Quattroruote ทดสอบ
ศึก พลัก-อิน ไฮบริด ระดับพรีเมียม AUDI VS BMW VS RANGE ROVER
เอสยูวี หรู จาก 3 ค่ายรถ พร้อมความหลากหลายของจุดชาร์จไฟฟ้า แต่ละคันมาพร้อมกับคุณภาพที่คับแก้ว พร้อมกับเอกลักษณ์ที่หลากหลายของแต่ละคัน ค่ายรถสัญชาติอังกฤษ LAND ROVER RANGE ROVER เน้นความสะดวกสบาย ขณะที่ทาง BMW เน้นที่การประหยัดเชื้อเพลิง ส่วนค่าย AUDI จะเน้นประสิทธิภาพโดยรวมที่สมดุลเป็นอย่างดี
รุ่น Q3 SPORTBACK 45 TFSIE S LINE
ราคา (จากผู้ผลิต)
57,200 ยูโร (ประมาณ 2,340,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
เบนซิน เทอร์โบ 4 สูบเรียง + มอเตอร์ไฟฟ้า
1,395 ซีซี
กำลังสูงสุด 245 แรงม้า
รุ่น X2 XDRIVE25E M SPORT
ราคา (จากผู้ผลิต)
54,600 ยูโร (ประมาณ 2,520,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
เบนซิน เทอร์โบ 3 สูบเรียง + มอเตอร์ไฟฟ้า
1,499 ซีซี
กำลังสูงสุด 220 แรงม้า
รุ่น EVOQUE P300E SE
ราคา (จากผู้ผลิต)
63,100 ยูโร (ประมาณ 2,730,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
เบนซิน เทอร์โบ 3 สูบเรียง + มอเตอร์ไฟฟ้า
1,497 ซีซี
กำลังสูงสุด 309 แรงม้า
ความลงตัว 3 แนวทาง
การทดสอบครั้งนี้ เราจะเลี่ยงการประเมินผลด้วยตัวเลขที่มากมายเกินความจำเป็นในบางครั้ง รวมถึงคุณสมบัติที่ทราบกันดีอยู่แล้วของระบบ พลัก-อิน ไฮบริด ใครที่ติดตามคอลัมน์จากทาง QUATTRORUOTE มาอย่างต่อเนื่อง จะพบข้อสรุปของรถยนต์ประเภทนี้ว่า มีความเหมาะสมแตกต่างกันไปตามการใช้งานของแต่ละคน หลายคนอาจสงสัยว่า หากการใช้งานเป็นระยะทางไกลร่วม 500-600 กม. บนทางหลวงแทบทุกวัน การใช้ระบบไฮบริดดังกล่าวจะเหมาะสมหรือไม่ ? ในอีกกรณีหนึ่ง หากการใช้งานทั่วไปเน้นการขับขี่ในตัวเมือง และทางด่วนเป็นครั้งคราว กับระยะทางเพียง 30-40 กม. ในแต่ละวัน รถยนต์ประเภทดังกล่าวยิ่งดูน่าสนใจยิ่งขึ้น หากผู้ใช้งานทำการชาร์จไฟฟ้าเป็นประจำ ถือเป็นข้อได้เปรียบด้วยซ้ำไป เพราะสามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนๆ และหากใช้งานเป็นระยะทางไกล ยังมีเครื่อง ยนต์สันดาปมาขับเคลื่อนอีกแรงหนึ่ง
ประเด็นสำคัญของการทดสอบในครั้งนี้ นั่นคือ รถยนต์ประเภท พลัก-อิน ไฮบริด ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง และสามารถกินส่วนแบ่งตลาดรถยนต์โดยรวมได้มากขึ้นเรื่อยๆ ตัวถังที่ได้รับความนิยมมากที่สุด หนีไม่พ้น เอสยูวี ส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์ระดับหรู โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีค่ายรถเปิดตัวรถรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง เริ่มจาก AUDI Q3 SPORTBACK (เอาดี คิว 3 สปอร์ทแบค) ถัดมา คือ BMW X2 E (บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 2 อี) และ RANGE ROVER EVOQUE (เรนจ์ โรเวอร์ อีโวค) โดยแต่ละรุ่นล้วนเป็นคู่แข่งระดับเดียวกัน มิติตัวถังใกล้เคียงกัน และเครื่องยนต์มีพละกำลังสูสีกัน แต่เมื่อเราทำการทดสอบแล้ว พบว่าแต่ละรุ่นล้วนมีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ รวมถึงความนิยมที่ล้นหลาม จากการเห็นรถแต่ละรุ่นแล่นบนท้องถนนอย่างหนาแน่น
ทางค่าย AUDI (เอาดี) เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ กับรุ่น Q3 และ Q3 SPORTBACK (คันที่นำมาทดสอบ) โดยค่ายรถแห่งนี้พัฒนาระบบ พลัก-อิน ไฮบริด มานานหลายปีแล้ว และใช้งานกับรถยนต์หลากหลายรุ่นของค่าย กับโครงสร้างตัวถังรหัส MQB ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 1.4 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ ขับเคลื่อนร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 116 แรง ม้า ทำให้มีกำลังสูงสุดทั้งระบบที่ 245 แรงม้า ขณะที่ทาง BMW (บีเอมดับเบิลยู) และ RANGE ROVER ใช้เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 3 สูบเรียง (พัฒนามาจากเครื่องยนต์แบบ 4 และ 6 สูบ) ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อคู่หลัง ผล ลัพธ์ คือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา แม้การส่งกำลังจะยังคงแตกต่างจากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบดั้งเดิมอยู่บ้างก็ตาม ทั้ง 3 รุ่นติดตั้งแบทเตอรีแบบลิเธียม-ไอออน ขนาดเล็ก เพื่อความเหมาะสมกับระบบ พลัก-อิน ไฮบริด (ความจุที่ 10-15 กิโลวัตต์ชั่วโมง) แต่ทาง RANGE ROVER เป็นเพียงรุ่นเดียวที่รองรับการชาร์จแบบเร่งด่วน (ที่ 32 กิโลวัตต์) แม้ในความเป็นจริง การชาร์จแบบเร่งด่วนจะมีค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าก็ตาม แต่ในกรณีที่ผู้ใช้งานมีเวลาในการชาร์จที่จำกัด การชาร์จแบบเร่งด่วนเป็นจุดได้เปรียบกว่าคู่แข่งรายอื่น
ค่ายใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาวเด่นที่ประสิทธิภาพ
เอสยูวี ทั้ง 3 รุ่น มีความคล้ายคลึงกันในหลายส่วน ยกเว้นเพียงรูปแบบการชาร์จ และข้อมูลจำเพาะบางหัวข้อเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ คือ ความลงตัวในแง่ของระ บบส่งกำลัง นอกจากนี้ ยังมีการตกแต่งห้องโดยสารด้วยวัสดุคุณภาพสูง และยังสวยงามลงตัวอีกด้วย โดยเฉพาะทาง AUDI และ RANGE ROVER มีพื้นที่ห้องโดยสารใกล้เคียงกัน จะมีความแตกต่างในรายละเอียดบางส่วนที่เราจะนำเสนอในส่วนถัดไป รองรับผู้โดยสารได้ 4 คนสบายๆ การเข้า/ออกทำได้สะดวก และที่เก็บสัมภาระรองรับกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ได้ แม้เอาเข้าจริง อาจไม่ใช่ เอสยูวี ที่คาดหวังเรื่องความกว้างขวางได้เสียทั้งหมด แต่โดยรวมแล้ว มีพื้นที่เพียงพออย่างเหมาะสม เมื่อเทียบกับมิติตัวถัง
ส่วนอุปกรณ์ที่ติดตั้งมาให้จะเน้นความทันสมัย สมกับเป็นรถยนต์ยุคดิจิทอล ระบบความบันเทิงที่มีความทันสมัย (โดยเฉพาะ EVOQUE ติดตั้งรุ่นล่าสุด คือ PIVI PRO) มีฟังค์ชันการใช้งานที่ครอบคลุม และง่ายดาย การแสดงผลของรายการต่างๆ มีการจัดวางที่เป็นระเบียบ จอแสดงผลสำหรับระบบ พลัก-อิน ไฮบริด แสดงข้อมูลครบถ้วน นับตั้งแต่รูปแบบการชาร์จไฟฟ้า รวมถึงโหมดการขับขี่รูปแบบต่างๆ ได้แก่ โหมด EV สำหรับการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนๆ HYBRID ระบบจะใช้การขับเคลื่อนควบคู่กันระหว่างเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า ส่วนโหมด SAVE จะเน้นการประหยัดพลังงานไฟฟ้าของชุดแบทเตอรี ทาง AUDI และ BMW มีระบบชาร์จกระแสไฟฟ้ากลับมาใช้งานจากเครื่องยนต์ แต่ต้องไม่ลืมว่า กระบวน การดังกล่าวจะทำให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงสูงตามไปด้วย
เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ เอสยูวี ทั้ง 3 รุ่น จะเริ่มขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าก่อน และมีความไหลลื่นของการสลับมาขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ทางด้าน EVOQUE มีการทำงานของเครื่องยนต์สันดาปที่ราบรื่นที่สุด แต่ในขณะที่ทำอัตราเร่ง เครื่องยนต์แบบ 3 สูบ มีเสียงรบกวน และแรงสั่นสะเทือนที่รู้ได้ค่อนข้างชัดเจน เทียบกับทาง AUDI ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง จะมีการทำงานที่เนียนกว่า
ส่วน X2 การสลับระบบขับเคลื่อนระหว่างเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า จะไม่ราบรื่นต่อเนื่องเสียทีเดียวเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่ถือเป็นสิ่งที่พอยอมรับได้ หากมองในแง่ของการเป็น เอสยูวี ที่ผสมบุคลิกแบบรถสปอร์ทเข้าไปด้วย เห็นได้จากการทดสอบที่พบว่า อัตราเร่งโดยรวมทำได้ดีกว่าคู่แข่งที่เหลือ ตามมาด้วยรถยนต์จากอังกฤษ และถัดมา คือ รถยนต์ของค่าย AUDI ที่ทำเวลาแตกต่างกันเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม Q3 SPORTBACK มีมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลังสูงที่สุดในกลุ่ม ความแตกต่างด้านอัตราเร่งแทบไม่รู้สึกในการขับขี่จริง เป็นจุดเด่นจากการมีโหมด BOOST จากมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้การขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนมีประสิทธิภาพดีที่สุดเช่นกัน
โหมด HYBRID
ประสิทธิภาพโดยรวมในแง่ของระบบส่งกำลัง ในส่วนนี้ทาง X2 มีความโดดเด่นอย่างชัดเจน กับความสมดุลระหว่างสมรรถนะ และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง สามารถทำตัวเลขได้อย่างน่าพอใจในทั้ง 2 หัวข้อ อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง และพลังงานไฟฟ้า บ่งบอกถึงการประหยัดได้ดี มีระยะทำการที่มากพอ ทั้งในกรณีที่แบทเตอรีเหลือน้อย หรือแบทเตอรีเต็มก็ตาม เป็นคุณสมบัติที่เหนือกว่าคู่แข่งรายอื่น นอกเหนือจากการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่ไร้มลพิษโดยสิ้นเชิง โดยเฉลี่ยแล้ว BMW มีระยะทำการสูงสุดที่ 50 กม. ส่วน Q3 คือ 39 กม. และ EVOQUE ทำได้ที่ 42 กม. ในกรณีที่แบทเตอรีเหลือน้อย และระบบขับเคลื่อนด้วยโหมด HYBRID อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงยังคงอยู่ในระดับต่ำ ตามมาติดๆ ด้วยรถ ยนต์จากทาง AUDI
ขณะที่รถยนต์สัญชาติอังกฤษ สามารถเอาคืนได้จากความสะดวกสบายที่ทำได้ดีกว่า ห้องโดยสารมีเสียงรบกวนต่ำที่สุด รวมถึงเสียงรบกวนจากล้อรถขณะแล่น (ในส่วนนี้ BMW มีเสียงรบกวนมากที่สุด) ระบบรองรับที่ถูกปรับแต่งให้เน้นความนุ่มนวล มีความเหมาะสมสำหรับผู้โดยสารประมาณ 2-3 คนในตัวรถ ส่วนทาง AUDI มีห้องโดยสารที่เงียบเช่นกัน แต่ระบบรองรับจะมีความหนึบแน่นมากกว่า แต่ยังสามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้น่าพอใจ แม้ในสภาวะพื้นผิวถนนมีรอบต่อขนาดเล็กก็ตาม ในส่วนนี้ถือว่าทำได้ดีกว่า X2 ที่มีแรงสั่นสะเทือนค่อนข้างชัดเจน เมื่อแล่นผ่านรอยต่อบนถนน การปรับแต่งที่แตกต่างกันของ เอสยูวี แต่ละรุ่น ทำให้มีคุณลักษณะของการขับขี่ที่แตกต่างกันด้วย
สำหรับความคล่องแคล่วของ เอสยูวี แต่ละรุ่น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า รถที่มีจุดอ่อนในด้านนี้มากที่สุด คือ RANGE ROVER ด้วยเหตุผลของน้ำหนักโดยรวมที่มากกว่าคู่แข่ง (นั่นคือ ประมาณ 2,300 กก. เทียบกับ เอสยูวี สัญชาติเยอรมัน คือ ประมาณ 1,900 กก.) การบังคับควบคุมโดยรวมมีความแม่นยำ แต่หากเพิ่มความเร็วมากขึ้นอาการของตัวรถจะปรากฏขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่จะเสียการทรงตัวมีความชัดเจนขึ้นเช่นกัน แม้จะยังพอควบคุมได้ ส่วนคู่แข่งอีก 2 รายมีความแตกต่างอย่างชัดเจน Q3 SPORTBACK มีความคล่องแคล่วที่น่าพอใจ และการตอบสนองของการบังคับเลี้ยวที่เที่ยงตรง แม้ระบบช่วยเหลือแบบอีเลคทรอนิคจะรบกวนจังหวะการขับขี่ในบางครั้งก็ตาม ขณะที่ X2 มีความคล่องแคล่วไม่แพ้กัน และมีอาการโคลงขณะเข้าโค้งน้อยที่สุดในบรรดาคู่แข่ง (ระบบรองรับมีการปรับแต่งให้มีความสูงน้อยที่สุดเช่นกัน) แต่ในบางกรณีการตอบสนองขณะขับขี่แบบเน้นสมรรถนะเต็มที่ การตอบสนองไม่ลื่นไหลเท่าใดนัก
สุดท้าย คือ หัวข้อประสิทธิภาพของระบบเบรค มีความแตกต่างอย่างชัดเจนเช่นกัน โดย เอสยูวี ของ AUDI มีประสิทธิภาพของระบบเบรคยอดเยี่ยมที่สุด ระยะเบรคสั้นในทุกสภาวะ ขณะที่คู่แข่งที่เหลือไม่สามารถทำได้ดีเทียบเท่า (มีระยะเบรคที่แตกต่างกันที่ 4-5 ม. ของความเร็ว 100 กม./ชม.) EVOQUE ได้รับผลกระทบจากน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างมาก และยางแบบรองรับทั้งทางเรียบ และทางลุย ส่วน BMW มีระยะเบรคที่มากเกินคาด