เรื่องเด่น Quattroruote
ทดสอบ JEEP WRANGLER
กาลครั้งหนึ่ง มีตัวลุยถือกำเนิดขึ้นมา โลดแล่นไปตามขุนเขา พร้อมกับการสิ้นเปลืองน้ำมัน เชื้อเพลิงอย่างช่วยไม่ได้ จากเครื่องยนต์บลอคใหญ่แบบ 6 สูบเรียง จวบจนปัจจุบัน เป็นครั้งแรกที่ WRANGLER (แรงเลอร์) ที่ทำตลาดในประเทศบ้านเกิดอย่างสหรัฐอเมริกา วางเครื่องยนต์ดีเซล (ขนาด 3.0 ลิตร วี 6 สูบ ยังไม่ใช่รุ่น 2.2 ลิตร ที่จะถูกใช้งานในเวลาถัดมา) นับเป็นเรื่องไม่ปกติสำหรับประเทศที่มองเครื่องยนต์ดีเซลเป็นผู้ร้ายเช่นนี้ ขณะที่ทีมงานฝั่งยุโรปกลับคุ้นเคยเครื่องยนต์ดีเซลเป็นอย่างดี มีตัวเลือกมากมายหลายรุ่น แรงบิดที่มหาศาล ขับสนุก ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน ไม่แพ้เครื่องยนต์เบนซินด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตาม ชาวอเมริกันยังคงคลางแคลงใจกับเครื่องยนต์ดีเซล ทำให้ทางผู้ผลิตต้องเสริมตัวเลือกเครื่องยนต์เบนซินเข้ามา กับขุมพลังแบบมัลทิเจท ขนาด 2.2 ลิตร ถูกใช้งานกับ WRANGLER เป็นเครื่องยนต์ที่ถูกพัฒนาจากค่าย ALFA ROMEO และมีใช้งานกับรถที่นำมาทดสอบในครั้งนี้ ได้แก่ ตัวลุย 3 ประตู SAHARA (ซาฮารา) และ 5 ประตู RUBICON (รูบิคอน) และ 3 ประตู ก่อนที่เราจะเทียบความแตกต่างของแต่ละตัวถัง มาดูความแตกต่างระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซลกันก่อน
รุ่น UNLIMITED 2.0 TURBOPETROL RUBICON
ราคา
- 59,500 ยูโร (ประมาณ 2,620,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
- เบนซิน เทอร์โบ 4 สูบเรียง
- 1,995 ซีซี
กำลังสูงสุด
- 200 กิโลวัตต์
- 272 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
- จากทางผู้ผลิต 10.5 กม./ลิตร
- จากการทดสอบ 8.4 กม./ลิตร
- ความคุ้มค่า 17.79 ยูโร/100 กม.
อัตราการปล่อยไอเสีย
- จากทางผู้ผลิต 214 กรัม/กม.
- จากการทดสอบ 285 กรัม/กม.
รุ่น 2.0 TURBOPETROL SAHARA
ราคา
- 56,000 ยูโร (ประมาณ 2,400,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
- เบนซิน เทอร์โบ 4 สูบเรียง
- 1,995 ซีซี
กำลังสูงสุด
- 200 กิโลวัตต์
- 272 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
- จากทางผู้ผลิต 11.5 กม./ลิตร
- จากการทดสอบ 9.1 กม./ลิตร
- ความคุ้มค่า 16.36 กม./100 กม.
อัตราการปล่อยไอเสีย
- จากทางผู้ผลิต 197 กรัม/กม.
- จากการทดสอบ 262 กรัม/กม.
พละกำลังมากขึ้น ราคาเท่าเดิม
สิ่งแรกที่อยากให้รู้ก่อน คือ ราคาของรุ่นย่อยที่ใช้เครื่องยนต์แต่ละรูปแบบกลับเท่ากันทุกประการ ราคาที่แตกต่างจะขึ้นกับรูปแบบตัวถัง (หากติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ เท่ากัน) รุ่น 3 ประตู จะมีราคาที่ 56,000 ยูโร ขณะที่รุ่น 5 ประตู มีราคาที่ 59,500 ยูโร กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นมาเป็น 272 แรงม้า เมื่อเทียบกับ 200 แรงม้าเดิม ขณะที่แรงบิดสูงสุดใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ดีเซล โดยเครื่องยนต์เบนซินบลอคล่าสุด มีแรงบิดสูงสุดมากกว่าเดิมที่ 5.1 กก.-ม. (แรงบิดสูงสุด คือ 45.9 กก.-ม.) มาที่ช่วงต่ำกว่าที่ 1,000 รตน. (ตอบสนองที่ 2,000 รตน. แทนที่ 3,000 รตน.) จะมีจุดสังเกต คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ในแง่นี้เครื่องยนต์ดีเซลมีความได้เปรียบอย่างชัดเจน มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดีกว่า การเปรียบเทียบตามชื่อรุ่นโดยตรงอาจไม่เหมาะสมนัก เนื่องจากรูปแบบการเรียกชื่อมีความแตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง (ฐานล้อสั้นเรียก RUBICON ส่วนฐานล้อยาวเรียก SAHARA) อย่างไรก็ตาม เราเห็นความแตกต่างที่ค่อนข้างชัดเจนของขุมพลัง โดยเฉลี่ยแล้ว เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ในรุ่น SAHARA มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 9.1 กม./ลิตร ขณะที่ RUBICON ทำได้ที่ 8.4 กม./ลิตร เทียบกับเครื่องยนต์ดีเซลแล้ว ทำได้ที่ 10.2 กม./ลิตร นี่คือ จุดแตกต่างที่ค่อนข้างชัดเจน แต่คุณลักษณะการขับขี่กลับไม่แตกต่างกันมากนัก รวมถึงระยะทำการโดยรวม เป็นผลจากน้ำหนักโดยรวมที่เบาลง การเลือกใช้ยาง และตัวถังที่มีความลู่ลมเล็กน้อย ช่วยเสริมประสิทธิภาพจากแต่ละสิ่งที่กล่าวมา นอกจากนี้ขนาดของถังเชื้อเพลิงยังมีส่วนช่วยได้มาก โดยรุ่น 5 ประตู มีความจุ 81 ลิตร (รุ่น 3 ประตู มีความจุ 66 ลิตร) สามารถแล่นได้ไกลสุดเมื่อเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเต็มถังที่ 700 กม. โดยไม่ต้องหยุดเติมน้ำมันระหว่างทางเลย
พละกำลังอันเร้าใจ
จุดเด่นของเครื่องยนต์เบนซิน คือ พละกำลังที่มากพอ แทบจะลืมเครื่องยนต์ดีเซลบลอคเดิมไปได้เลย การตอบสนองบางช่วงทำได้ดีกว่าเครื่องยนต์ขนาด 3.6 ลิตร วี 6 สูบ กำลังสูงสุด 285 แรงม้า ด้วยซ้ำไป เป็นเครื่องยนต์ที่มีการใช้งานเฉพาะตลาดประเทศสหรัฐอเมริกา เราหวนนึกถึงเครื่องยนต์บลอคใหญ่เมื่อครั้งได้ไปทดสอบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา กับการเปิดตัวทายาทลำดับที่ 4 ของ WRANGLER ณ เวลานั้น เราพบว่าเครื่องยนต์บลอคใหญ่มีเสียงดังมาก ไร้ซึ่งความเร้าใจเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง ความรื่นรมย์ถูกบดบังไปกับเสียงรบกวนของเครื่องยนต์ จุดที่น่าสนใจ คือ การส่งกำลังของเครื่องยนต์ กับแรงดึงที่มหาศาลในระดับที่เครื่องยนต์แบบ วี 6 สูบ ยังสู้ไม่ได้ (มีแรงบิดสูงสุดน้อยกว่ากันที่ 10.2 กก.-ม.) เครื่องยนต์บลอคเดิมนั้นไม่มีระบบอัดอากาศใดๆ เมื่อเครื่องยนต์พ่วงระบบเทอร์โบถูกนำมาใช้กับ WRANGLER รุ่นนี้ จัดเป็นทางเลือกที่เหมาะสมแล้ว สิ่งที่จำเป็นสำหรับทางสมบุกสมบัน คือ แรงบิดที่สูง ตอบสนองตั้งแต่ช่วงรอบเครื่องยนต์ต่ำ สำหรับการลุยผ่านอุปสรรคต่างๆ เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร นี้ไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน แม้ในช่วงที่ต้องการเรียกกำลังของเครื่องยนต์ในช่วงรอบเครื่องยนต์สูง ยังคงตอบสนองได้ดี อัตราเร่งฉับไว แม้จะอยู่ภายใต้รถยนต์ที่มีน้ำหนักร่วม 2.2 ตัน อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ต่ำกว่า 8 วินาที (7.6 วินาที สำหรับรุ่นฐานล้อสั้น และ 7.8 วินาที สำหรับรุ่นฐานล้อยาว) การทำอัตราเร่งยืดหยุ่นยังมีความไหลลื่นดีมาก ยืดหยุ่น และต่อเนื่อง การขับขี่ลักษณะดังกล่าวมีความสะดวกสบายเป็นอย่างดี จากการส่งกำลังของเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ เป็นจุดที่มีพัฒนาการดีขึ้นเมื่อเทียบกับ WRANGLER รุ่นก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ตัวลุยจาก JEEP (จีพ) ยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้เสมอมา แต่ยังคงพัฒนาให้ดีขึ้นในหลายส่วนเช่นกัน เห็นได้จากโครงสร้างตัวถังที่หันมาใช้วัสดุอลูมิเนียมหลายจุด เพื่อการลดน้ำหนักโดยรวมลงมา แผงหน้าปัดมีความแม่นยำยิ่งขึ้น และติดตั้งอุปกรณ์ใช้สอยที่ทันสมัยมากมาย ขณะที่การออกแบบปุ่มใช้งาน ชวนให้นึกถึงตัวลุยยุคดั้งเดิมของค่ายรถแห่งนี้ การจัดวางมีความลงตัว มองเห็นได้ง่าย การแสดงผลที่ชัดเจน แผงหน้าปัดผสมผสานการแสดงผลแบบแอนาลอกได้อย่างลงตัว จอภาพ แบบดิจิทอลขนาดใหญ่ สามารถใช้งานผ่านปุ่มบนพวงมาลัย นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบ UCONNECT พร้อมจอภาพขนาด 8.4 นิ้ว ติดตั้งบริเวณด้านบนของคอนโซลหน้า พร้อมระบบป้องกันแสงสะท้อน
การเลือกใช้ยาง
ขณะขับเคลื่อน สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้แก่ทีมทดสอบ นอกเหนือจากเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตรแล้ว คือ อีกหนึ่งเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ WRANGLER ใครก็ตามที่เข้าถึงจุดเด่นของรถรุ่นนี้ จะได้ความประทับใจไม่รู้ลืม กับจุดเด่นมากมายที่เก็บซ่อนอยู่ภายใน อย่างเช่น พวงมาลัยที่ถูกปรับแต่งให้ตอบสนองอย่างเป็นกลาง การเลี้ยวต้องอาศัยการหักพวงมาลัยมากกว่าที่คุ้นเคย แม้กระทั่งการขับบนทางเรียบ เน้นความต่อเนื่อง ค่อยเป็นค่อยไปขณะขับขี่ อย่างไรก็ตาม SAHARA และ RUBICON เลือกใช้ยางที่แตกต่างกัน นั่นคือ ยางแบบทุกสภาวะถนน และยางแบบตัวลุยขนานแท้ โดยที่ยางแบบหลังมีจุดด้อย คือ เสียงรบกวนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะขณะใช้ความเร็วสูงบนทางด่วน นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อความคล่องแคล่วของตัวรถ นับเป็นสิ่งที่ต้องแลกมาอย่างช่วยไม่ได้ RUBICON มีระยะเบรคที่มากกว่า แต่ถือว่าทั้ง 2 รุ่นเป็นรถที่มีระยะเบรคค่อนข้างมากเช่นกัน แต่สำหรับการใช้งานทั่วไป อยู่ในระดับที่รับได้
รายการอุปกรณ์ใช้งาน
ราคาเป็น ยูโร | Rubicon | Sahara |
ราคา | 59,500 | 56,000 |
ราคาของรถทดสอบ | 63,150 | 59,650 |
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า และด้านข้าง | มีติดตั้ง | มีติดตั้ง |
ระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน | - | - |
ระบบวิทยุออนไลน์ | มีติดตั้ง | มีติดตั้ง |
ระบบเตือนจุดอับสายตา | 650 | 650 |
เกียร์อัตโนมัติ | มีติดตั้ง | มีติดตั้ง |
ล้อแมกขนาด 17 นิ้ว | มีติดตั้ง | - |
ล้อแมกขนาด 18 นิ้ว | - | มีติดตั้ง |
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยก 2 โซน | มีติดตั้ง | มีติดตั้ง |
ไฟหน้าแบบแอลอีดี | มีติดตั้ง | มีติดตั้ง |
ระบบไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ | 1,200 | 1,200 |
จอแสดงผลระบบความบันเทิงขนาด 8.4 นิ้ว | มีติดตั้ง | มีติดตั้ง |
ระบบเครื่องเสียงชั้นดี | มีติดตั้ง | มีติดตั้ง |
ชุดตกแต่งห้องโดยสารพรีเมียม | 1,500 | 1,500 |
ยางสำหรับหลากหลายพื้นผิว | - | มีติดตั้ง |
ยางสำหรับลุยทางสมบุกสมบัน | มีติดตั้ง | - |
จอแสดงผลขนาด 7 นิ้ว | มีติดตั้ง | มีติดตั้ง |
ระบบควบคุมความเร็ว | มีติดตั้ง | มีติดตั้ง |
เบาะนั่งพร้อมระบบทำความร้อน | 300 | 300 |
เซนเซอร์ช่วยจอดหน้า/หลัง | มีติดตั้ง | มีติดตั้ง |
กล้องมองภาพด้านหลัง | มีติดตั้ง | มีติดตั้ง |
หลังคาผ้าใบสีดำ | มีติดตั้ง | - |
หลังคาแข็งสีเดียวกับตัวรถ | - | มีติดตั้ง |
กระจกมองหลังรมดำ | มีติดตั้ง | มีติดตั้ง |
ขุมพลังเชื้อสายอิตาเลียน
WRANGLER ทั้ง 2 รุ่น ใช้เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง พร้อมเสื้อสูบวัสดุโลหะน้ำหนักเบา ถูกใช้งานกับ ALFA ROMEO GIULIA (อัลฟา โรเมโอ จูลีอา) และ STELVIO (สเตลวีโอ) มีความจุเท่ากันพอดี แต่ใช้ฝาสูบแตกต่างกัน ใน WRANGLER ไม่มีระบบเพลาลูกเบี้ยวเดี่ยว พร้อมระบบแปรผัน และการแปรผันระยะยกของวาล์วไอดี ของเครื่องยนต์แบบมัลทิเจท ซึ่งพัฒนาโดยค่ายรถ FIAT (เฟียต) แทนที่ด้วยระบบเพลาลูกเบี้ยวคู่ พร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่
รุ่น RUBICON
ข้อมูลจากทางผู้ผลิต
เครื่องยนต์
- เบนซิน วางด้านหน้าตามยาว
- แบบ 4 สูบเรียง
- กระบอกสูบ 84.0 มม.
- ช่วงชัก 90.0 มม.
- ความจุ 1,995 ซีซี
- กำลังสูงสุด 272 แรงม้า 5,250 รตน.
- แรงบิดสูงสุด 40.8 กก.-ม. ที่ 3,000 รตน.
- เสื้อสูบใช้วัสดุโลหะน้ำหนักเบา
- เพลาปรับสมดุล 2 ชุด
- ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ วาล์วแปรผัน 2 ชุด 4 วาล์วต่อลูกสูบ (สายพานโซ่)
- ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง เทอร์โบ อินเตอร์คูเลอร์
ระบบส่งกำลัง
- ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์บวก/ลบ
- เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบโหมดเน้นแรงบิด
- ชุดลอคการส่งกำลังของเฟืองท้าย
ยาง
- บีเอฟ กูดริช ที/เอ แอลที 225/75 R17C 111Q
รูปแบบตัวถัง
- ใช้วัสดุโลหะ ผสมวัสดุอลูมิเนียม ตัวถัง 2 กล่อง 4 ประตู 5 ที่นั่ง
- ระบบรองรับด้านหน้า คานแข็ง คอยล์สปริง ระบบปลดการทำงานของเหล็กกันโคลง
- ระบบรองรับด้านหลังคานแข็ง คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง
- ระบบชอคอับแบบไฮดรอลิค
- เบรคแบบจานพร้อมช่องระบายความร้อน เอบีเอส อีเอสพี
- พวงมาลัยฟันเฟือง และตัวหนอน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า
- ความจุถังน้ำมัน 81 ลิตร
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
- ระยะฐานล้อ 3,010 มม.
- ความกว้างของฐานล้อหน้า/หลัง 1,600 มม.
- ความยาว 4,880 มม.
- กว้าง 1,890 มม.
- สูง 1,900 มม.
- น้ำหนัก 2,103 กก. น้ำหนักบรรทุกสูงสุด 2,574 กก. น้ำหนักลากจูงสูงสุด 2,495 กก.
- พื้นที่เก็บสัมภาระ 548-1,059 ลิตร
ผลิตที่เมือง
- โตเลโด ประเทศสหรัฐอเมริกา
รุ่น SAHARA
ข้อมูลจำเพาะส่วนอื่นเหมือนกับ RUBICON
ระบบส่งกำลัง
- ส่งกำลังแบบหลากหลาย
ยาง
- บริดจ์สโตน ดูเลอร์ 255/70 R18 113T M+S
ตัวถัง
- 2 ประตู 4 ที่นั่ง
- เหล็กกันโคลงแบบปกติ
- ความจุถังน้ำมัน 66 ลิตร
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
- ระยะฐานล้อ 2,460 มม.
- ความยาว 4,330 มม.
- สูง 1,880 มม.
- น้ำหนัก 1,883 กก. น้ำหนักบรรทุกสูงสุด 2,313 กก. น้ำหนักลากจูงสูงสุด 1,497 กก.
- พื้นที่เก็บสัมภาระ 203-598 ลิตร
การลุย คือ หัวใจสำคัญ
เป็นเรื่องธรรมดาที่ทีมงานของเราจะนำ WRANGLER ทั้ง 2 รุ่น มาทดสอบบนทางสมบุกสมบันเต็มพิกัดในบริเวณสนาม VAIRANO ประกอบไปด้วย เส้นทางสมบุกสมบันหลากหลายรูปแบบ เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพการลุยอย่างแท้จริง ทางด้าน RUBICON ใช้ยางสำหรับการลุยเต็มพิกัด และระบบลอคการส่งกำลังของชุดเฟืองท้าย เพื่อการยึดเกาะถนนที่ดีกว่า และระบบปลดการทำงานของเหล็กกันโคลงหน้า เพื่อระบบรองรับสามารถทำมุมได้หลากหลายกว่าปกติ เพิ่มประสิทธิภาพการลุยในตัว ในการลุยบางครั้ง รุ่น 5 ประตูแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดบางอย่าง ด้วยระยะฐานล้อที่ มากกว่า ทำให้มุมคร่อมมีน้อยกว่า รวมถึงอุปสรรคในการลุยทางสมบุกสมบันโดยรวม หลายครั้งที่รุ่น 3 ประตู สามารถลุยผ่านได้สบาย ทั้งการลุยเส้นทางที่ลาดเอียง และการลุยทางชัน และการใช้ยางสำหรับทางเรียบของรุ่น 5 ประตู ทำให้การลุยทางสมบุกสมบันหลายครั้งทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
การประเมินประสิทธิภาพการลุย
รุ่นฐานล้อสั้นมีความได้เปรียบกว่า
นอกเหนือจากรายละเอียดทางเทคนิคที่แตกต่างกันของรุ่น RUBICON และ SAHARA คือ รูปแบบของตัวถังที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการลุยโดยรวม มีจุดแตกต่างในรายละเอียด คือ มุมจาก และมุมปะทะของรถทั้ง 2 รุ่น แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม จุด แตกต่างชัดเจน คือ มุมคร่อมของรถแต่ละรุ่น นั่นคือ การแล่นคร่อมผ่านอุปสรรคโดยที่ไม่สัมผัสกับใต้พื้นรถ รุ่น 3 ประตู มีมุมคร่อมที่ 26 องศา ขณะที่รุ่น 5 ประตู มีมุมคร่อมที่ 21 องศา ขณะที่ความแตกต่างของระยะฐานล้ออยู่ที่ 550 มม. เลยทีเดียว
เนินเอียงด้านข้าง
SAHARA ทำผลลัพธ์ด้านความปลอดภัยที่ 30 % แต่ด้วยระยะฐานล้อที่สั้น พร้อมล้อที่ยกสูงขึ้นมา 300 มม. มีมุมปะทะ และมุมจากที่มากพอ
ส่วน RUBICON มีระบบปลดการทำงานของเหล็กกันโคลงหน้า ระบบรองรับมีมุมการตอบสนองที่หลากหลาย และช่วยให้ล้อแต่ละตำแหน่งอยู่บนพื้นถนน
การขึ้นเนินลาดชัน
ผลดีจากระบบลอคการส่งกำลังของชุดเฟืองท้าย และการใช้ล้อที่เน้นการยึดเกาะถนน ทำให้การขึ้นเนินทำได้ไม่ยากเย็นสำหรับ RUBICON
ขณะที่ SAHARA มีปัญหากับการยึดเกาะถนนเล็กน้อย แต่สามารถนำรถขึ้นไปถึงยอดเนินได้ในที่สุด หากแล่นอย่างต่อเนื่อง หากหยุดรถกลางเนินเมื่อไร จะประสบปัญหาทันที
การลงเนินลาดชัน
ทั้ง 2 รุ่น ติดตั้งระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน การลงเนินจึงมีความเร็วต่ำอย่างปลอดภัย และไม่มีอาการสะดุดจากระบบอีเลคทรอนิคที่ปรับแต่งอย่างลงตัว ผู้ขับสามารถปรับแต่งความเร็วขณะลงเนินได้ หากปล่อยให้ระบบทำงานด้วยตัวเอง รุ่น SAHARA จะมีความเร็วขณะลงเนินช้ากว่าเนื่องจากการยึดเกาะถนนค่อนข้างน้อย
ร่องลึก
รูปทรงของตัวถังเป็นส่วนสำคัญของการลุยร่องลึก รุ่นฐานล้อสั้นสามารถแล่นผ่านได้ที่ 66 องศา แม้ล้อบางตำแหน่งจะลอยจากพื้นถนนเล็กน้อยก็ตาม ขณะที่รุ่นฐานล้อยาวรองรับได้มากที่สุด คือ 58 องศา เนื่องจากตัวถังสัมผัสกับพื้นถนน จากการที่มีมุมคร่อมน้อยกว่า
ร่องสลับ
สถานีทดสอบทางสมบุกสมบันถัดมา คือ ร่องลึกแบบสลับซ้าย/ขวา บังคับให้ล้อบางตำแหน่งยกลอยจากพื้นถนน ทั้ง 2 รุ่นสามารถผ่านการทดสอบส่วนนี้ได้สบายๆ SAHARA มีล้อที่ลอยขึ้นมาเล็กน้อย มีอาการไถลให้สัมผัสไม่มากนัก ขณะที่ RUBICON ใช้ยางสำหรับการลุยเต็มพิกัด สามารถแล่นผ่านได้อย่างสบายๆ
ทางสมบุกสมบัน
ทางสมบุกสมบันประกอบไปด้วย หลุมลึก และเนิน พร้อมกับโค้งมุมแคบ RUBICON ประสบปัญหาในการแล่นผ่านช่วงโค้งดังกล่าว เนื่องจากตัวถังที่มีความยาวค่อนข้างมาก และระบบเฟืองท้ายที่ปรับการส่งกำลังไม่ได้ ลักษณะของตัวถังทำให้พื้นรถด้านล่างสัมผัสกับพื้นผิวถนนในบางครั้ง
เสริมประสิทธิภาพได้อีก
จุดแตกต่างของ RUBICON เมื่อเทียบกับ SAHARA คือ ระบบควบคุมการส่งกำลังของชุดเฟืองท้าย สามารถส่งกำลังได้ทั้งด้านหน้า และหลัง หรือการส่งกำลังเฉพาะด้านหลัง นอกจากนี้ยังมีปุ่มควบคุมการปลดระบบเหล็กกันโคลงด้านหน้า ทำให้ระยะยืด/ยุบของระบบรองรับมีมากขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานเมื่อจำเป็นต้องลุยอุปสรรคที่สมบุกสมบัน