Quattroruote ลองของแรง
PININFARINA BATTISTA
พละกำลัง 900 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ อัตราเร่ง 0-300 กม./ชม. ในเวลาน้อยกว่า 12 วินาที แทบจะไร้ข้อกังขาความเร้าใจจากรถยนต์ไฟฟ้า ที่สามารถทำได้แทบจะทำให้รถสปอร์ทเครื่องสันดาปต้องกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย !?!
ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม
ขณะนี้เราอยู่กับรถใหม่ ซึ่งเปิดประตูสู่โลกอนาคตยุคหน้าอันล้ำสมัยที่แท้จริง เกินกว่าจะจินตนาการได้ เรากำลังพูดถึงสัตว์ประหลาดพลังงาน และมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 4 ตัว ถ้าไม่เร่งความเร็วระหว่างขอบถนน แต่กลับพุ่งทะยานออกไปในพริบตา นี่คือ PININ FARINA BATTISTA (ปินินฟารีนา บัตติสตา) ถูกกระตุ้นความเร้าใจโดยเลือกโหมดการขับขี่ที่ดุดันที่สุด นั่นคือ FURIOSA เพื่อปลดปล่อยศักยภาพของพละกำลัง 1,900 แรงม้า พร้อมการกดฝ่าเท้าไปบนแป้นคันเร่ง ยิ่งสร้างความประหลาดใจเกือบแทบตายไฟฟ้าแรงสูงมากเกินไป พวกเขายังไม่ปลดปล่อยพละกำลังออกมาทั้งหมด เพราะเอาเข้าจริงอาจสูงถึง 2,000 แรงม้าก็ได้ เมื่อ 2-3 เดือนก่อน บนเส้นทางสนามทดสอบที่ VAIRANO พวกเขาเตรียมความพร้อมแทบทุกอย่าง ทำให้เราอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า บทบาทใหม่ในการขับขี่ หรือการรีดเค้นประสิทธิภาพจากรถยนต์คันนี้บนท้องถนน จะเป็นไปได้แค่ไหน ซึ่งถือว่าเป็นไฮเพอร์คาร์พลังงานไฟฟ้าที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อาจถึงขั้นที่จะสร้างความอับอาย และสร้างความสั่นคลอนที่สั่งสมมาตลอด 135 ปี ของเครื่องยนต์สันดาป
CEO ของ PINIFARINA พูดอย่างเปิดเผยว่า “รถสปอร์ทคันนี้ คือ พรมแดนใหม่เพื่อความหรูหรา และความยั่งยืน” อาจฟังดูเกินจริง แต่เป็นการยากที่จะตำหนิเขาเนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ไม่สามารถโจมตีได้ และเปรียบเทียบประสิทธิภาพของรถคันนี้ พวกเขาเป็นเสมือนโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่นำเสนอยานยนต์ที่ไม่มีการปล่อยมลพิษ ในระยะสั้น BATTISTA นั้นน่าประทับใจไม่น้อย กับการใช้เวลาน้อยกว่า 2 วินาทีในการโจมตี 0-100 กม./ชม. และใช้เวลาน้อยกว่า 12 วินาที เพื่อทะยานไปถึง 300 กม./ชม. เราตระหนักถึงจุดสูงสุดที่รถคันนี้ที่สามารถทำได้ และไม่อยากเค้นสมรรถนะจนผู้ร่วมโดยสารรู้สึก…คลื่นไส้ ! แม้เราจะคุ้นเคยประสิทธิภาพเช่นนี้มาบ้างแล้ว แม้ในอนาคตจะมีค่ายรถสปอร์ทผลิตรถยนต์ประสิทธิภาพสูงออกมาเรื่อยๆ แต่ที่นี่ไม่ได้มีเพียงไฮเพอร์คาร์สมรรถนะสูง แต่ยังมีแผนการตลาดให้รัดกุม และรอบคอบด้วย
ได้เวลาขับขี่สู้ท้องถนนใน กม. แรกของเรา หนึ่งในผู้ขับสาธิต BATTISTA คือ อดีตนักขับรถแข่ง F1 และเป็นอดีตนักแข่ง FORMULA E ของค่าย MAHINDRA (มหินดรา (ซึ่งเป็นเจ้าของ 100 % ของ PININFARINA) และเป็นคนทดลองขับไฮเพอร์คาร์คันนี้มาแล้ว ในขณะที่อยู่หลังพวงมาลัย เขาบอกเราว่า BATTISTA เข้าโค้งช้ากว่ารถแข่ง FORMULA E เพียงเล็กน้อย แต่ประสิทธิภาพขณะอยู่บนทางตรงใกล้เคียงกับรถแข่ง F1 เลยทีเดียว เราจึงพยายามใช้ประโยชน์จากเส้นทางทั้งหมด และการจัดการน้ำหนัก (ประมาณ 2,200 กก.) โดยตัดสินใจว่าจะต้องรองรับการเข้าโค้งเมื่อไร พวกเขาสนุกกับการขับขี่มากขึ้น การเร่งความเร็วตามแนวยาวเทียบกับการเร่งด้านข้างเพื่อทดสอบแรงเหวี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนถนนที่ทอดยาว ความเสี่ยง คือ การเผาผลาญยางในหลายรอบ เทียบเท่าการขับแบบเน้นสมรรถนะบนระยะทางยาว 500 กม.
ปลดปล่อยความดุดันตามต้องการ
สมรรถนะสุดดุดันจากมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัวจากกำลังขับรวม 1,400 กิโลวัตต์ (มอเตอร์ 1 ตัว/ล้อ: ขับเคลื่อน 4 ล้อ) และแบทเตอรีความจุ 120 กิโลวัตต์ชั่วโมง อุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์ และโครงสร้างพื้นฐานมาจากการร่วมมือกับ RIMAC (รีมัค)ค่ายรถรถสปอร์ทจากโครเอเชีย ส่วนที่เหลือทั้งหมดได้รับการแก้ไข และออกแบบใหม่ตามมุมมองเฉพาะตัวของวิศวกร เพื่อจุดประสงค์ คือ ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ BATTISTA ตั้งแต่โหมดการขับเคลื่อน 4 แบบที่จะเปลี่ยนการขับขี่ และความสามารถในการขับเคลื่อนของตัวรถ เริ่มตั้งแต่กำลังไฟฟ้า 300 กิโลวัตต์ของโหมดปกติ (กำลังสูงสุด 408 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 121.2 กก.-ม.) ถึง 1,400 กิโลวัตต์ของโหมด FURIOSA (กำลังสูงสุด 1,904 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 253 กก.-ม.) ลดทอนกำลังลงมาที่ 745 กิโลวัตต์ (กำลังสูงสุด 1,013 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 163.8 กก.-ม.) ของโหมด PURE และที่ 1,000 กิโลวัตต์ (กำลังสูงสุด 1,360 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 201.6 กก.-ม.) ของโหมด ENERGICA แท้จริงแล้วยังมีโหมดที่ 5 ตามแต่ความต้องการ และอุปนิสัยของแต่ละคน สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ
ความสุขของการพา BATTISTA เข้าโค้งทุกถนนในโหมด PURE ไม่เน้นความสุดขั้ว แต่โดดเด่นที่ความแน่นอน เหมาะสมที่สุดที่จะเพลิดเพลินไปกับความรื่นรมย์ และความกลมกล่อมของการปรับแต่งอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม การปรับแต่งโดยรวมจากทาง PININFARINA มักจะส่งคืนความรู้สึกคล่องตัว และความเบา ขณะที่บนสนามแข่งมีสิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจ นั่นคือ ความรวดเร็วในการตอบสนองต่อการปล่อยคันเร่งขณะที่อยู่ตรงกลางโค้ง แม้ตัวรถจะมีน้ำหนักค่อนข้างมาก ในระดับที่เรารู้สึกได้ แต่ก็ยังสามารถจัดการความหนึบแน่นยอดเยี่ยมได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ภายในห้องโดยสารโดดเด่นด้วยจอภาพที่ทำมุมเข้ากันกับผู้ขับ เป็นทางเลือกที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น ประโยชน์ คือ มุมมองของหน้าจอนั้นอาจถูกขอบพวงมาลัยบังอยู่ตลอด แต่เมื่อเราอยู่บนไฮเพอร์คาร์แบบนี้ พื้นที่สำหรับการปรับแต่ง และทัศนวิสัยโดยรวมที่ชัดเจน ใช้งานได้จริง อย่างไรก็ตาม จอภาพส่วนกลางมีขนาดเล็กที่อยู่เหนือคอพวงมาลัย ประกอบด้วยภาพกราฟิคที่เรียบง่าย และแสดงผลแม่นยำ (เช่น ระบบความบันเทิง) ทั้งหมดนี้ คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับระดับแบทเตอรี ความเร็ว ระยะทาง และการนำพลังงานไฟฟ้ากลับมาใช้จากการเบรค ปุ่มหมุนอลูมิเนียม 2 อัน ให้คุณเลือกโหมดการขับขี่ได้ และใช้งานคันเกียร์เหนืออุโมงค์กลาง
BATTISTA จะถูกผลิตเป็นจำนวนจำกัดที่ 150 คัน สามารถเลือกปรับแต่ง และตกแต่งได้มากมายหลายรายการในราคากว่า 2,400,000 ยูโร ราคานี้จะรวมทั้งการให้ความช่วยเหลือด้านซอฟท์แวร์แบบออนไลน์ หรือโดยตัวแทนจำหน่าย (สำหรับการบำรุงรักษาตามปกติ) และมีทีมงานฝ่ายซ่อมบำรุงที่จะบินไปหาลูกค้าได้เสมอ ในกรณีที่การให้บริการนั้นเหมาะสมสำหรับราคาค่าตั๋วเครื่องบิน
ข้อมูลจำเพาะ
รถยนต์ในอนาคต รุ่นใหม่เตรียมเปิดตัวเร็วๆ นี้
ข้อมูลจากผู้ผลิต
• มอเตอร์ไฟฟ้า ด้านหน้า 2 อัน ด้านหลัง 2 อัน
• กำลังสูงสุด 1,904 แรงม้า
• แรงบิดสูงสุด 240.7 กก.-ม.
แบทเตอรี
• ลิเธียม-ไอออน ความจุ 120 กิโลวัตต์ชั่วโมง
รองรับการชาร์จ
• กระแสสลับ ไม่มี / กระแสตรง สูงสุด 250 กิโลวัตต์
ระบบส่งกำลัง
• ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
• จุดควบคุมมอเตอร์
สมรรถนะ
• ความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม.
• อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ต่ำกว่า 2 วินาที
• ระยะทำการสูงสุด มากกว่า 500 กม.
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
• ระยะฐานล้อ 2,750 มม.
• ความยาว 4,910 มม. กว้าง 2,240 มม. สูง 1,210 มม.
• น้ำหนักโดยประมาณ 2,200 กก.
ราคา
• 2,415,600 ยูโร (ประมาณ 93,420,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
การเปิดตัวรถยนต์จากสายการผลิตของ PININFARINA รุ่นแรก คือ ไฮเพอร์คาร์พลังไฟฟ้าอย่าง BATTISTA ทางค่ายก็มีแผนงานสำหรับรถยนต์รุ่นถัดไปเตรียมไว้แล้ว ดยมีแผนจะเปิดตัวในปี 2023 กับแนวทางที่แตกต่างจากเดิมที่เน้นเส้นสายโฉบเฉี่ยว และดุดันแบบสปอร์ทสมรรถนะสูง สู่การเป็นรถยนต์ที่มีขนาดย่อมลงมาเล็กน้อย หน้าตาโดยรวมมีความเรียบง่ายมากกว่า “เข้าถึงได้ง่าย” (ทีมงานฝ่ายศิลป์ของเราลองสร้างภาพร่างขึ้นมาในเบื้องต้น ออกมาเป็นภาพทางขวามือ) เมื่อพิจารณาถึงห้องโดยสาร และราคาโดยรวมของว่าที่รถรุ่นใหม่คันนี้ ตัวถังจะสูงขึ้นมาอย่างชัดเจน มีลักษณะของการเป็นครอสส์โอเวอร์สมรรถนะสูง ซึ่งเห็นมาแล้วหลายรุ่น (ได้แก่ ASTON MARTIN DBX และ LAMBORGHINI URUS เป็นตัวอย่าง) ผสมผสานระหว่างการออกแบบที่โฉบเฉี่ยว และสมรรถนะที่ร้อนแรง ตัวถังถูกออกแบบมาให้รองรับการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ขั้นตอนต่อมา คือ การมองหาโรงงานสำหรับผลิตรถยนต์รุ่นนี้ แม้รายละเอียดยังไม่ถูกเผยออกมา แต่คาดว่าโรงงานจะตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี
ซุ้มล้อขนาดใหญ่ แต่ยังดูปราดเปรียวแบบสปอร์ทคูเป เส้นสายแต่ละสัดส่วนดูไหลลื่น และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สมกับการเป็นรถยนต์รุ่นใหม่จากค่าย PININFARINA