Quattroruote ทดสอบ
ทดสอบ MERCEDES-BENZ GLA
ทายาทรุ่นที่ 2 ของสายพันธุ์ตัวลุยรุ่นเล็ก ถูกพัฒนาขึ้นในหลายส่วน และมีความทันสมัยมากมาย ผสมผสานความเป็นเอสยูวีมากขึ้น ภายใต้รูปแบบตัวรถสไตล์ครอสส์โอเวอร์ ห้องโดยสารมีพื้นที่มากขึ้นเล็กน้อย เสริมด้วยอุปกรณ์ใช้งานที่ทันสมัยเหมือนบรรดารถร่วมค่ายรุ่นอื่นๆ รวมถึงเครื่องยนต์ที่เน้นการประหยัดเชื้อเพลิงแบบเบนซิน เทอร์โบ ขนาด 1.3 ลิตร กับระบบรองรับที่เน้นความหนึบแน่น
รุ่น 200 AUTOMATIC SPORT PLUS
ราคา (จากผู้ผลิต)
- 42,120 ยูโร (ประมาณ 1,740,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
- เบนซิน เทอร์โบ 4 สูบเรียง
- 1,332 ซีซี
กำลังสูงสุด
- 163 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย
- จากผู้ผลิต 16.7 กม./ลิตร
- จากการทดสอบ 15.2 กม./ลิตร
- ความคุ้มค่า 8.99 ยูโร/100 กม.
ค่าไอเสียเฉลี่ย
- จากผู้ผลิต 137 กรัม/กม.
- จากการทดสอบ 157 กรัม/กม.
ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน กับการเริ่มต้นรังสรรค์สายพันธุ์ตัวลุยรุ่นเล็ก ผลลัพธ์ คือ ครอสส์โอเวอร์ที่มีความคล้ายคลึงกับรุ่นตัวถังยกสูงของ A-CLASS (เอ-คลาสส์) ครอสส์โอเวอร์รุ่นนี้ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม และทาง MERCEDES-BENZ (เมร์เซเดส-เบนซ์) ได้พัฒนารถยนต์รุ่นนี้ให้มีความอเนกประสงค์ ผสมความสปอร์ทในตัว ภายใต้ขนาดตัวที่ใกล้เคียงกับซีดานอย่าง A-CLASS ความยาวเกือบเท่ากัน แต่มีซุ้มโป่งล้อที่บึกบึนกว่า และความสูงของตัวรถที่มากกว่า ความแตกต่างโดยรวมอาจไม่มากนัก หากเทียบกันตามสเปคโดยตรง แต่ส่วนประกอบหลายส่วนที่ถูกติดตั้งเข้ามา ทำให้รถรุ่นนี้มีความแตกต่างโดยเฉพาะรถรุ่นใหม่ล่าสุด เส้นสายโดยรวมเน้นความเรียบหรู โดยเฉพาะส่วนท้าย มีรูปแบบที่คุ้นเคยในตัว และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วย หากเทียบกับรถยนต์ที่ใช้โครงสร้างตัวถังร่วมกันแล้ว ถือว่า GLA (จีแอลเอ) รุ่นล่าสุด เป็นรถยนต์ลำดับที่ 8 ที่ใช้โครงสร้างตัวถังดังกล่าว ตัวถังทรง 2 กล่องมีพื้นฐานร่วมกับซีดาน A-CLASS (ยกเว้นรุ่นฐานล้อยาวที่ทำตลาดในประเทศจีนเท่านั้น) ตัวถังสปอร์ทซีดาน และสเตชันแวกอนของ CLA (ซีแอลเอ) และอีกหนึ่งครอสส์โอเวอร์อย่าง GLB (จีแอลบี) ที่เคยถูกทดสอบไปแล้วก่อนหน้านี้ กับรูปแบบเบาะนั่ง 3 แถว 7 ตำแหน่ง มีพื้นที่ห้องโดยสารเหลือเฟือ ขณะที่ GLA รุ่นล่าสุด มีความกว้างขวางที่น่าพอใจเช่นกัน มิติตัวถังใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้านี้เล็กน้อย เบาะนั่งมีตำแหน่งที่ลงตัวมากกว่าเดิม ตัวเบาะมีความสูงจากพื้นถนนร่วม 600 มม. มากกว่า GLA รุ่นก่อนหน้านี้ประมาณ 100 มม. และมากกว่า A-CLASS ประมาณ 150 มม. พูดง่ายๆ คือ ผู้ขับมีทัศนวิสัยที่ดีขึ้น มองเห็นได้รอบคันอย่างชัดเจน และการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น นอกเหนือจากนั้น การตกแต่งภายในห้องโดยสารมีความประณีตกว่าเดิม วัสดุที่ใช้ถูกพัฒนาขึ้น การออกแบบโดยรวม และความทันสมัยของอุปกรณ์ใช้งานมีความลงตัวกว่าเดิมอย่างชัดเจน รูปแบบโดยรวมไม่ถึงกับยกเครื่องใหม่เสียทั้งหมด แต่ยังคงดูสวยงาม แผงคอนโซลหน้าพร้อมช่องแอร์รูปทรงคล้ายเครื่องยนต์เจทพร้อมจอแสดงผลขนาดใหญ่สำหรับระบบความบันเทิง และเป็นแผงหน้าปัดในตัว สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับลักษณะเฉพาะของค่าย MERCEDES-BENZ อาจต้องทำความคุ้นเคยกับคันเกียร์ที่ถูกย้ายมาอยู่บริเวณคอพวงมาลัย ใกล้กับก้านใช้งานที่ปัดน้ำฝน รวมถึงปุ่มใช้งานเบรคมือที่ถูกติดตั้งใกล้กับปุ่มใช้งานระบบไฟส่องสว่าง หากทำความคุ้นเคยได้ดีแล้ว ผู้ขับจะพบกับความสะดวกสบายของรถยนต์รุ่นนี้ พร้อมระบบความบันเทิง MBUX ที่ทันสมัย มีรูปแบบการทำงานที่ลงตัวที่ยากจะหาคู่แข่งระดับเดียวกันมาเทียบเคียงได้ ระบบสั่งงานด้วยเสียงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด สามารถเข้าใจประโยคจากการพูดที่ซับซ้อนได้ การใช้งานระบบความบันเทิงสามารถทำได้ร่วมกับแป้นหมุน และแป้นระบบสัมผัส ขณะที่แป้นระบบสัมผัสบนก้านพวงมาลัยสามารถใช้งานได้เช่นกัน และสามารถใช้งานสำหรับการเปลี่ยนรูปแบบของแผงหน้าปัด อย่างไรก็ตาม การใช้งานในช่วงแรกยังคงต้องใช้ความคุ้นเคยสักระยะ จึงจะสามารถใช้งานแบบไม่ต้องละสายตาจากถนน
รูปแบบจาก B-CLASS
ลักษณะของเบาะด้านหลังของ GLA รุ่นล่าสุด มีความคล้ายคลึงกับ B-CLASS (บี-คลาสส์) ตัวเบาะสามารถเลื่อนหน้า/หลังได้ 140 มม. (และพับแยกได้ในอัตราส่วน 60:40) ทำให้รูปแบบการใช้งานของห้องโดยสาร และพื้นที่เก็บสัมภาระมีความหลากหลายยิ่งขึ้น ลักษณะของที่เก็บสัมภาระมีลักษณะเป็นพื้นราบ มีความต่อเนื่องกัน คุณภาพการประกอบที่ทำได้ลงตัว มีความแน่นหนาอย่างน่าพอใจ และบรรทุกสัมภาระได้มาก (ส่วนพื้นห้องโดยสารถูกแบ่งออกเป็น 2 ระดับ และมีรูปทรงที่สมมาตร) ลักษณะของที่เก็บสัมภาระดังกล่าวทำให้รถรุ่นนี้จัดเป็นครอสส์โอเวอร์ระดับบีเซกเมนท์ ที่มีความอเนกประสงค์อย่างยอดเยี่ยม กับความจุร่วม 276 ลิตร ขณะที่คู่แข่งอย่าง AUDI Q3 (เอาดี คิว 3) มีความจุแค่ 363 ลิตรเท่านั้น นอกจากนี้ทาง MERCEDES-BENZ ยังติดตั้งประตูบานท้ายแบบเปิด/ปิดด้วยไฟฟ้า กับรุ่น GLA 200 (จีแอลเอ 200) ที่เสมือนเป็นรุ่นย่อยระดับเริ่มต้นของสายพันธุ์นี้ กับขุมพลังแบบเบนซิน เทอร์โบ 4 สูบเรียง ขนาด 1.3 ลิตร พัฒนาร่วมกับค่ายรถ RENAULT (เรอโนลต์) มีระบบตัดการทำงานจำนวน 2 ลูกสูบ หากรถยังไม่ต้องใช้กำลังมาก เป็นเครื่องยนต์ที่เน้นการประหยัดเชื้อเพลิง มีพละกำลังสูง (ที่ 163 แรงม้า กับอัตราส่วนที่ 122 แรงม้า/1 ลิตร) เป็นผลดีจากรูปแบบตัวถังที่ลู่ลมด้วย ทำให้สามารถแล่นได้เป็นระยะทางไกล กับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 15.2 กม./ลิตร ตัวเลขของการขับในตัวเมือง และบนทางหลวงไม่แตกต่างกันมากเกินไป หรือหากจะให้เปรียบเทียบ คือ ด้วยเงินไม่ถึง 10 ยูโร รถคันนี้สามารถแล่นไปได้ไกลกว่า 100 กม. อย่างแน่นอน ขณะที่สมรรถนะถือว่าน่าพอใจเช่นกัน จากเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 1.3 ลิตร ตอบสนองได้ดีในช่วงรอบเครื่องยนต์ต่ำ และมีอัตราเร่งขณะออกตัว และแบบยืดหยุ่นที่น่าพอใจด้วย แม้ในช่วงรอบเครื่องยนต์สูงจะมีอาการแผ่วเล็กน้อย แต่ยังคงมีการส่งกำลังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขับขี่ในตัวเมืองที่ต้องหยุดรถสลับการขับเคลื่อนบ่อยครั้ง การตอบสนองที่มีความยืดหยุ่นมีส่วนช่วยได้ดีมาก ขณะที่เกียร์อัตโนมัติแบบคลัทช์คู่มีการเปลี่ยนจังหวะที่ช้าไปบ้างในบางครั้ง นอกจากนี้การส่งกำลังอาจไม่ต่อเนื่องในบางจังหวะเช่นกัน ขณะที่ระบบรักษาตัวรถให้อยู่ในเลนมีจังหวะการทำงานที่รบกวนการขับขี่เล็กน้อย เป็นสิ่งที่พบเจอในรถยนต์รุ่นอื่นๆ เช่นกัน เมื่อตัวรถขยับเข้าใกล้เส้นแบ่งเลนถนน ระบบจะทำการเบรค และหักเลี้ยวพวงมาลัยโดยอัตโนมัติ ระบบความปลอดภัยดังกล่าวถูกติดตั้งจากโรงงาน เช่นเดียวกับระบบช่วยเบรคอัตโนมัติในทุกรุ่นย่อยของ GLA หากผู้ขับเลือกซื้อระบบช่วยเหลือการขับขี่เพิ่มเติม (ราคา 1,879 ยูโร) จะได้ระบบควบคุมความเร็วแปรผัน ระบบรักษาตัวรถให้อยู่ในเลน และระบบช่วยเบรคอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ทีมงานได้พิสูจน์การทำงานมาแล้วจากการทดสอบระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ของ GLA รุ่นล่าสุด และยังมีระบบกล้องมองภาพรอบคันด้วย ทำให้การใช้งานของระบบต่างๆ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และตรวจจับคนเดินถนนได้ดีขึ้นเช่นกัน
ในแง่ของความสะดวกสบาย ห้องโดยสารของ GLA สามารถเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีมาก และระบบปรับอากาศที่ปรับอุณหภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบรองรับถูกปรับแต่งมาอย่างลงตัว แม้ในบางครั้งจะดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นผิวที่ขรุขระ โดยเฉพาะพื้นขรุขระที่ต่อเนื่องกัน อย่างไรก็ตาม ระบบรองรับมีการปรับแต่งที่ค่อนข้างลงตัว มีความคล่องแคล่วที่น่าพอใจ แม้จะไม่หนึบแน่นเท่าซีดานอย่าง A-CLASS เนื่องจากตัวรถของ GLA มีจุดศูนย์ถ่วงสูงกว่า แต่มีความเหมาะสมสำหรับตัวถังแบบครอสส์โอเวอร์
พื้นที่ใช้สอย การบรรทุกสัมภาระ และทัศนวิสัย
พื้นที่ด้านหลังที่เหลือเฟือ
ตัวถังที่สั้นลง แต่มีความสูงเพิ่มขึ้น มีผลต่อการบรรทุกสัมภาระมากน้อยแค่ไหน ? โดยรวมแล้ว มิติตัวถังที่เปลี่ยนไปมีผลต่อรูปแบบการบรรทุกสัมภาระของ GLA เช่นกัน เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ รวมถึงรูปแบบโดยรวมของห้องโดยสาร จุดแตกต่างอยู่ที่เบาะผู้ขับ มีความสูงเพิ่มขึ้น 100 มม. และตัวเบาะมีความสูงจากพื้นถนนประมาณ 600 มม. เทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ คือ ประมาณ 500 มม. เท่านั้น ขณะที่พื้นที่เหนือศีรษะมีเพิ่มขึ้นอีก 20 มม. รวมถึงพื้นที่ของเบาะหลังเช่นกัน บริเวณเบาะหลังมีความกว้างเพิ่มขึ้น 60 มม. และมีระยะช่วงขามากขึ้นเช่นกัน ภาพประกอบของบทความแสดงให้เห็นถึงพื้นที่ช่วงหัวเข่าที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน สำหรับ GLA รุ่นล่าสุด เบาะหลังที่เลื่อนหน้า/หลังได้ ทำให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นตามกัน ในกรณีที่เบาะอยู่ในตำแหน่งปกติ ระยะช่วงขามีประมาณ 330 มม. เทียบกับ 320 มม. ในรุ่นก่อนหน้านี้ ขณะความจุที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นประมาณ 30 ลิตร รวมเป็น 363 ลิตร แต่มีพื้นที่อีก 73 ลิตร อยู่ใต้พื้นห้องโดยสาร สามารถเปิดออกได้ นอกจากนี้ที่เก็บสัมภาระของ GLA รุ่นใหม่มีความกว้างมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลดีจากเบาะหลังที่เลื่อนหน้า/หลังได้ (ไม่เกิน 140 มม.) ทำให้มีความลึกของที่เก็บสัมภาระมากยิ่งขึ้น รวมถึงความสูงในห้องโดยสาร เนื่องจากส่วนพื้นปรับได้ 2 ระดับ ในแง่ของทัศนวิสัย มุมมองด้านหน้ากว้างมากขึ้น 25 องศา (จากเดิม 18 องศา)
ข้อมูลจำเพาะรถที่นำมาทดสอบ
เครื่องยนต์
- เบนซิน วางด้านหน้าตามขวาง
- 4 สูบเรียง
- กระบอกสูบ 72.2 มม.
- ช่วงชัก 81.4 มม.
- ความจุ 1,332 ซีซี
- กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 5,500 รตน.
- แรงบิดสูงสุด 25.5 กก.-ม. ที่ 1,620-4,000 รตน.
- เสื้อสูบ และฝาสูบ ใช้วัสดุโลหะน้ำหนักเบา
- ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์
- ระบบวาล์วแปรผันคู่ 4 วาล์วต่อลูกสูบ (สายพานโซ่)
- ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง เทอร์โบ อินเตอร์คูเลอร์
- ชุดกรองไอเสีย
ระบบส่งกำลัง
- ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า
- ระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ
ยาง
- คอนทิเนนทัล คอนทิอีโคคอนแทคท์ 6 235/55 R18 100W
- ชุดปะยาง
ลักษณะตัวถัง
- ตัวถังใช้วัสดุโลหะ 2 กล่อง 5 ประตู 5 ที่นั่ง
- ระบบรองรับด้านหน้า แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
- ระบบรองรับด้านหลัง มัลทิลิงค์ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
- ชอคอับแบบไฮดรอลิค
- ระบบเบรคแบบจาน ด้านหน้ามีช่องระบายความร้อน เอบีเอส อีเอสพี
- พวงมาลัยฟันเฟือง และตัวหนอน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า
- ถังน้ำมันความจุ 43 ลิตร
มิติตัวถัง และน้ำหนักโดยรวม
- ระยะฐานล้อ 2,730 มม.
- ระยะฐานล้อคู่หน้า/หลัง 1,610 มม.
- ความยาว 4,410 มม.
- ความกว้าง 1,830 มม.
- ความสูง 1,620 มม.
- น้ำหนักโดยรวม 1,485 กก.
- รวมน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 2,010 กก.
- น้ำหนักลากจูงสูงสุด 1,800 กก.
- พื้นที่เก็บสัมภาระ 435 ลิตร ถึง 1,430 ลิตร
ผลิตที่
- เมือง RASTATT (ประเทศเยอรมนี)
การทดสอบระบบความปลอดภัย
นอกเหนือจากการทดสอบกับ GLA รุ่นล่าสุด เราทำการทดสอบกับระบบความปลอดภัยยุคหน้า (มูลค่าที่ 1,879 ยูโร) ประกอบไปด้วย ระบบควบคุมความเร็วแปรผัน ระบบรักษาตัวรถให้อยู่ในเลน และระบบกล้องมองภาพรอบคัน รวมถึงระบบตรวจจับจุดอับสายตา (พร้อมระบบเรดาร์ 2 ชุด) และอุปกรณ์เลือกติดตั้งอย่าง ระบบตรวจจับจุดอับสายตา และระบบช่วยเบรคอัตโนมัติขณะถอยรถ ข้อมูลจากการทดสอบแสดงให้เห็นว่า ครอสส์โอเวอร์รุ่นล่าสุดมีประสิทธิภาพในการตรวจจับคนเดินถนนได้ดีมาก