Quattroruote ทดสอบ
ทดสอบ MERCEDES-BENZ GLB
ตัวอักษร B อาจชวนให้เข้าใจผิดในทีแรก เอสยูวี สัญชาติเยอรมัน รุ่น GLB (จีแอลบี) มีขนาดตัวใหญ่กว่าที่คิด ผสมผสานกับอีกหนึ่งจุดเด่น นั่นคือ ห้องโดยสารที่กว้างขวาง รองรับผู้โดยสารได้ 7 คน อย่างไรก็ตาม ระบบช่วยรักษาตัวรถให้อยู่ในเลน กลับทำงานไม่ราบรื่นเท่าใดนัก
รุ่น 200D AUTOMATIC SPORT PLUS
ราคา (จากทางผู้ผลิต)
- 41,963 ยูโร (ประมาณ 3,080,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า )
เครื่องยนต์
- ดีเซล เทอร์โบ 4 สูบเรียง
- 1,950 ซีซี
กำลังสูงสุด
- 150 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
- จากทางผู้ผลิต 20.8 กม./ลิตร
- จากการทดสอบ 15.8 กม./ลิตร
- ความคุ้มค่า 9.40 ยูโร./100 กม.
ค่าการปล่อยไอเสีย
- จากทางผู้ผลิต 126 กรัม/กม.
- จากการทดสอบ 168 กรัม/กม.
พื้นที่ช่วงขาที่เหลือเฟือ
ภาพลักษณ์ความเป็นตัวลุยถูกบ่งบอกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว จากตัวอักษร G และ L มีที่มาจากภาษาเยอรมันที่แปลว่า รถยนต์สำหรับเส้นทาง สมบุกสมบัน พร้อมทางเลือกหลายเซกเมนท์ของตัวลุย หลากสไตล์จากค่ายรถแห่งนี้ ขณะที่ตัวอักษร B อาจชวนให้เข้าใจผิดในทีแรก บางคนอาจนึกไปถึงรถยนต์ขนาดเล็ก แต่เมื่อได้เห็น GLB กับตา ความเข้าใจในครั้งแรกก็แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ตัวรถมีความยาวค่อนข้างมาก (ที่ 4,630 มม.) และระยะฐานล้อที่ยาวมาก (2,830 มม.) รับประกันความกว้างขวาง สะดวกสบายของห้องโดยสารได้อย่างแน่นอน เส้นสายโดยรวมเน้นสันเหลี่ยม ชวนให้นึกถึงตัวลุยรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง GLK (จีแอลเค) ที่แลดูใหญ่โตกว่าความเป็นจริง ดังนี้แล้ว เอสยูวี จากเมืองชตุทท์การ์ทต้องพิจารณาโดยรวมให้ดี เพื่อเข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงภายใต้รหัส B ก่อนที่เราจะลงลึกในรายละเอียดส่วนต่างๆ เบื้องหลัง GLB รุ่นนี้ ยังคงมีแง่มุมในเรื่องทางเทคนิค รวมถึงตำแหน่งทางการตลาดของตัวรถ ประการแรก รถรุ่นนี้ถูกทำตลาดตรงกลางระหว่างรหัสตัวลุยที่ลงท้ายด้วย A และ C ซึ่งเป็น เอสยูวี ที่ใช้พแลทฟอร์มร่วมกัน รวมถึงองค์ประกอบหลายส่วน ได้แก่ ระบบความบันเทิง ระบบความปลอดภัย ระบบอีเลคทรอนิคส์ต่างๆ ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า (หรือ 4 ล้อตลอดเวลา) และเครื่องยนต์วางตามขวาง เมื่อเราพิจารณาองค์ประกอบหลายส่วนของรถรุ่นนี้ พบว่า GLB มีตำแหน่งทางการตลาดรองลงมาจาก GLC (จีแอลซี) โครงสร้างตัวถังใช้ร่วมกันกับซีดานอย่าง C-CLASS (ซี-คลาสส์) ซึ่งเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง เครื่องยนต์วางตามยาว แม้ในรถ เอสยูวี จะใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาก็ตาม ถึงอย่างนั้น GLB มีขนาดตัวถังใกล้เคียงกับรุ่นพี่ (ที่มีตัวถังสั้นกว่ากันที่ 30 มม. เท่านั้น) แต่มีรูปทรงที่ทันสมัย และราคาย่อมเยากว่า (มากกว่า 10,000 ยูโร ในรุ่นเริ่มต้น) มาถึงจุดนี้แล้ว พอจะมองเห็นภาพโดยรวมของรถรุ่นนี้ ชัดเจนยิ่งขึ้น กับรถยนต์ที่มีความ กว้างขวาง และอเนกประสงค์ในตัว
หากใครที่ให้ความสำคัญในเรื่องของการโดยสารที่สะดวกสบาย และการบรรทุกสัมภาระ เพียงเปิดประตูบานท้ายของรถรุ่นนี้ และมองเข้ามาภายใน จะพบกับพื้นที่ช่วงขาที่มากถึง 380 มม. เทียบเท่ากับซีดานรุ่นใหญ่อย่าง E-CLASS (อี-คลาสส์) นั่นเชียว ที่มีพื้นที่ในส่วนนี้ 330 มม. ผู้โดยสารสามารถเหยียดขาได้ค่อนข้างมาก เบาะด้านหลังยังสามารถเลื่อนหน้า/หลังได้อีก 140 มม. (พับแยกได้แบบ 60:40) ทำให้พื้นที่เก็บสัมภาระท้าย
รถมีมากขึ้นเช่นกัน ในกรณีที่เลื่อนเบาะหลังไปข้างหน้าจนสุด ยังคงมีพื้นที่ส่วนขาถึง 250 มม. เป็นค่าเฉลี่ยของ เอสยูวี ระดับเดียวกัน ส่วนที่เก็บสัมภาระมีพื้นที่ถึง 465 ลิตร เมื่อเลื่อนเบาะมาข้างหลังจนสุด จะมีความจุถึง 319 ลิตร นอกจากนี้เบาะด้านข้างผู้ขับสามารถพับเก็บได้ สำหรับการบรรทุกสัมภาระทรงยาว อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ต้องเน้นการโดยสารเต็มพิกัด มีเบาะแถวที่ 3 เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งด้วย โดยเบาะแถวที่ 3 สามารถพับเก็บลงใต้พื้นรถ สามารถรองรับผู้โดยสารที่ความสูง 168 ซม. มีระยะช่วงขาที่น่าพอใจ และยังมีจุดยึดเบาะนั่งเด็กเล็กมาให้ด้วย เช่นเดียวกับเบาะแถวที่ 2 รวมแล้วสามารถติดตั้งเบาะสำหรับเด็กเล็กได้ถึง 4 ตำแหน่ง
สูงขึ้นจากพื้นถนน 800 มม.
ความสะดวกสบายจัดเป็นหนึ่งในจุดเด่นของรถรุ่นนี้อย่างชัดเจน มาที่มิติตัวรถบ้าง GLB มีทัศนวิสัยโดยรวมไม่แพ้รถร่วมค่ายที่มีรหัสลงท้ายด้วย A และ C แต่ทัศนวิสัยของผู้โดยสารจะมีความได้เปรียบกว่า เนื่องจากเบาะมีความสูงจากพื้นถนนถึง 600 มม. (ในรุ่น GLA (จีแอลเอ) คือ 465 มม.) และมีความสูงของตัวเบาะมากกว่าตัวถังแฮทช์แบคถึง 80 มม. ด้วยกัน เบาะคู่หน้าจึงมีทัศนวิสัยที่ปลอดโปร่ง ทั้งด้านหน้า และรอบตัวรถ ด้านหน้าผู้ขับเต็มไปด้วยอุปกรณ์ใช้งานที่ทันสมัย การออกแบบที่ลงตัว คุณภาพการประกอบที่ยอดเยี่ยม และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ถูกติดตั้งเข้ามา ตามแบบฉบับรถยนต์ยุคหน้าของ MERCEDES-BENZ (เมร์เซเดส-เบนซ์) มีจุดแตกต่างอยู่บ้างที่คอนโซลหน้ากับการออกแบบเน้นทรงโค้ง ตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียม รวมถึงมือจับขนาดใหญ่ตามแบบฉบับตัวลุยรหัส G แผงหน้าปัดประกอบไปด้วยหน้าจอแบบคู่ แสดงผลระบบใช้งาน MBUX และระบบความบันเทิงภายใต้หน้าจอขนาดใหญ่ จัดเป็นหนึ่งในระบบที่มีความทันสมัยมากที่สุดอันหนึ่งของโลกยานยนต์ แม้ในระยะแรกอาจต้องทำความคุ้นเคยพอสมควร เปรียบได้กับการใช้งานมือถือยุคใหม่ ในช่วงแรกอาจต้องสับสนกับการจัดวางรูปแบบใหม่ และง่วนอยู่กับการพยายามใช้งานผ่านแป้นควบคุมตรงกลาง แต่เมื่อเริ่มทำความคุ้นเคยได้ดีแล้ว การใช้งานจะมีความสะดวกยิ่งขึ้น และใช้งานระบบ MBUX อย่างได้ผล การใช้งานผ่านแป้นควบคุม และปุ่มต่างๆ บนคอนโซลเกียร์ หรือผ่านหน้าจอระบบสัมผัส และการสั่งงานด้วยเสียง การรับคำสั่งจากเสียงพูดทำได้ดีมาก แม้ผู้พูดจะใช้ประโยคที่มีความซับซ้อน ระบบสามารถทำความเข้าใจได้อย่างครอบคลุม เช่น การสั่งงานระบบปรับอากาศ การระบุจุดหมายของระบบเนวิเกเตอร์ การค้นหาร้านอาหารที่อยู่ใกล้ หรือแม้แต่สถานีบริการน้ำมัน การประมวลผลคำพูด ทำได้อย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตาม คนที่ไม่คุ้นเคยกับรูปแบบของรถยนต์จากเมืองชตุทท์การ์ท จะพบว่าคันเกียร์ของรถรุ่นนี้ถูกติดตั้งบนก้านใช้งานบนคอพวงมาลัย เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์เฉพาะตัวของค่าย MERCEDES-BENZ ถัดไปเป็นจุดติดตั้งของก้านใช้งานระบบปัดน้ำฝน เป็นตำแหน่งที่ไม่คุ้นเคยมากนัก ต้องทำความเคยชินในช่วงแรก แต่ก็ใช้เวลาไม่นานนัก
ความสะดวกสบายเกินมาตรฐาน
จุดเด่นของรถรุ่นนี้จะชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเข้ามาในห้องโดยสาร จุดสำคัญของรถยนต์สำหรับครอบครัว คือ ความสะดวกสบาย และ GLB ก็ตอบสนองในส่วนนี้ได้ดีมาก ผู้โดยสารสามารถพูดคุยกันได้โดยไม่ต้องตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงรบกวนจากนอกรถ และยังมีเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร ในระดับต่ำ เมื่อแล่นผ่านพื้นขรุขระในตัวเมือง ระบบรองรับด้านหน้าดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีมากในเกือบทุกสภาพพื้นผิวถนน แม้ระบบรองรับจะเป็นแบบมัลทิลิงค์ การตอบสนองของล้อคู่หลัง ก็ไม่นุ่มนวลมากเกินไป ความสะดวกสบายยังถูกเสริมด้วยการทำงานที่เข้ากันระหว่างเครื่องยนต์ และชุดเกียร์ โดยขุมพลังแบบดีเซล เทอร์โบ 150 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะ เครื่องยนต์แบบ 4 สูบที่มีมลภาวะต่ำ (ผ่านมาตรฐาน ยูโร 6 ซึ่งเตรียมถูกบังคับใช้ในปี 2021) การทำงานที่เรียบเนียน ไม่มีอาการสะดุดแม้ในช่วงรอบเครื่องยนต์สูง ตัวเครื่องมีความทนทาน มีการส่งกำลัง และแรงบิดที่ต่อเนื่อง นอกจากนี้การเปลี่ยนจังหวะเกียร์ทำได้อย่างฉับไว และแม่นยำในทุกสภาวะการขับขี่ จัดเป็นระบบเกียร์ที่ทำงานได้อย่างไร้ที่ติ เหนือกว่าเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะของคู่แข่ง ในส่วนของอัตราเร่ง GLB 200D (จีแอลบี 200 ดี) มีอัตราเร่งที่ทำได้ดีสมตัว (0-100 กม./ชม. ใน 8.4 วินาที) และประหยัดเชื้อเพลิงอย่างน่าพอใจเช่นกัน (ระยะทำการของรถที่นำมาทดสอบที่ 820 กม./ชม.) เราสามารถวัดตัวเลขออกมาได้ที่ 15.8 กม./ลิตร และขึ้นมาที่ 17.9 กม./ลิตร สำหรับการขับทางไกล และลงมาที่ประมาณ 13.9 กม./ลิตร เมื่อขับขี่ในตัวเมือง แม้ตัวถังที่ปราดเปรียวกว่าของ GLC จะทำตัวเลขได้ดีกว่านี้ ภายใต้ขุมพลังบลอคเดียวกัน แต่อย่าลืมว่า GLB มีน้ำหนักโดยรวมมากกว่ากันถึง 200 กก. และมีพื้นที่ด้านหน้าตัวรถมากกว่า (2.548 ตรม. เมื่อเทียบกับพื้นที่ 2.317 ตรม. ของ GLC 200D) ดังนั้นตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ถือว่าอยู่ในระดับที่ทำได้ดีแล้ว
ระบบความปลอดภัยที่ต้องจ่ายเพิ่ม
ความคล่องแคล่วของการขับขี่เป็นอีกหนึ่งในจุดเด่นที่น่าสนใจ เมื่อพิจารณาน้ำหนักโดยรวมของตัวรถ MERCEDES-BENZ รุ่นนี้ ความ ฉับไวแบบสปอร์ทอาจคาดหวังได้ยาก แต่อย่างไรก็ตาม เอสยูวี รุ่นนี้สามารถเข้าโค้งได้อย่างคล่องแคล่ว มีความเฉียบคมในตัว และการหักเลี้ยวของส่วนหน้าตัวรถที่ว่องไว การตอบสนองของพวงมาลัยมีความรวดเร็วทันใจและต่อเนื่อง ส่วนท้ายรถที่มั่นคง อาการโคลงในระดับที่ควบคุมได้ ข้อจำกัดในแง่ของตัวถังแบบ เอสยูวี อาจปรากฏให้เห็นเมื่อใช้การขับขี่ที่ดุดัน ต้องใช้การควบคุมเข้าช่วยไม่น้อย แต่ตามที่กล่าวมาในช่วงแรก GLB จะให้การขับขี่ที่รื่นรมย์เมื่อบังคับควบคุมอย่างนุ่มนวล ระบบความปลอดภัยมีให้ครบครัน แม้เรามีความเห็นว่าหลายรายการควรถูกรวมอยู่ในอุปกรณ์มาตรฐานติดตั้งจากโรงงาน ระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นที่ 2 ต้องจ่ายเงินเพิ่มถึง 1,842 ยูโร ระบบตรวจจับจุดอับสายตา มีมูลค่าที่ 549 ยูโร รวมถึงระบบครูสคอนทโรล แปรผันความเร็ว และระบบควบคุมตัวรถให้อยู่ในเลน แต่น่าเสียดายที่ระบบเตือนการเปลี่ยนเลนโดยไม่เจตนา กับการทำงานที่ไม่ราบรื่นนัก และควบคุมการเบรคบ่อยครั้ง การปรับแต่งจังหวะการทำงานควรทำให้ดีกว่านี้
GLB ถูกทางค่ายผู้ผลิตอย่าง MERCEDES-BENZ นิยามว่าเป็นรถยนต์ระดับคอม-แพคท์ แม้ตัวรถจะมีขนาดใหญ่โตกว่ารุ่นพี่ด้วยซ้ำ บ่งบอกถึงตำแหน่งทางการตลาดที่รถรุ่นนี้ถูกวางเอาไว้ กับการเป็น เอสยูวี อเนกประสงค์ รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 คน (รวมคนขับ) อุปกรณ์ใช้สอยทันสมัย ภายใต้ราคาที่เหมาะสม หากจะว่าไปแล้ว เอสยูวี ของค่ายที่รองรับผู้โดยสารได้ 7 คน ก่อนหน้านี้มีเพียง GLE รุ่นล่าสุดเท่านั้น การมาถึงของ GLB จึงเป็นทางเลือกที่เน้นพื้นที่ห้องโดยสาร กับราคาที่ไม่สูงเกินไป อีกหนึ่งหลัก-ฐานของการวางตำแหน่งทางการตลาดของรถรุ่นนี้ คือ เครื่องยนต์ที่เน้นขนาดเล็ก มีความสมดุลระหว่างสมรรถนะ และการประหยัดเชื้อเพลิง โดยในต่างประเทศมีทางเลือกของเครื่องยนต์ดังนี้ คือ ดีเซล เทอร์โบ จำนวน 4 รุ่น ได้แก่ GLB 180D ขนาด 2.0 ลิตร 116 แรงม้า (อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 11.3 วินาที) GLB 200D ขนาด 2.0 ลิตร 150 แรงม้า (อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 9.0 วินาที) GLB 200D 4MATIC ขนาด 2.0 ลิตร 150 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา (อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 9.3 วินาที) และ GLB 220D 4MATIC ขนาด 2.0 ลิตร 190 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา (อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.6 วินาที) ขณะที่เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ มีด้วยกัน 3 รุ่น นั่นคือ GLB 200 ขนาด 1.3 ลิตร 163 แรงม้า (อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 9.1 วินาที) GLB 250 4MATIC ขนาด 2.0 ลิตร 224 แรงม้า (อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.9 วินาที) และตัวแรงรหัส AMG กับ GLB 35 4MATIC AMG ขนาด 2.0 ลิตร 306 แรงม้า (อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.2 วินาที) โดยแต่ละรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโน-มัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะ ยกเว้นเพียงรุ่น GLB 200 จะใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ ขณะที่บ้านเรา เพิ่งเปิดตัว MERCEDES-BENZ GLB ไปหมาดๆ เช่นกัน รุ่นที่ทำตลาด คือ GLB 200 PROGRESSIVE เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 1.3 ลิตร กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า พร้อมระบบความบันเทิง MBUX และหน้าจอขนาดใหญ่กินพื้นที่ถึงแผงหน้าปัด เอกลักษณ์ของ MERCEDES-BENZ ยุคใหม่ พร้อมเบาะนั่งจำนวน 3 แถว 7 ตำแหน่ง (เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งในเมืองนอก) แต่ระบบความปลอดภัยให้มาตามมาตรฐานรถยนต์ยุคปัจจุบัน บรรดาระบบความปลอดภัยที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มในเมืองนอก เช่น ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ และระบบครูสคอนทโรล แปรผันความเร็ว ไม่มีติดตั้งมาให้ แต่ยังมีระบบช่วยจอดอัตโนมัติมาให้ในรุ่นที่ทำตลาดในประเทศไทย นอกจากนี้ยังไม่มีระบบ ENERGIZING ระบบเพิ่มความสะดวกสบาย และความผ่อนคลายแก่ผู้โดยสารด้วยเบาะนวดสรีระ รวมถึงการเชื่อมต่อข้อมูลด้านสุขภาพกับนาฬิกาแบบดิจิทอล นับเป็นระบบที่มีความทันสมัยมากๆ แต่ยังไม่มีติดตั้งใน GLB รุ่นที่ทำตลาดในบ้านเราแต่อย่างใด กับราคาที่ถูกตั้งเอาไว้อย่างน่าสนใจที่ 2,860,000 บาท ถือว่าทำตลาดระหว่างกลางของรุ่น GLA (ปัจจุบันเปลี่ยนโฉมแล้วในตลาดโลก แต่ยังไม่มาถึงบ้านเรา) และ GLC เอสยูวี รุ่นพี่ที่มีทำตลาดทั้งรุ่นปกติ และตัวถังแบบคูเป พร้อมทางเลือกเครื่องยนต์ที่หลากหลาย