทำได้ที่ 20.5/17.1/13.4 กม./ลิตร เมื่อพิจารณาแล้ว จะพบว่า ความเร็วในช่วงต้น เอ 250 เอเอมจี มีการสิ้นเปลืองที่มากกว่ารุ่น เอ 180 พอสมควร แต่เมื่อเร่งความเร็วขึ้นแล้ว ส่วนต่างของอัตราสิ้นเปลืองกลับขยับมาใกล้เคียงกัน ทั้งที่เครื่องยนต์ขนาดใหญ่กว่า และพละกำลังที่มากกว่า แสดงให้เห็นว่าที่ความเร็วสูง เครื่องยนต์บลอคใหญ่ยังมีความได้เปรียบในหลายๆ ด้าน
SUSPENSION ระบบรองรับ
แม้ เอ 180 จะด้อยกว่าในเรื่องออพชันต่างๆ และสมรรถนะโดยรวม แต่ไม่น้อยหน้าตัวแรง เอ 250 เอเอมจี ด้านระบบความปลอดภัย จัดมาให้อย่างทัดเทียมกัน ทั้ง ถุงลมนิรภัยรอบคัน ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบรักษาความเร็ว และจำกัดความเร็ว ระบบเตือนแรงดันลมยาง ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ ระบบฝากระโปรงหน้าลดการบาดเจ็บของคนเดินถนนหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น จุดแตกต่างเรื่องระบบความปลอดภัยจะอยู่ที่ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ โดยในรุ่น เอ 180 มีติดตั้งมาให้เช่นกัน แต่รุ่น เอ 250 เอเอมจี จะถูกปรับแต่งเป็นพิเศษเพื่อรองรับกับสมรรถนะที่ร้อนแรงกว่า ถึงอย่างนั้น เอ 180 มีความคุ้มค่ามากในแง่ของระบบความปลอดภัยที่ใกล้เคียงกัน ภายใต้ราคาที่ต่ำกว่าหลายแสนบาท
ด้านช่วงล่างต่างก็มีบุคลิกแตกต่างกัน ในรุ่น เอ 180 ยังคงตอบสนองเหมือนรถจากค่าย เมร์เซเดส-เบนซ์ ที่คุ้นชินกันมา ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ผสมผสานความหนึบพอประมาณ เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ซับแรงจากพื้นผิวถนนได้ดี ส่วน เอ 250 เอเอมจี จะมีช่วงล่างที่หนึบแน่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด เหมาะสมกับพละกำลังของสมรรถนะ แต่ในแง่ของการใช้งานทั่วไปอาจกระด้างอยู่บ้าง ยามเจอพื้นผิวถนนขรุขระ หรือขณะขึ้น/ลง คอสะพาน
แต่สิ่งที่ เอ 180 ทำได้ดีเกินคาด ไม่แพ้กับ เอ 250 เอเอมจี คือ ระบบเบรค แม้ตัวพื้นฐานจะใช้ล้อแมกขนาด 17 นิ้ว ยาง บริดจ์สโตน ทูรันซา ขนาด 225/45 R17 ทำระยะเบรคที่ความเร็ว 80 และ 100 กม./ชม. ที่ 26.0 และ 40.0 ม. ตามลำดับ เทียบกับทาง เอ 250 เอเอมจี ใช้ล้อแมกขนาด 18 นิ้ว ยาง คอนทิเนนทัล พรีเมียมคอนแทค 2 ขนาด 235/40 R18 มีระยะเบรคที่ใกล้เคียงกันที่ 25.5 และ 39.1 ม. นับเป็นประสิทธิภาพเบรคที่ดีเยี่ยมของ เอ-คลาสส์ ทั้ง 2 รุ่น
ชื่อเล็ก จัดใหญ่ ลวดลายเกินตัว
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาสส์ รุ่นล่าสุด เป็นการกลับมาที่ไม่ธรรมดา ทั้งรูปทรงภายนอก และภายใน ที่ปฏิวัติตัวเองใหม่หมด ฉีกแนวจากความเป็นรถเล็ก เรียบง่าย กลายมาเป็นแฮทช์แบคมาดสปอร์ท มีบุคลิกที่โดดเด่นเฉพาะตัว เจือกลิ่นอายจากบรรดาสปอร์ทรุ่นพี่เต็มเปี่ยม รุ่น เอ 180 มีสมรรถนะที่พอเพียง ประหยัดเชื้อเพลิงน่าพอใจ ขณะที่ เอ 250 เอเอมจี สวมบท “HOT HATCH” เน้นสมรรถนะกันเต็มๆ แม้ขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ให้อารมณ์ขับสนุกคล้ายกับรถขับเคลื่อนล้อหลัง ภายใต้ระบบความปลอดภัยที่ทัดเทียมกันทั้ง 2 รุ่น แม้ความสปอร์ทตามที่ว่าจะต้องแลกกับพื้นที่ใช้สอย และความสะดวกสบายบางส่วนบ้าง แต่ยังถือว่าคุ้มค่า
เรียกได้ว่างานนี้ “น้องเล็ก” จัดมาเยอะ แบบไม่เกรงใจพี่ๆ ในอนุกรมดาว 3 แฉก ซะแล้วสิ !