Quattroruote ลองของแรง
BMW M4
ยานยนต์เลือดผสม มาพร้อมกับการยกระดับขึ้นมาอีกขั้น สปอร์ทคูเป สัญชาติเยอรมัน ยังคงรักษาจุดเด่นที่ยอดเยี่ยมเอาไว้ นั่นคือ การขับขี่ที่เร้าใจถึงขีดสุด และยังฉับไวขณะเข้าโค้ง รวมกับองค์ประกอบอื่นๆ ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมโดยสิ้นเชิง
รุ่น COMPETITION
ราคา
- 101,000 ยูโร (ประมาณ 3,620,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
- เบนซิน เทอร์โบ 6 สูบเรียง
- 2,993 ซีซี
กำลังสูงสุด
- 510 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
- จากผู้ผลิต 9.7 กม./ลิตร
- จากการทดสอบ 10.0 กม./ลิตร
- ความคุ้มค่า 15.15 ยูโร/100 กม.
ค่าไอเสียเฉลี่ย
- จากผู้ผลิต 234 กรัม/กม.
- จากการทดสอบ 239 กรัม/กม.
ไม่มีรถยนต์คันไหนที่เกินความสามารถของเราที่จะรับมือได้ พูดตรงๆ ว่า ทุกอย่างอยู่ภายใต้การบังคับควบคุมของนักทดสอบทั้งหมด ตลอดขั้นตอนของการทดสอบผ่านกระบวนการต่างๆ และการทำอัตราเร่งเต็มพิกัด จนถึงการทะยานเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ล้วนอยู่ในขอบเขตของทักษะการขับขี่ทั้งนั้น แต่บัดนี้เรากำลังเจอกับความท้าทายใหม่ล่าสุด นั่นคือ BMW M4 (บีเอม-ดับเบิลยู เอม 4) รุ่นล่าสุด มาพร้อมระบบวิเคราะห์ประสิทธิภาพในการ “ดริฟท์” (ตามภาพทางซ้ายมือ) แสดงผลเป็นมาตรวัดให้เห็นเด่นชัด บนคอนโซลหน้า ขณะทำการปั่นล้อคู่หลังจนควันโขมง แม้อันที่จริงแล้ว การดริฟท์เป็นอะไรที่ออกจะหลุดโลกจากการขับแบบปกติ (เราจะอธิบายในหน้าถัดๆ ไป) แต่ต้องยอมรับว่า ความเร้าใจนั้นช่างเพลิดเพลินยิ่งนัก สำหรับ M3 (เอม 3) และ M4 (เอม 4) ที่มีรหัสรุ่นว่า G80 (จี 80) และ G82 (จี 82) ยังคงเอกลักษณ์ด้านความเร้าใจจากการขับขี่แบบเต็มสมรรถนะ ภายใต้โลโกเป็นตัวอักษรเดี่ยวๆ ขนาดใหญ่ชัดเจนว่า M (เอม) บ่งบอกความร้อนแรงของมันเสมอมา การขับขี่ที่เร้าใจ จนแทบจะลืมความหวาดเสียวทั้งหลายทั้งปวงเสียสิ้น ขณะเดียวกันยังมีการตอบสนองที่มั่นคง ควบคุมได้อยู่มือ คือ คุณลักษณะที่ทำได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้านี้
หนึ่งในหัวข้อที่หลายคนอดที่จะพูดถึงไม่ได้ นั่นคือ การออกแบบเส้นสายแนวใหม่ กับการฉีกแนวจากเดิมในขนาดที่ว่า หากทำใจชอบไม่ได้ ก็อาจจะเกลียดไปเลย ระหว่างคนที่ชื่นชอบเส้นสายแบบดั้งเดิม กระจังหน้าขนาดใหญ่ที่ชวนให้นึกถึงรุ่นคลาสสิคในอดีต ตลอดจนเครื่องยนต์แบบไร้ระบบอัดอากาศ เครื่องยนต์แบบ วี 8 สูบ ระบบเกียร์ธรรมดา หรืออัตโนมัติคลัทช์คู่ มีความเห็นที่แตกต่างกันไปอีกหลากหลายหัวข้อ ขณะที่ทางเรามีความเห็นว่า ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความชอบ และมุมมองของแต่ละคน รถสปอร์ทรุ่นล่าสุด มีส่วนคล้ายคลึงกับตัวแรงอย่าง M5 (เอม 5) หากมองในภาพรวมแล้ว ความดุดันดั่งตัวแรงขนาดย่อมลงมา กับรุ่นน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ นั่นคือ M2 CS (เอม 2 ซีเอส) เป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง ไม่ว่าคุณจะชอบมันหรือไม่
สำหรับสปอร์ทคูเปที่เพิ่งเปิดตัวในปีนี้ กับความท้าทายใหม่ของการสืบทอดตัวแรงจากรุ่นก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ที่ดุดันเร้าใจ แรงเหวี่ยงอันมหาศาลที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ขับทะยานสู่จุดที่ใกล้เคียงกับขีดจำกัดของตัวรถ แต่ขณะเดียวกันก็สามารถตอบสนองในแง่ของการขับขี่ที่ผ่อนคลาย และสะดวกสบายในเวลาเดียวกันหากผู้ขับต้องการ
เบาะนั่งใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ รองรับการขับขี่แบบเน้นสมรรถนะ เน้นความสะดวกสบายได้ในเวลาเดียวกัน มีการออกแบบที่ลงตัว รองรับสรีระผู้ขับได้อย่างแน่นหนา ยังช่วยลดน้ำหนักโดยรวมได้อีก 10 กก. จากเบาะนั่งแบบปกติ ส่วนพนักพิงศีรษะที่สามารถถอดหมอนรองออกไปได้ มีประโยชน์ยามผู้ขับสวมหมวกนิรภัย ระหว่างที่ขับในสนามแข่ง ผู้ขับจะได้ไม่ต้องขับแบบก้มหน้าลงจากปกติ ขณะเดียวกันตัวเบาะสามารถรองรับสรีระผู้ขับ ที่มีขนาดตัวแตกต่างกันไป (ตามนิยามของคำว่า “ขนาดเดียว แต่ลงตัวทุกอย่าง” นั่นคือ เบาะนั่งที่รองรับได้ทุกขนาดของสรีระ) นอกจากนี้ยังปรับทิศทางด้วยไฟฟ้า และมีระบบทำความอุ่นตัวเบาะ ในเวลาเดียวกันจัดเป็นเบาะนั่งแบบสปอร์ทที่มีระบบอำนวยความสะดวก นับเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย กับเบาะที่มีจุดเด่นเรื่องน้ำหนักที่เบาลงเช่นนี้
กลับมาที่ M3/M4 รุ่นล่าสุด กับการเสริมความแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้ นั่นคือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา (จะเป็นรุ่นย่อยที่ตามมาในเร็วๆ นี้) ผลลัพธ์น่ะหรือ ? ในความเห็นของเรา เป็นทางเลือกที่มีความลงตัวอีกทางโดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวที่ถนนหนทางปกคลุมด้วยหิมะ เราสามารถทะยานออกจากโรงจอดรถได้อย่างคล่องแคล่ว โดยไม่ต้องกังวลกับอาการท้ายปัดบนพื้นผิวที่ลื่นจากหิมะ แต่ในกรณีที่ผู้ขับต้องการจะปั่นล้อคู่หลังแบบสปอร์ทยุคดั้งเดิม สามารถทำได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะรหัส M รุ่นล่าสุด มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ปรับให้ส่งกำลังไปยังล้อคู่หลังล้วนๆ ได้
เพิ่มมา 30 แรงม้า หรือจะเลือกเกียร์ธรรมดา
ได้เวลานำรถคันนี้ไปทดสอบบนสนาม VAIRANO กับ M4 รุ่น COMPETITION (คอมเพทิชัน) พร้อมระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง มีพละกำลังสูงสุดที่ 510 แรงม้า กับทางเลือกเกียร์อัตโนมัติ คลัทช์คู่เท่านั้น เทียบกับรุ่นปกติที่จะมี 480 แรงม้า ทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ใช่รุ่น COMPETITION จะมีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะให้เลือกใช้งานด้วย (ใครที่บ่นว่าค่าย BMW ไม่รักษาความคุ้นเคยดั้งเดิมเอาไว้ คงต้องเปลี่ยนใจโดยพลัน) เมื่อขึ้นมานั่งบนเบาะผู้ขับที่ตอบสนองได้หลากหลายรูปแบบการขับขี่ กับราคาที่ต้องจ่ายเพิ่มที่ 3,900 ยูโร แต่มีคุณสมบัติที่น่าสนใจติดตั้งมาให้หลายประการ ภายใต้ราคาที่ใกล้เคียงกับรถยนต์ขนาดเล็กบางรุ่นด้วยซ้ำ แต่นับว่าคุ้มค่า สำหรับการพุ่งทะยานเพื่อทำอัตราเร่งในสนามแข่งขัน ทีมงานของเราค่อนข้างคุ้นเคยกับปุ่มใช้งานที่ใกล้เคียงกับ 3-SERIES (ซีรีส์ 3) รุ่นปกติอยู่แล้ว การจัดวางถือว่ามีความลงตัว เราสังเกตเห็นปุ่มที่มีอักษร M ระบุเอาไว้ เป็นสิ่งที่ช่วยให้ต้องลงลึกในรายละเอียดของ M4 คันนี้อีกพอสมควร เนื่องจากเป็นปุ่มบันทึกการปรับแต่งของคนขับแต่ละคน สามารถกดใช้งานได้ทันที โดยที่ผู้ขับไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย มีให้ใช้งาน 2 ปุ่มด้วยกัน นั่นคือ M1 และ M2 เราพบว่าการปรับแต่งสามารถทำได้หลากหลายมากๆ ไม่ว่าจะเป็น การตอบสนองของชุดชอคอับ น้ำหนักของพวงมาลัย การส่งกำลังของเครื่องยนต์ นอกเหนือจากนี้ยังมีการปรับแต่งระบบเบรค (สามารถปรับระดับการตอบสนองของแป้นเบรค ให้เน้นความสปอร์ท มากน้อยตามต้องการ) ตามด้วยระบบป้องกันการลื่นไถลที่สามารถปรับการทำงานได้เช่นกันถึง 10 ระดับ เป็นรูปแบบการปรับแต่งที่คล้ายกับรถแข่งขนานแท้
การควบคุมที่เหนือชั้น
หากนำรถสปอร์ทคันนี้ทะยานไปในทางโค้ง โหมดที่ปรับแต่งเอาไว้ที่ปุ่ม M2 ถูกเลือกใช้งานทันที โดยให้ระบบช่วยเหลืออีเลคทรอนิคปิดการทำงานทั้งหมด และระบบอื่นเน้นการตอบสนองแบบสปอร์ทเต็มพิกัด เราพบว่าพวงมาลัยมีการตอบสนองที่แตกต่างจากในทีแรกอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกจากพื้นถนนที่ถูกส่งผ่านมาจากส่วนล้อรถมีความชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการใช้ยางคู่หน้าที่มีขนาดใหญ่ที่ความกว้างถึง 275 มม. ทำให้ขณะเข้าโค้ง ตัวรถมีการตอบสนองต่อการบังคับควบคุมที่ฉับไว และแม่นยำเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นช่วงโค้งต่อเนื่อง หรือโค้งความเร็วสูง นอกจากนี้ยังมั่นคงในช่วงทางตรงยาว ทำความเร็วสูงในพริบตา เรารู้สึกพอใจกับล้อคู่หลังที่มีระดับการยึดเกาะอันยอดเยี่ยมตลอดเวลา เป็นหนึ่งในจุดเด่นสำคัญของรถรุ่นนี้ โดยไม่ต้องพะวงกับเรื่องการบังคับควบคุมมากเกินไป พูดง่ายๆ คือ ภายใต้การขับขี่ที่เน้นสมรรถนะเต็มที่ การยึดเกาะถนนมีให้ตลอดเวลา ให้ความรู้สึกปลอดภัย ตัวรถไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ ขณะที่การทะยานออกจากโค้ง อาการท้ายปัดที่อยู่ภายใต้การช่วยเหลือของระบบความปลอดภัย ทำให้การขับขี่มีความเร้าใจยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะใช้งานเกียร์ 3 หรือ 4 ก็ตาม นอกจากนี้การตอบสนองที่ละเอียดอ่อนของชุดคันเร่ง มีการตอบสนองที่ยอดเยี่ยม แม้การกดคันเร่งเพียงเล็กน้อย พละกำลังจากแรงบิดก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างแม่นยำ ผู้ขับสามารถคาดคะเนได้ว่าจะให้ล้อคู่หลังมีการลื่นไถลมากน้อยแค่ไหน ทำให้ M4 ทะยานออกจากโค้งได้ดังใจนึก
กรรมการตัดสินประสิทธิภาพการดริฟท์
ทุกคนรู้ว่าการดริฟท์ คือ อะไร แต่อาจลืมต้นกำเนิดของมันไปแล้วก็ได้ ย้อนไปในช่วงปี 1990 ณ ประเทศญี่ปุ่น กับการเริ่มต้นของบุคคลกลุ่มเล็กๆ ที่คลั่งไคล้เรื่องรถยนต์ รวมถึงการนำเสนอจากการ์ตูนเรื่อง “INITIAL D” (หาข้อมูลเพิ่มเติมจาก GOOGLE ได้) นับเป็นการบังคับควบคุมรถอีกรูปแบบที่มีความพิเศษ โดยในเวลาต่อมาถูกพัฒนาให้มีความจริงจังมากขึ้น และกลายมาเป็นหนึ่งในรูปแบบการแข่งขันรถยนต์ ในที่สุดการแข่งขันดริฟท์จะถูกประเมินประสิทธิภาพโดยคณะกรรมการ โดยพิจารณาจากความเร็วที่ใช้ การปั่นของล้อคู่หลัง และองศาของตัวรถ ดังนี้เอง ระบบวิเคราะห์การ ดริฟท์จึงถูกนำมาใช้งาน ทำงานร่วมกันกับระบบความบันเทิงของตัวรถ เพียงเลือกการทำงานของโหมดดังกล่าว เปิดการใช้งาน และก็เริ่มกิจกรรมได้ ระบบจะมีหลักการเหมือนกับกรรมการตัดสิน พิจารณาจากความยาวนานของการดริฟท์ (เป็นวินาที) และระยะทางที่ทำการดริฟท์ได้ (เป็น ม.) รวมถึงองศาของตัวรถ นำมาประมวลผลเป็นคะแนน สูงสุด คือ 5 คะแนน นอกเหนือจากนั้นพโรแกรมที่ทำงานอยู่เบื้องหลังจะคำนวณระดับความลื่นของพื้นผิวถนน เนื่องจากการดริฟท์บนพื้นถนนแห้ง จะยากกว่าบนพื้นถนนเปียก รวมถึงการปรับแต่งระบบป้องกันการลื่นไถล หากเปิดใช้งานมากเกินไปจากทั้งหมด 10 ระดับ คะแนนของการดริฟท์ก็จะได้เพียง 3 ดาวเท่านั้น เพื่อการพิสูจน์ระบบดังกล่าว เราจึงใช้บางส่วนของสนามทดสอบ VAIRANO บริเวณฝั่งทิศใต้ มีโค้งที่ทำมุมอย่างเหมาะสม โดยใช้นักขับทั้งหมด 3 คนด้วยกัน คนหนึ่งเป็นถึง DRIFT KING หรือผู้เคยคว้าแชมพ์มาก่อน จัดเป็นผู้ช่ำชองด้านการดริฟท์อย่างแท้จริง ขณะที่อีกคนเป็นหนึ่งในผู้เคยทำการทดสอบรถที่สนามแห่งนี้มาหลายครั้ง ทุกคนจะอยู่ภายใต้สภาวะที่เหมือนกัน นั่นคือ ปิดระบบช่วยเหลือทั้งหมด และสามารถทำการทดสอบได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น อดีตแชมพ์ออกตัวเป็นคนแรก และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยระบบวิเคราะห์การดริฟท์ถึงกับให้คะแนน 5 ดาวเต็มเลยทีเดียว เมื่อถึงเวลาของทีมงานทดสอบ ความเร็วที่ใช้อาจต่ำกว่าคนก่อนหน้านี้เล็กน้อย และการบังคับควบคุมตัวรถไม่เฉียบคมเท่า รวมถึงความต่อเนื่องของการดริฟท์ ถึงอย่างนั้นก็สามารถทำคะแนนได้ถึง 4.5 ดาว นอกจากนี้ระยะทางการดริฟท์สั้นกว่า และองศาของตัวรถที่น้อยกว่า เราคิดว่าคะแนนที่ได้มาจะน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำไป มาถึงนักขับคนที่ 3 สามารถควบคุมให้รถมีอาการท้ายปัดได้สวยงาม แม้ระยะทางการดริฟท์จะน้อยไปหน่อย และองศาของตัวรถที่ไม่มากพอ ทำให้ได้แค่ 3 ดาวเท่านั้น สุดท้ายก็จบการดริฟท์ที่ 3.5 ดาว ขอบคุณนักขับคนนี้ที่ทำให้เราไม่ต้องเสียหน้ากับการทดสอบ
ยานยนต์เพื่อสนามแข่งตัวจริง
ท่ามกลางยุคสมัยของรถสปอร์ทขุมพลังไฮบริด หรือแม้แต่รถยนต์ไฟฟ้า M4 ยังคงถูกรังสรรค์ขึ้นมาตามแบบฉบับดั้งเดิมจากค่าย BMW กับเครื่องยนต์แบบ 6 สูบเรียง ขนาด 3.0 ลิตร ถูกนำมาใช้ครั้งแรกกับครอสส์โอเวอร์ตัวแรงในปี 2019 อย่าง X3M (เอกซ์ 3 เอม) ถูกออกแบบมาให้มีความทนทานเป็นพิเศษ และรองรับการขับในสนามแข่งได้ดี เห็นได้จากเสื้อสูบที่ใช้วัสดุโลหะขึ้นรูป และมีการเชื่อมต่อที่ปิดแนบสนิท รวมถึงส่วนของโครงสร้างตัวถังเชื่อมต่อกับส่วนเครื่องยนต์ ช่วยให้มีความทนทานกว่าเดิม เสริมสมรรถนะของตัวรถ และสามารถเร่งรอบเครื่องยนต์ได้มากขึ้น สูงสุดถึง 7,200 รตน. เสริมด้วยระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบจำนวน 2 ชุด แต่ละชุดอัดอากาศสู่ 3 ลูกสูบ และมีท่อไอเสียสำหรับแต่ละฝั่งโดยเฉพาะ พร้อมชุดกรองไอเสียจำนวน 2 ชุดแยกกัน ควบคุมการเปิด/ปิดลิ้นปีกผีเสื้อด้วยอีเลคทรอนิค ช่วยให้ซุ่มเสียงมีความดุดันยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังติดตั้งอ่างน้ำมันเครื่องยนต์ที่มี 2 อ่าง และมีปั๊มดูดที่แรงพอ แม้ในสภาวะที่มีแรงเหวี่ยงสูงขณะเข้าโค้ง หรือทำอัตราเร่ง นอกจากนี้ยังมีชุดระบายความร้อนแยกกันทำงาน สำหรับหม้อน้ำทั้ง 2 ชุด และมีชุดปั๊มมากมาย สำหรับระบายความร้อนน้ำมันเครื่องยนต์ และในรุ่น COMPETITION ติดตั้งระบบเกียร์ 8 จังหวะของ ZF ถูกปรับแต่งมาเพื่อรองรับสมรรถนะตามแบบฉบับรถสปอร์ทพลังสูงโดยเฉพาะ การเปลี่ยนจังหวะเกียร์มีความฉับไว และส่งกำลังได้อย่างแม่นยำ ตัวถังถูกเสริมความแข็งแรงเช่นกัน หลายส่วนของโครงสร้างถูกเสริมด้วยวัสดุเพิ่มความทนทานในส่วนของห้องเครื่องยนต์ใต้พื้นรถ และส่วนของระบบรองรับ มีความทนทานต่อการบิดตัวมากกว่าเดิม โครงสร้างตัวถังส่วนอื่นมีพื้นฐานใกล้เคียงกับรุ่นปกติ กับการกระจายน้ำหนักที่สมดุลระหว่างด้านหน้า และด้านหลัง แต่ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมจากแผนกพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูงของ BMW จุดยึดของระบบรองรับมีความแน่นหนายิ่งขึ้น รวมถึงชุดสปริง และชอคอับที่ปรับแต่งให้มีความเหมาะยิ่งขึ้นเช่นกัน การบังคับควบคุมมีความเฉียบคม และตอบสนองการเลี้ยวกับล้อแต่ละตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ (เป็นครั้งแรกที่มีการใช้ยางที่มีขนาดแตกต่างกันระหว่างคู่หน้า และคู่หลัง) ขณะที่ระบบเบรค (ทางเลือกแบบคาร์บอนเซรามิคเป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้ง) ควบคุมการทำงานด้วยไฮดรอลิคแบบอีเลคทรอนิค ทำให้สามารถปรับแต่งการทำงานของชุดเบรคให้มีความแตกต่างกันได้
ข้อมูลจำเพาะของรถที่นำมาทดสอบ
เครื่องยนต์
- เบนซิน วางด้านหน้า
- แบบ 6 สูบเรียง
- กระบอกสูบ 84.0 มม.
- ช่วงชัก 90.0 มม.
- ความจุ 2,993 ซีซี
- กำลังสูงสุด 510 แรงม้า ที่ 6,250 รตน.
- แรงบิดสูงสุด 66.3 กก.-ม. ที่ 2,750-5,500 รตน.
- เสื้อสูบ และฝาสูบ ใช้โลหะน้ำหนักเบา
- ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ วาล์วแปรผัน 2 ชุด วาล์วไอดีแปรผัน 4 วาล์ว/ลูกสูบ (สายพานโซ่)
- ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง เทอร์โบ 2 ลูก พร้อมอินเตอร์คูเลอร์
- ชุดกรองไอเสีย
ระบบส่งกำลัง
- ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง
- เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
- ชุดส่งกำลังเฟืองท้าย
- ควบคุมด้วยอีเลคทรอนิค
ยาง
- MICHCHELIN PILOT SPORT 4S ด้านหน้า 275/35 ZR19 100Y ด้านหลัง 285/30 ZR20 99Y
- ชุดปะยาง
รูปแบบตัวถัง
- โครงสร้างตัวถังโลหะ ผสมวัสดุอลูมิเนียม และคาร์บอนไฟเบอร์ ทรง 3 กล่อง 2 ประตู 4 ที่นั่ง
- ระบบรองรับด้านหน้า แมคเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง
- ระบบรองรับด้านหลัง มัลทิลิงค์ 5 จุดยึด คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง
- ชอคอับแบบไฮดรอลิค ควบคุมด้วยอีเลคทรอนิค
- ระบบเบรคแบบอีเลคทรอ-ไฮดรอลิค
- จานเบรคแบบคาร์บอนเซรามิค พร้อมช่องระบายความร้อน เอบีเอส อีเอสพี
- พวงมาลัยฟันเฟือง และตัวหนอน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า
- ถังน้ำมันขนาด 59 ลิตร
มิติ และน้ำหนัก
- ระยะฐานล้อ 2,860 มม.
- ความกว้างฐานล้อคู่หน้า 1,620 มม. ด้านหลัง 1,610 มม.
- ความยาว 4,790 มม. กว้าง 1,890 มม. สูง 1,390 มม.
- น้ำหนักโดยรวม 1,800 กก.
- น้ำหนักบรรทุกสูงสุด 2,155 กก.
- ความจุที่เก็บสัมภาระท้าย
- 440 ลิตร
ผลิตที่
- เมือง DINGOFING (ประเทศเยอรมนี)
ฉับไวกว่าคู่แข่งอย่าง GIULIA
ได้เวลาวัดอัตราเร่งจากสนามทดสอบ VAIRANO ผลที่ออกมาอาจขัดใจแฟนๆ ค่ายรถสัญชาติอิตาเลียนเล็กน้อย เพราะ M4 สามารถทำเวลาต่อรอบได้เร็วกว่าอดีตแชมพ์อย่าง GIULIA ตัวแรง QUADIFOGLIO ร่วม 2 วินาทีเลยทีเดียว การเทียบเวลาต่อรอบดังกล่าวเป็นการพิสูจน์ได้ว่าสมรรถนะของรถสปอร์ทจาก BMW เข้าขั้นไม่ธรรมดา เพราะก่อนหน้านี้ตัวแรงของค่าย ALFA ROMEO (อัลฟา โรเมโอ) มีระดับการยึดเกาะถนนที่ยอดเยี่ยม และการขับขี่ที่เร้าใจเช่นกัน จุดได้เปรียบของ M4 โครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่ง ความสมดุลของตัวรถที่ยอดเยี่ยม มั่นคงในช่วงความเร็วสูง และระบบเบรคที่หนักแน่น เข้าโค้งได้ฉับไว แต่จุดเด่นที่แท้จริง คือ ขณะกดคันเร่งออกจากโค้ง กับการปิดระบบช่วยเหลือทั้งหมด อาการท้ายปัด อยู่ในระดับที่ไม่มากจนเกินไป โดยเฉพาะขณะที่ยางถูกใช้งานอย่างหนัก และมีอุณหภูมิสูง แต่เป็นการขับขี่แบบเน้นสมรรถนะที่ยังสามารถควบคุมรถได้ ส่วนหนึ่งเป็นผลดีจากคันเร่งที่มีความแม่นยำ รวมถึงการปรับแต่งระบบป้องกันการลื่นไถลได้ถึง 10 ระดับ จนกระทั่งผู้ขับสามารถพบกับความลงตัวระหว่างความเร็วที่ใช้ขณะเข้าโค้ง และขีดจำกัดของการลื่นไถล M4 ให้ความเร้าใจได้อย่างสมบูรณ์ อาการโคลงมีน้อยมาก สามารถเปลี่ยนทิศทางได้อย่างฉับไว ผนวกกับน้ำหนักโดยรวมที่เหมาะสม มีส่วนช่วยเรื่องความคล่องแคล่วมากๆ ขณะที่ในแง่ของขุมพลัง เครื่องยนต์ตอบสนอง ด้านพละกำลังได้อย่างดุดัน เป็นหนึ่งในบุคลิกที่โดดเด่นของรถสปอร์ทรุ่นนี้ และระบบเกียร์ที่เร่งรอบเครื่องยนต์ได้สูง แต่การตอบสนองควรมีความสปอร์ทมากกว่านี้ได้อีก การเปลี่ยนจังหวะมีความฉับไวดีมาก แต่อาจเรียบเนียนเกินไป ขนาดที่ทำให้บางคนอาจคิดถึงเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ที่มีจังหวะกระแทกกระทั้นมากกว่า