Quattroruote สารคดี
30 ปี มาซดา เอมเอกซ์-5
มาซดา เอมเอกซ์-5 คือ รถสปอร์ทโรดสเตอร์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในโลก (รุ่นบุกเบิกรหัส เอมเอ มียอดจำหน่ายถึง 430,000 คัน และในปัจจุบันมียอดขายกว่า 1 ล้านคันแล้ว) เป็นสถิติที่ยืนยงมานานถึง 30 ปี จนมีงานเฉลิมฉลองความสำเร็จในช่วงปีที่ผ่านมา เพิ่มมูลค่าความน่าเก็บสะสมของรถรุ่นนี้เป็นอย่างมาก องค์ประกอบที่ใช้ในการรังสรรค์รถรุ่นนี้ล้วนมีความลงตัว เป็นหนึ่งในบทพิสูจน์ความสำเร็จของ มาซดา เอมเอกซ์-5 ที่สืบทอดมาอย่างต่อเนื่องถึง 30 ปี นำมาสู่การเป็นรถสปอร์ทเปิดประทุนที่มียอดจำหน่ายสูงสุดของโลกยานยนต์เสมอมา สูตรสำเร็จดังกล่าวแสดงให้เห็นในทายาทของแต่ละรุ่น โดย มาซดา เอมเอกซ์-5 ภายใต้รหัส เอนเอ เปิดตัวครั้งแรกในงานมหกรรมยานยนต์ชิคาโก วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี 1989 แต่แนวคิดการพัฒนารถสปอร์ทขนาดเล็กของ มาซดา เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 1979 โดยมีแรงบันดาลใจจากสปอร์ทรุ่นดังในอดีตอย่างค่าย ทไรอัมฟ์ เอมจี โลทัส และอัลฟา โรเมโอ
พลังแห่งการสร้างสรรค์
จากประวัติความเป็นมาที่ถูกบันทึกเอาไว้ ระบุว่าแนวคิดการพัฒนารถสปอร์ทขนาดเล็กเริ่มต้นขึ้นจากการพูดคุยร่วมกันระหว่างผู้อำนวยการฝ่ายจัดการ เคนิชิ ยามาโมโต และนักข่าวสายยานยนต์ชาวอเมริกัน บอบ ฮอลล์ การพูดคุยดังกล่าวเกิดขึ้นที่เมืองฮิโรชิมา สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ มาซดา นำมาซึ่งแนวทางการพัฒนารถรุ่นใหม่ โดย ฮอลล์ นำเสนอแนวคิดที่สะท้อนให้เห็นถึงยุครุ่งเรืองของสปอร์ทสัญชาติอังกฤษยุคปี 50-60 นั่นคือ “สปอร์ทเปิดประทุน และมีราคาย่อมเยา” แล้วจึงเริ่มร่างรูปแบบของรถยนต์รุ่นใหม่ในห้องประชุม ขณะที่ ยามาโมโต รู้สึกประทับใจกับแนวคิดดังกล่าว และตัวเขาเองมีความชื่นชมคุณลักษณะการขับขี่ของรถ ทไรอัมฟ์ สปิทไฟร์ ที่โลดแล่นในเส้นทางเลียบเขา
การริเริ่มพัฒนารถรุ่นใหม่เป็นไปอย่างช้าๆ ใช้เวลานานถึง 10 ปีนับตั้งแต่การพบปะพูดคุยดังกล่าว การพัฒนารถต้นแบบเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา มีชื่อว่า มานา บ่งบอกการเป็นรถสปอร์ท ราคาย่อมเยา รูปทรงโฉบเฉี่ยว ได้รับแรงบันดาลใจจาก โลทัส อีแลน
เวลาล่วงเลยต่อมาถึงช่วงปี 1983 ผู้บริหารของ มาซดา ได้อนุมัติการผลิตรถสปอร์ทรุ่นใหม่อย่างเต็มตัว จากแนวคิดที่พัฒนากันมานาน ภายใต้พโรเจคท์รหัส พี 729 ทีมงานถูกแบ่งออกเป็น 2 ชุด จากฝั่งสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น โดยฝั่งสหรัฐอเมริการับผิดชอบการพัฒนาเครื่องยนต์ และระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ส่วนฝั่งญี่ปุ่นพัฒนารูปแบบการขับเคลื่อนล้อหน้า และการวางเครื่องยนต์กลางลำ และขับเคลื่อนล้อหลัง จนกระทั่งได้ข้อสรุปในปี 1984 กับแนวทางการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ องค์ประกอบที่ใช้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ละส่วนถูกพิจารณาอย่างถ้วนถี่ รวมถึงการใช้วัสดุพลาสติคร่วมกับตัวถัง และเครื่องยนต์สูบหมุนแบบโรตารี การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างทีมผู้พัฒนาจาก 2 ซีกโลกเกิดขึ้นตลอดเวลา จนกระทั่งในปี 1987 รูปทรงภายนอก และการออกแบบห้องโดยสารก็ได้ข้อสรุป รวมถึงรายละเอียดทางเทคนิคต่างๆ โดยได้รับการอนุมัติจากทางบริษัทแม่ในเมืองฮิโรชิมา
ความลงตัวเหนือกาลเวลา
แนวคิดที่ถูกนำมาใช้กับ เอมเอกซ์-5 เริ่มจาก มาซดา ต้องการพัฒนารถสปอร์ทที่มีการขับขี่แบบเร้าใจ สืบทอดสไตล์ของรถสปอร์ทเปิดประทุนในอดีต แต่มาพร้อมซึ่งเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อเป้าหมายดังกล่าว ทีมวิศวกรจึงมุ่งเน้นไปที่การลดน้ำหนักโดยรวมของตัวรถ และพัฒนาให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ภายใต้ระยะฐานล้อสั้นกระชับ เครื่องยนต์วางด้านหน้า แต่มีตำแหน่งลึกเข้ามาในห้องเครื่องกว่า 2 ใน 3 ของเครื่องยนต์อยู่ถัดมาจากช่วงล้อคู่หน้า ส่วนประกอบแต่ละส่วนถูกพัฒนาขึ้นมาโดยละเอียด เพื่อการลดน้ำหนักของตัวรถอย่างได้ผล วัสดุอลูมิเนียมถูกนำมาใช้กับฝากระโปรงหน้า วัสดุพลาสติคนำมาใช้กับชิ้นส่วนกันชน ขณะที่การเคลือบสีภายนอกทำแค่ชั้นเดียว และกระจกบานท้ายเป็นพลาสติคใส
ส่วนเครื่องยนต์กลไก ทีมวิศวกรของ มาซดา ต้องการนำสิ่งใหม่ๆ ที่ทันสมัยมาสู่ เอมเอกซ์-5 อย่างไม่เคยพบเจอมาก่อนในรถยนต์รุ่นอื่นที่ทำตลาดในช่วงเวลานั้น การพัฒนายังคำนึงถึงต้นทุนที่ไม่สูงเกินไป จึงตัดสินใจใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร แคมชาฟท์คู่ที่วางอยู่ในรุ่น 323 ต่อมามีรหัสเครื่องยนต์ คือ บี 6-เซดอี รูปแบบวางตามยาวเหมือนกับโรดสเตอร์ในตำนานอย่าง อัลฟา โรเมโอ ที่ทำตลาดในช่วงปี 1960 ขุมพลังแบบแคมชาฟท์คู่ ถูกปรับแต่งให้มีพละกำลังมากในช่วงรอบเครื่องยนต์สูง มาซดา ออกแบบให้ท่อไอดีมีการไหลเวียนของอากาศที่ลื่นไหล จึงใช้วัสดุสเตนเลสส์สำหรับท่อไอดี และท่อไอเสีย ให้กำลังสูงสุด 115 แรงม้า ที่ 6,500 รตน. รอบเครื่องยนต์แบบโรตารีสูงสุดที่ 7,200 รตน. ระบบส่งกำลัง นำชุดเกียร์รหัส เอม มาพัฒนา เป็นแบบ 5 จังหวะ มีใช้งานในรถสปอร์ทรุ่น อาร์เอกซ์-7 มีอัตราทดสั้น และมีระยะเกียร์ที่กระชับ แหล่งข่าวบางแห่งระบุว่าทีมผู้พัฒนาฝ่ายเทคนิคจากเมืองฮิโรชิมา ตั้งเป้าหมายไว้ที่ “การเปลี่ยนเกียร์เพียงขยับข้อมือ” เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่พบเจอได้ในรถสปอร์ทหลายรุ่นถัดมาของค่ายรถแห่งนี้ ระยะห่างของแต่ละช่วงเกียร์มีเพียง 4.5 ซม. เท่านั้น ช่วยให้การเข้าเกียร์แต่ละจังหวะมีความสั้นกระชับ เพิ่มอรรถรสการขับขี่อย่างได้ผล
จุดเด่นที่ซ่อนอยู่ภายใน
หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของ เอมเอกซ์-5 คือ โครงสร้างตัวถังที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ ใช้การเชื่อมต่อเข้ากับส่วนรอบๆ ชุดเกียร์ เสริมด้วยคานแข็งเพิ่มความทนทาน โครงสร้างตัวถังใช้วัสดุอลูมิเนียมตามแนวฝั่งขวาของชุดเกียร์ เชื่อมต่อยาวไปถึงชุดเฟืองท้าย ให้ผลดีในแง่ของความแข็งแรง ตลอดจนจุดเชื่อมต่อต่างๆ มีความทนทาน และยังมีโครงสร้างอีก 2 จุดที่เชื่อมต่อระหว่างส่วนเครื่องยนต์ และระบบรองรับ โดยมีช่วงล่างแบบมัลทิลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลงสำหรับล้อคู่หน้า/หลัง
ด้านการใช้งาน เอมเอกซ์-5 หาข้อมูลจากลูกค้า รวมถึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง นำไปสู่คุณลักษณะการขับขี่ที่ลงตัว และในเวลาต่อมาจึงมีการริเริ่มใช้แนวคิด “จินบะ อิตไต” (JINBA ITTAI) มาใช้กับรถสปอร์ทรุ่นดังกล่าว เป็นแนวคิดของการหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวระหว่างผู้ขับขี่ และม้าที่ใช้เป็นพาหนะ ผลลัพธ์เริ่มปรากฏออกมาในปี 1994 ทำให้ได้การขับขี่อันเฉียบคม และมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมรอบด้าน อย่างที่รถสปอร์ทไม่กี่รุ่นสามารถทำได้
ขุมพลังที่ถูกนำมาใช้ในเวลาต่อมา คือ เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 131 แรงม้า และยังมีความแตกต่างในส่วนอื่นที่ถูกพัฒนาควบคู่กัน ได้แก่ โครงสร้างตัวถังที่ถูกเสริมความแข็งแรงยิ่งขึ้น มาจากการคิดค้นส่วนเชื่อมโยงโครงสร้างตัวถังแนวขวาง เป็นคานเหล็กที่วางตัวอยู่หลังเบาะ ขณะที่โครงสร้างส่วนล่างถูกเสริมความแข็งแรงถึง 4 จุดด้วยกัน โดยมี 1 จุดบริเวณด้านหน้า และอีก 3 จุดเป็นลักษณะทรงตัว ยู บริเวณด้านหลัง โดยในระยะแรก ระบบส่งกำลังแบบใหม่ยังไม่ถูกนำมาใช้กับรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร (ทำตลาดในช่วงปี 1995) มีพละกำลังสูงสุดที่ 90 แรงม้า
อย่างไรก็ตาม การขาดอุปกรณ์ใช้งานบางรายการ ไม่ทำให้ความต้องการของ เอมเอกซ์-5 ลดน้อยลงแต่อย่างใด เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่คุณลักษณะการขับขี่มากกว่า จากความสนุกของการบังคับควบคุม ถือเป็นสิ่งที่คุ้มค่า สิ่งเหล่านี้ยังคงมีผลมาถึงปัจจุบัน กับบรรดานักสะสมที่มองหารถดั้งเดิมของรถสปอร์ทรุ่นนี้กันอย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งอุปกรณ์ใช้งานที่แปลกใหม่มากมาย หรืออุปกรณ์ที่มีราคาแพง ส่วนประกอบต่างๆ สามารถเสาะหาอะไหล่มาใช้งานได้ไม่ยากเย็น ใครก็ตามที่ได้มาลองขับรถรุ่นนี้ จะต้องหลงใหลในเสน่ห์ของมัน อย่างถอนตัวไม่ขึ้น !
ที่มาของชื่อเฉพาะ
ชื่อ เอมเอกซ์-5 มีที่มาเรียบง่าย โดยรหัส เอมเอกซ์ มาจากการพัฒนา และวิจัยโดยทาง มาซดา กับพโรเจคท์ลำดับที่ 5
อย่างไรก็ตาม เอมเอกซ์-5 มีชื่อเรียกเฉพาะในแต่ละรุ่นด้วย นับตั้งแต่รุ่นแรกที่ทำตลาด ในประเทศญี่ปุ่นมีชื่อเรียกว่า ยูนอส โรดสเตอร์ ยูนอส มาจากการรวมคำของภาษากรีก ยู (แปลว่า ความดี) และนอส (แปลว่า ตัวเลขที่กระชับสั้น) ส่วนในประเทศสหรัฐอเมริกามีชื่อว่า มิอาตะ
แต่ละชื่อล้วนมีที่มาที่น่าสนใจ ชื่อดั้งเดิมมีรากศัพท์จากการเรียกยุคสมัยโบราณของประเทศเยอรมนี คำว่า มิอาตะ เป็นการผสมคำระหว่างภาษาแบบอังกโลแซกซอน รวมเข้ากับภาษาอังกฤษแบบดั้งเดิม แต่บางแหล่งข่าวระบุว่าเป็นเพียงชื่อที่ถูกสร้างขึ้นมาจากระบบคอมพิวเตอร์ และไม่มีความหมายพิเศษใดๆ ขณะที่บางแห่งอ้างว่า มิอาตะ มาจากภาษาอิตาเลียนของคำว่า ซีอาตา นอกจากนี้ยังมีรากศัพท์จากสุภาพสตรีผิวสีชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ชื่อว่า มีอาทา ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าจะเป็นแรงบันดาลใจในการนำมาตั้งชื่อรถสปอร์ทรุ่นนี้ นอกนั้นหลายคนเดาว่า มิอาตะ เป็นภาษาญี่ปุ่น
ส่วนโลโกของ มิอาตะ ออกแบบโดยหัวหน้าฝ่ายออกแบบ ชุนจิ ทานากะ ผู้หลงใหลในงานฝีมือที่ใช้วัสดุไม้แท้ ระหว่างการประกวดหาชื่อสำหรับรถ สปอร์ทรุ่นนี้ เขาแอบส่งชื่อ มิอาตะ เข้าประกวด โดยไม่เปิดเผยชื่อ และได้รับเลือกในที่สุด
การประเมินผลของ QUATTRORUOTE
ความเร้าใจ [star value="4" max"4"]
รูปแบบของตัวรถที่ไม่เน้นความหรูหรา หรือแม้กระทั่งความภูมิฐานใดๆ แต่เปี่ยมด้วยสไตล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น นับเป็นจุดเด่นที่น่าพอใจสำหรับรถสปอร์ทเปิดประทุนแบบ 2 ที่นั่ง
ราคา [star value="4" max"4"]
รถสปอร์ทรุ่นปัจจุบันมีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับบรรดารุ่นก่อนหน้านี้ สามารถหาซื้อมาครอบครองได้ไม่ยากเกินไป มีความต้องการอยู่เสมอ หากตัวรถอยู่ในสภาพที่ดีพอ
ค่าใช้จ่ายขณะใช้งาน [star value="4" max"4"]
งบประมาณของการบำรุงรักษา เอมเอกซ์-5 ถือว่าไม่สูงเลย ค่าใช้จ่ายต่างๆ อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมถึงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่น่าพอใจ แม้ขณะขับขี่แบบเน้นสมรรถนะ
การใช้งานทั่วไป [star value="4" max"4"]
เอมเอกซ์-5 เป็นรถที่มีความมั่นคง และทันสมัย บางรุ่นมีค่าไอเสียที่ผ่านมาตรฐาน ยูโร 2 หรือ ยูโร 3 มีข้อจำกัดอยู่บ้าง คือ พื้นที่ใช้สอย และส่วนที่เก็บสัมภาระท้ายที่มีความจุไม่มากนัก
ความทนทาน [star value="4" max"4"]
เอมเอกซ์-5 คือ หนึ่งในบทพิสูจน์ด้านมาตรฐานของประเทศญี่ปุ่น ตัวรถมีความทนทาน โอกาสที่จะพบความชำรุดในส่วนประกอบต่างๆ มีน้อยมาก แม้จะใช้งานมาเป็นระยะเวลานานก็ตาม
อะไหล่ทดแทน [star value="4" max"4"]
อะไหล่สามารถหาได้ง่าย และมีราคาที่เหมาะสม อุปกรณ์ที่เป็นอะไหล่ทดแทนมีให้เลือกใช้งานอย่างแพร่หลาย
การรวมกลุ่ม [star value="4" max"4"]
ในประเทศอิตาลี กลุ่มผู้ใช้งาน เอมเอกซ์-5 มีการก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1995 กับจำนวนสมาชิกถึง 8,000 ราย มีการจัดกิจกรรมแข่งรถ และการพบปะระหว่างสมาชิกเป็นประจำอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี
การทดสอบกับ QUATTRORUOTE
ในปี 1990 ทาง QUATTRORUOTE เคยทดสอบสมรรถนะแบบเปรียบเทียบกันระหว่างโรดสเตอร์ 2 รุ่น ได้แก่ มาซดา เอมเอกซ์-5 และ อัลฟา โรเมโอ สไปเดอร์ รถสปอร์ทจากประเทศญี่ปุ่นสามารถชนะการทดสอบได้ กับบทสรุปที่ว่า “อุดมด้วยจุดเด่นรอบคัน และแนวคิดที่สดใหม่” และ “เปี่ยมด้วยสไตล์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ผสมผสานจุดเด่นของรถยนต์สัญชาติอังกฤษ การปรับแต่งที่ลงตัวแบบรถสัญชาติอิตาเลียน และคุณภาพที่เชื่อถือได้ตามแบบฉบับรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น”
ระหว่างการทดสอบ เอมเอกซ์-5 มีความเร็วสูงสุดที่ 186 กม./ชม. และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 9.5 วินาที ได้รับการประเมินผลระดับ 5 ดาวใน 2 หัวข้อ ได้แก่ ระบบส่งกำลัง และการบังคับเลี้ยว และระดับ 4 ดาว ในหัวข้อเครื่องยนต์ “ตอบสนองได้ฉับไว อารมณ์สปอร์ท” และ “รองรับการขับขี่ทางไกลได้ดีเช่นกัน” รวมถึงบทสรุปที่ว่า “มีรถสปอร์ทเพียงไม่กี่รุ่นที่จะเทียบได้ ต่อให้มีราคาที่แพงกว่าก็ตาม ที่จะขับสนุกได้เหมือน เอมเอกซ์-5”
อย่างไรก็ตาม จุดต้องติจากการทดสอบก็มีเช่นกัน นั่นคือ ความหนึบกระด้าง และระบบรองรับที่ส่งแรงสะเทือนขึ้นมาชัดเจนเมื่อแล่นผ่านถนนขรุขระ และยังรวมไปถึงพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายที่ค่อนข้างจำกัด ความจุเพียง 110 ลิตร โดยใน 4 ปีต่อมา ทาง QUATTRORUOTE ทดสอบ เอมเอกซ์-5 รุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 131 แรงม้า โดยรถรุ่นใหม่สามารถแสดงจุดเด่นได้ดี ไม่แพ้รุ่นก่อนหน้า แถมได้เพิ่มอีก 1 ดาวในหัวข้อการยึดเกาะถนน และการทดสอบความคล่องแคล่ว โดยบทสรุป คือ “ระบบรองรับสามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ยอดเยี่ยมบนพื้นผิวที่ไม่ราบเรียบ และมีความลื่นลมสูง”
ตัวถังคูเป แนวคิดที่ไม่เคยได้ทำตลาดจริง
เมื่อ เอมเอกซ์-5 ได้รับการอนุมัติให้เดินสายการผลิตจริง ทีมงานผู้พัฒนารถสปอร์ทรุ่นนี้มีแนวคิดที่จะพัฒนาตัวถังแบบคูเป ควบคู่กับตัวถังเปิดประทุน หลังจากการประเมินอย่างถี่ถ้วน ทีมงานในสหรัฐอเมริกาก็สร้างแบบจำลองขนาดอัตราส่วนเท่าของจริง และนำมาจัดแสดงที่ประเทศญี่ปุ่นในปี 1992 เพื่อหยั่งเชิงกระแสตอบรับ
อย่างไรก็ตาม บริษัทแม่กลับไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว และมีความเห็นว่าการพัฒนาตัวถังคูเป จะทำให้จุดเด่นในแง่ของการขับสนุกแบบโรดสเตอร์หายไป แม้ในเวลาต่อมา ช่วงปี 1996 ในงานมหกรรมยานยนต์นิวยอร์ค บรรดาทีมงานได้จัดแสดงรถต้นแบบ สไตล์คูเป และถูกตั้งชื่อว่า เอม คูเป (เส้นสายแตกต่างจาก เอมเอกซ์-5) ตัวถังภายนอก ใช้วัสดุไฟเบอร์กลาสส์ หลังคารูปทรงโค้งจำนวน 2 ตำแหน่ง กันชนท้ายมีความสูงมากขึ้น และไฟหน้าจำนวน 2 ดวง แทนที่ไฟหน้าแบบพอพ-อัพ รายละเอียดอื่นๆ นอกจากนี้ คือ ปลายท่อไอเสียใช้วัสดุคาร์บอน ล้อแมกขนาด 16 นิ้ว วางเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.8 ลิตร ฝาสูบสีเหลืองสดคล้ายสีตัวถังภายนอก ผู้พัฒนารถรุ่นนี้คาดหวังให้บริษัทแม่เห็นคุณค่า และอนุมัติการผลิตจริง ยอมทำกระทั่งออกแบบให้ส่วนท้ายมีความยาวเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ และทำให้ตัวรถมีการใช้งานที่หลากหลายกว่าเดิม ช่วยลบหนึ่งในจุดด้อยเรื่องการใช้งานของตัวถังโรดสเตอร์อย่างได้ผล อย่างไรก็ตาม แม้กระแสตอบรับจากผู้ชมงานจะค่อนข้างพึงพอใจรถต้นแบบดังกล่าว แต่สุดท้ายแล้ว เอมเอกซ์-5 ตัวถังคูเป ก็ไม่เคยได้รับการอนุมัติให้ผลิตจริงเลย
รหัสรุ่นของ เอมเอกซ์-5
ปีที่ผลิต | รุ่น | ระยะเวลาที่ผลิต | รหัสเครื่องยนต์ | จำนวนที่ผลิต (คัน) |
1989 | เอนเอ | 9/1989-08/1992 | B = 1.6 | 100,001-131,199 |
1992 | เอนเอ | 08/1992-09/1993 | B = 1.6 | 131,200-200,000 |
1993 | เอนเอ | 09/1993-12/1994 | P = 1.8 | 100,001-200,000 |
1994 | เอนเอ | 12/1994-08/1995 | C = 1.6 / P = 1.8 | 200,001-300,000 |
1995 | เอนเอ | 09/1995-06/1996 | C = 1.6 / P = 1.8 | 300,001-308,211 |
1996 | เอนเอ | 06/1986-11/1997 | C = 1.6 / P = 1.8 | 308,212-400,000 |
มูลค่าทางการตลาด ราคายังคงเย้ายวนใจ
ตัวรถมีความกะทัดรัด ขับสนุก และค่าบำรุงรักษาไม่แพง มาซดา เอมเอกซ์-5 รุ่นแรกมือสองยังมีผู้เสาะแสวงหามาครอบครอง โดยเฉพาะผู้ชื่นชอบรถสปอร์ทที่มีความคล่องตัวสูง เก็บเอาไว้สำหรับเป็นรถยนต์ใช้งานคันที่ 2 หรือ 3 ประจำบ้าน
ความต้องการเหล่านี้เกิดขึ้นมานานแล้ว นับตั้งแต่รถรุ่นนี้เริ่มทำตลาดใหม่ๆ ในบางช่วงเวลา ความต้องการรถยนต์รุ่นนี้อาจคงที่ แต่ไม่ช้าก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จากตาราง เผยให้เห็นว่าราคาอยู่ที่ประมาณ 7,000 ยูโร ด้วยกระแสความต้องการที่มีอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่มีรถยนต์รุ่นนี้ในครอบครองเสมือนเป็นการลงทุนที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และแสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าในแง่ของการเป็นผู้ซื้อ โดยในปัจจุบัน รุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ เอมเอกซ์-5 รหัส เอนเอ เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร กำลังสูงสุด 115 แรงม้า ทำตลาดครั้งแรกเมื่อ 30 ปีก่อน ตามด้วยรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร
เหล่าผู้สะสมรถรุ่นนี้ ส่วนมากจะให้ความสนใจกับรุ่นที่ผลิตจำนวนจำกัด เป็นรถที่ควรค่าแก่การเก็บสะสมโดยแท้จริง รวมถึงผู้ที่เก็งกำไรขายต่อ ก็จะได้ราคาดี โดยเฉพาะรถที่ใช้งานไม่นาน การเลือกซื้อควรเน้นไปที่ตัวรถที่ยังคงสภาพดี แม้เป็นรุ่นที่ทำตลาดทั่วไป แต่อาจจะดีกว่ารถสปอร์ทรุ่นพิเศษที่ผ่านการใช้งานมาหนักหน่วง รุ่นที่นิยมกัน คือ ตัวถังเปิดประทุน เลขไมล์น้อย เป็นรุ่นที่ทำตลาดทั่วไป มีการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องตรวจสอบได้ และผ่านมือเจ้าของเพียงไม่กี่ราย เป็นจุดสำคัญที่ใช้พิจารณา ยิ่งกว่าสีตัวถังแบบพิเศษ หรือแม้กระทั่งการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษอื่นๆ
นอกจากนี้ พยายามหลีกเลี่ยงรถที่ถูกปรับแต่งเครื่องยนต์มาแล้ว แม้จะมีสมรรถนะมากกว่าเดิม แต่ในระยะยาว มูลค่าทางการตลาดจะลดลงมาก เพราะโดยแท้จริงแล้วผู้ที่มองหา เอมเอกซ์-5 พอใจกับเครื่องยนต์แบบไร้การปรับแต่ง เน้นการขับขี่ที่สนุกอย่างแท้จริง เป็นจุดเด่นของรถรุ่นนี้