เรื่องเด่น Quattroruote
ทดสอบ AUDI Q4 E-TRON
การประเดิมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจากค่าย 4 ห่วง เปี่ยมด้วยความล้ำสมัยทั้งภายนอก และภายใน กับตัวถังที่มีความยาวมากกว่ารุ่น Q3 เล็กน้อย แต่มีพื้นที่ใช้สอยใกล้เคียงกับรุ่น Q5 ขุมพลังสมรรถนะสูง และมีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม โดยมีระยะทำการสูงสุดที่ 400 กม.
รุ่น 50 QUATTRO S LINE EDITION
ราคา (จากผู้ผลิต)
63,700 ยูโร (ประมาณ 2,620,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
กำลังสูงสุด 299 แรงม้า
ความจุแบทเตอรี 82 กิโลวัตต์ชั่วโมง
อัตราสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า
จากผู้ผลิต (WLTP) 5.6 กม./กิโลวัตต์ชั่วโมง
จากการทดสอบ (WLTP) 4.8 กม./กิโลวัตต์ชั่วโมง
ความคุ้มค่า (ชาร์จจากครัวเรือน) 4.21 ยูโร/100 กม.
ความคุ้มค่า (ชาร์จแบบเร่งด่วน) 10.54 ยูโร/100 กม.
ระยะทำการสูงสุด
จากผู้ผลิต (WLTP) 442 กม.
จากการทดสอบ 397 กม.
รถยนต์ต้นแบบของรุ่นนี้ถูกเผยโฉมครั้งแรกเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ กับรายละเอียดหลายอย่างที่ยังไม่ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งได้เวลาของการเปิดตัวรุ่นทำตลาดจริง กับแนวทางการทำตลาดในอนาคตของค่าย AUDI (เอาดี) นั่นคือ เน้นการเสริมทักษะรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับบริษัทแม่อย่าง VOLKSWAGEN (โฟล์คสวาเกน) สู่การทำตลาดในเวลาปัจจุบันอย่างยั่งยืน ตามแผนการพัฒนารถยนต์ยุคหน้า
ช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา รหัส E-TRON (อี-ทรอน) เป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ บ่งบอกการเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (รวมทั้งระบบไฟฟ้าล้วน หรือ ระบบไฮบริด) รหัสดังกล่าวเริ่มถูกนำมาใช้งานในรถยนต์หลากหลายรุ่นของ AUDI กับแผนงานที่ถูกวางเอาไว้ล่วงหน้า เดิมทีการพัฒนารถยนต์พลังงานไฮโดนเจน หรือน้ำมันเชื้อเพลิงแบบสังเคราะห์ ได้รับความสนใจไม่น้อย แต่ต่อมาทางผู้ผลิตก็รับรู้ว่า รถยนต์ระบบดังกล่าวมีต้นทุนการผลิตที่สูงมาก การหันมาพัฒนาเครื่องยนต์พลัก-อิน ไฮบริด เป็นทางเลือกที่ลงตัวในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่กฎเกณฑ์ของค่าไอเสียเฉลี่ยที่เข้มงวดขึ้นทุกๆ ปี ทางออกที่ลงตัวที่สุดย่อมหนีไม่พ้นการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัว
เม็ดเงินการลงทุนมีมูลค่าสูงถึง 1.5 หมื่นล้านยูโร เลยทีเดียว (รวมถึงสายการผลิตที่ลดระดับคาร์บอนไดออกไซด์โดยรวมลงมา) และระหว่างปีปัจจุบันจนถึงปี 2025 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่เตรียมเปิดตัวอีกกว่า 20 รุ่น บางรุ่นเริ่มทำตลาดแล้วในปัจจุบัน ตั้งแต่รุ่น E-TRON ตัวถังเอสยูวี และ E-TRON GT ซึ่งล้วนแล้วแต่มีแบทเตอรีขนาดใหญ่ นับเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยรถยนต์ไฟฟ้าของ AUDI อย่างแท้จริง รวมถึงการอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากมาย มีจุดได้เปรียบในแง่ของความสดใหม่อีกด้วย อุปกรณ์ใช้งานหลายรายการถูกนำมาใช้เป็นลำดับแรกๆ นอกจากนี้ โครงสร้างตัวถังของ Q4 E-TRON ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยกลุ่มค่ายรถของ VOLKSWAGEN เช่นเดียวกับการพัฒนารถยนต์ในระยะยาวที่ใช้โครงสร้างตัวถังร่วมกันในยุคของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปหลากหลายรุ่นเมื่อหลายปีก่อน โดยล่าสุดเป็นโครงสร้างตัวถังสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ เตรียมนำมาใช้งานกับรถยนต์ร่วมเครือหลายรุ่น เช่น VOLKSWAGEN ID.3 (โฟล์คสวาเกน ไอดี.3) และ ID.4 (ไอดี.4) SKODA ENYAQ (สโกดา เอนยัค) และรุ่นใหม่อย่าง CUPRA BORN (คูปรา บอร์น) รวมถึงเอสยูวีรุ่นนี้เช่นกัน
รุ่นย่อยที่หลากหลาย
หนึ่งในจุดได้เปรียบของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า คือ พื้นที่ใช้สอยที่มีให้อย่างเหลือเฟือ ทั้งในแง่ของภายในห้องโดยสาร และมิติตัวถังภายนอก รถยนต์ไฟฟ้าของ AUDI รุ่นนี้มีตำแหน่งทางการทำตลาดที่น่าสนใจ และมีมิติตัวถังที่ใหญ่โตเพียงพอ ความยาวของตัวถังมีมากกว่า Q3 (กับความยาวที่ 4,480 มม. ส่วน Q4 E-TRON คือ 4,590 มม.) แต่กลับมีพื้นที่ห้องโดยสาร และความจุของที่เก็บสัมภาระใกล้เคียงกับ Q5 กับความยาวที่ 4,680 มม. โดยรวมแล้ว ตัวถังของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้จะอยู่ตรงกลางระหว่างเอสยูวีแต่ละรุ่นที่กล่าวมา เป็นจุดที่ทางผู้ผลิตคาดหมายว่าสามารถแข่งขันในตลาดรถยนต์ได้ดี โดย Q4 E-TRON จะมีรุ่นพื้นฐาน คือ E-TRON 35 (กำลังสูงสุด 170 แรงม้า แบทเตอรีความจุ 55 กิโลวัตต์ชั่วโมง) และขยับความแรงขึ้นมากับรุ่น E-TRON 40 กำลังสูงสุด 204 แรงม้า และความจุแบทเตอรี 82 กิโลวัตต์ชั่วโมง ส่วนรุ่นทอพจะมีรหัส คือ E-TRON 50 QUATTRO บ่งบอกว่าเป็นการขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา จากการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอีก 1 อันที่ด้านหน้า (หากเป็นรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวจะขับเคลื่อน 2 ล้อหลังเท่านั้น) มีกำลังสูงสุดที่ 299 แรงม้า แบทเตอรีความจุ 82 กิโลวัตต์ชั่วโมง (ใช้งานได้จริงที่ 77 กิโลวัตต์ชั่วโมง) หากใครที่ต้องการความคล่องแคล่วเป็นพิเศษ Q4 E-TRON ยังมีรุ่น SPORTBACK เป็นอีกหนึ่งทางเลือก โดยสามารถสั่งจองล่วงหน้าได้แล้วในตอนนี้ โดยมีรูปแบบตัวถังที่เน้นความปราดเปรียว และส่วนท้ายที่มีความลาดเทยิ่งกว่า เน้นมาดสปอร์ทเต็มๆ
ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ยังคงถูกรักษาเอาไว้ เห็นได้จากสไตล์การออกแบบโดยรวมที่มีเอกลักษณ์ดั้งเดิมชัดเจน อย่างที่เคยถูกเผยโฉมมาแล้วในงานมหกรรมยานยนต์เจนีวา ปี 2019 ภายนอกเปี่ยมด้วยเหลี่ยมสันที่เฉียบคม และสัดส่วนของเส้นสายที่สวยงามลงตัว ขณะที่ในห้องโดยสารเน้นความล้ำสมัยเต็มพิกัด พร้อมระบบความปลอดภัยยุคหน้า เมื่อเข้ามานั่งในห้องโดยสารของผู้ขับ เราพบว่าแผงคอนโซลหน้ามีการออกแบบที่เน้นความดุดัน เฉียบคม มีการทำมุมเอียงเข้าหาผู้ขับเล็กน้อย เพื่อการใช้งานที่สะดวก รวดเร็ว ในระยะเอื้อมมือถึง จอแสดงผลตรงกลางสำหรับระบบความบันเทิงจะอยู่บริเวณฝั่งซ้ายมือ ถัดมา คือ พวงมาลัยรูปแบบใหม่ มีการหักมุมที่ส่วนบนด้วย ทำให้มองเห็นแผงหน้าปัดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการแสดงผลสะท้อนผ่านกระจกบานหน้า อัพเดทข้อมูลแบบเรียลไทม์ตามสภาพแวดล้อมอีกด้วย โดยการแสดงผลบนกระจกหน้าจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ระดับ นั่นคือ ส่วนแรกใช้สำหรับแสดงผลการแจ้งเตือนต่างๆ หรือการแสดงผลของระบบเนวิเกเตอร์ มีการปรับแต่งมุมมองให้เสมือนว่าภาพนั้นลอยอยู่ห่างจากสายตาของผู้ขับประมาณ 70 นิ้ว แม้ว่าเดิมทีทีมงานผู้ทำการทดสอบไม่ชอบการใช้งานระบบแสดงผลสะท้อนกระจกหน้าเท่าใดนัก แต่ต้องยอมรับว่าวิธีการดังกล่าวช่วยให้ผู้ขับไม่ต้องละสายตาจากการมองถนนอย่างได้ผลจริงๆ
เมื่อหันมาพิจารณารายละเอียดต่างๆ บนพวงมาลัย ปุ่มใช้งานมัลทิฟังค์ชันบนคอพวงมาลัยเป็นรูปแบบที่คุ้นเคยจากรถยนต์หลายรุ่นก่อนหน้านี้ มีการใช้งานที่สะดวกสบาย และรวดเร็ว โดยเฉพาะการเปลี่ยนโหมดการแสดงผลของแผงหน้าปัดที่ง่ายดายเกินคาด นอกจากนี้ ยังมีการประมวลผลที่ฉับไวอีกด้วย ปุ่มใช้งานแบบดั้งเดิมหลายส่วน ถูกแทนที่ด้วยปุ่มระบบสัมผัสบนหน้าจอ มีสีสันที่คมชัด แต่ต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยสำหรับการใช้งานในระยะแรกพอสมควร ในตอนแรกผู้ขับอาจจะมองหาเมนูการใช้งานที่ต้องการในทันที และตำแหน่งของรายการต่างๆ ถูกวางตำแหน่งใกล้ๆ กัน ขณะที่ผู้ขับใช้งาน ส่วนฝ่ามืออาจขยับไปโดนโดยไม่เจตนาได้
หากติดตั้งระบบการแสดงผลแบบดิจิทอลเต็มตัว กับระบบความบันเทิงที่มีชื่อว่า MMI PLUS แสดงผลผ่านจอภาพที่มีขนาดใหญ่ จากเดิมขนาด 10.1 นิ้ว เป็น 11.6 นิ้ว ความละเอียดของหน้าจอที่ 1,764x824 พิกเซล การแสดงผลด้วยรูปภาพสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย เชื่อมโยงข้อมูลแบบออนไลน์ สามารถวางแผนการเดินทางได้แม่นยำ โดยใช้ข้อมูลของระยะทำการที่เหลืออยู่ และตำแหน่งของสถานีชาร์จประจุไฟฟ้าบนเส้นทาง ระบบความบันเทิงรองรับ ANDROID AUTO และ APPLE CAR PLAY เชื่อมต่อได้แบบไร้สาย นอกจากนี้ ยังมีแท่นชาร์จโทรศัท์มือถือแบบไร้สาย วางตำแหน่งตามแนวตั้งบริเวณใต้คอนโซลเกียร์ เสริมด้วยที่วางของขนาดใหญ่ และช่องต่อแบบ USB-C อีก 2 ตำแหน่ง
ขณะที่บริเวณด้านบนของปุ่มใช้งานต่างๆ เป็นปุ่มปรับโหมดการขับขี่ ปุ่มสำหรับปรับเส้นทางการเดินทาง และปุ่มปรับการทำงานของระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ ถัดมา คือ ปุ่มหมุนสำหรับเลือกโหมดของระบบเกียร์สำหรับการเดินหน้า ถอยหลัง และโหมดเน้นการชาร์จแบทเตอรีมาใช้งาน
รถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นติดตั้งแพดเดิล ชิฟท์มาในตัว เป็นรูปแบบที่คุ้นเคยกันมาแล้วจากรุ่น E-TRON SUV ช่วยให้ผู้ขับแทบไม่ต้องเหยียบแป้นเบรคเลย นอกจากนี้ รูปแบบการส่งกำลังถูกแสดงผลบนจอหน้าปัด มองเห็นได้ง่าย มีความคมชัด หากแสดงผลเป็นสีขียว บ่งบอกว่าระบบกำลังได้รับการชาร์จกระแสไฟฟ้ากลับมาใช้งาน ในแง่ของพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า หากเทียบกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ที่ใช้โครงสร้างตัวถังร่วมกัน แต่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแค่ชุดเดียว (เช่น ID.3 และ ENYAQ เป็นต้น) มีกำลังสูงสุดที่ 300 แรงม้า เน้นการส่งกำลังที่ต่อเนื่อง และไหลลื่น เป็นจุดที่น่าพอใจสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ไม่เน้นอัตราเร่งที่กระแทกกระทั้นมากเกินไป การถอนเท้าจากคันเร่งมีการหน่วงความเร็วลงมาอย่างชัดเจน อัตราเร่งของ Q4 E-TRON ช่วง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาไป 5.9 วินาทีเท่านั้น และสามารถทำความเร็วถึง 180 กม./ชม. ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดของรถรุ่นนี้ จะใช้ระยะทางเพียง 800 ม. เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม จุดเด่นที่แท้จริงของ AUDI Q4 E-TRON คือ การขับขี่ที่เน้นความสะดวกสบาย มอเตอร์ไฟฟ้ามีการขับเคลื่อนที่แทบจะไม่มีเสียงรบกวนใดๆ มีการเก็บเสียงรบกวนในห้องโดยสารที่มีประสิทธิภาพสูง ลดเสียงรบกวนจากยางขณะที่รถแล่นอยู่ และเสียงรบกวนอื่นๆ จากภายนอก ระบบรองรับของรุ่นตกแต่งแบบ S-LINE จะเน้นความหนึบแน่นเป็นพิเศษ รวมถึงล้อแมกที่มีขนาดใหญ่ถึง 21 นิ้ว ให้การยึดเกาะถนนที่ยอดเยี่ยม การปรับแต่งโดยรวมให้ความมั่นคงที่น่าพอใจ ตัวรถไม่มีอาการโคลงมากเกินไปขณะเข้าโค้ง แต่ยังดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี หากแล่นผ่านพื้นผิวถนนที่มีความขรุขระ ในส่วนของความคล่องแคล่ว อันที่จริงแล้ว Q4 E-TRON มีบุคลิกที่ตอบสนองได้ฉับไวเกินคาด หากผู้ขับเข้าโค้งด้วยความดุดันมากเกินควร น้ำหนักโดยรวมที่มากกว่า 2.3 ตัน การทำงานของระบบอีเอสพี อาจรบกวนจังหวะการบังคับควบคุมของผู้ขับได้ในบางครั้ง (ขอเสริมว่า รถที่นำมาทดสอบยังไม่ใช่รถที่พร้อมทำตลาดจริงเสียทั้งหมด)
ระยะทำการที่ไปได้ไกล
การทดสอบระยะทำการ และการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า
น้ำหนักโดยรวมที่ค่อนข้างมาก ไม่ส่งผลต่ออัตราสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้ามากนัก ผนวกกับสมรรถนะที่ฉับไวอย่างเหลือเฟือ จุดเด่นของรถรุ่นนี้จะเห็นเด่นชัดในการขับขี่ทางไกล มีอัตราสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าถึง 5.5 กม./กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้มีระยะทำการสูงสุดที่ 450 กม. การขับบนทางด่วนอาจไม่ได้ประโยชน์มากนัก เนื่องจากระบบเครื่องยนต์ไม่มีโอกาสสร้างกระแสไฟฟ้ากลับมาใช้งานมากเท่าที่ควร (ระยะทำการจะเหลือที่ 340 กม.) โดยรวมรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้จะมีระยะทำการจากการใช้งานจริงตามสภาพการจราจรทั่วไปที่ประมาณกว่า 400 กม. หากชาร์จแบทเตอรีเต็ม การใช้งานสำหรับเดินทางไกลยังคงต้องพึ่งพาการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรงแบบเร่งด่วน ทำให้ใช้เวลาในการชาร์จไม่มากจนเกินไป รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้รองรับการชาร์จได้สูงสุดที่ 125 กิโลวัตต์ สำหรับหัวจ่ายไฟฟ้ากระแสตรง คำนวณง่ายๆ ในเบื้องต้น คือ จะใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้น สำหรับการได้กระแสไฟฟ้าเพียงพอสำหรับการเดินทางอีก 100 กม. เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าของ AUDI รุ่นอื่นๆ สามารถเลือกการแสดงผลของจุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ E-TRON ชำระเงินผ่านเครดิทคาร์ด หรือแอพพลิเคชันก็ได้ ใช้งานเกือบทุกหัวจ่าย และบางยี่ห้ออาจมีค่าชาร์จไฟฟ้าราคาพิเศษอีกด้วย
ระยะทำการสูงสุดที่มากกว่า 400 กม.
ความจุของแบทเตอรีที่มีขนาดใหญ่เหลือเฟือ ใช้งานได้จริงที่ 77 กิโลวัตต์ชั่วโมง และอัตราสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าที่ทำได้น่าพอใจ ทำให้ Q4 E-TRON มีระยะทำการที่ไปได้ไกลมาก โดยสามารถแล่นได้เป็นระยะทางสูงสุดที่ 458 กม. สำหรับทางหลวง และ 338 กม. บนทางด่วน เมื่อคิดเป็นค่าเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 400 กม. ขึ้นไป ถือว่าทำได้ดีกว่าคู่แข่งอย่าง FORD MUSTANG MACH-E ความสมดุลระหว่าง อัตราสิ้นเปลืองพลังงาน ระยะทำการ อากาศพลศาสตร์ และน้ำหนักโดยรวมที่เหมาะสม ทำให้มีตัวเลขออกมาที่ 75 เท่านั้น จัดว่าดีกว่าคู่แข่งขึ้นมาอีกขั้น ซึ่งได้แก่ BMW IX3 และ MERCEDES-EQ EQA ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Q4 E-TRON โดยตรง