Quattroruote ทดสอบ
ทดสอบ ซูซูกิ จิมนี
สายพันธุ์ จิมนี ทำตลาดในโลกยานยนต์มาแล้วเป็นเวลาหลายสิบปี ด้วยเอกลักษณ์ที่ถูกรักษาเอาไว้ได้ดีตลอดมา หากมองไปถึงตัวลุยระดับตำนานอย่าง จีพ แรงเลอร์ แลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ และเมร์เซเดส-เบนซ์ จี-คลาสส์ จะพบว่าแต่ละรุ่นจัดเป็นตัวลุยที่มีเอกลักษณ์สืบทอดมาเป็นเวลานาน และถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบให้มีความทันสมัยจนถึงปัจจุบัน แต่ยังไม่ละทิ้งความคุ้นเคยที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน สำหรับ จิมนี รุ่นล่าสุด มีขนาดเล็กกว่าบรรดาเหล่าตัวลุยระดับตำนานดังกล่าวเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว แต่สามารถสืบทอดเอกลักษณ์มาอย่างต่อเนื่องได้ดีไม่แพ้กัน นับเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับรถยนต์ระดับเดียวกันที่จะทำได้แบบตัวลุยจากค่าย ซูซูกิ รุ่นนี้
รุ่น 1.5
ราคา (จากทางผู้ผลิต)
- 22,500 ยูโร (ประมาณ 805,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
- เบนซิน 4 สูบเรียง
- ขนาด 1,463 ซีซี
กำลังสูงสุด
- 102 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
- จากทางผู้ผลิต 12.7 กม./ลิตร
- จากการทดสอบ 12.6 กม./ลิตร
ค่าการปล่อยไอเสียเฉลี่ย
- จากทางผู้ผลิต 178 กรัม/กม.
- จากการทดสอบ 189 กรัม/กม.
ลุยโคลนอย่างมีสไตล์
การรักษาเอกลักษณ์ทางรูปทรงภายนอกเอาไว้ ไม่ได้หมายความว่าบุคลิกของตัวรถจะต้องเหมือนเดิมเสมอไป แต่จุดสำคัญ คือ การพัฒนาตัวรถให้มีความโดดเด่นยิ่งขึ้น และนั่นคือ สิ่งที่ทาง ซูซูกิ ทำได้ดีกับรถรุ่นนี้กับการเป็นทายาทลำดับที่ 4 ของสายพันธุ์ โดยรุ่นก่อนหน้านี้ทำตลาดมาถึง 20 ปีแล้ว ด้วยรูปแบบที่ยึดถือเอาไว้เสมอมา ได้แก่ ระบบรองรับแบบคานแข็ง โครงสร้างตัวถังเน้นความแข็งแรง ปุ่มปรับโหมดขับเคลื่อนที่ล้อ และเกียร์สำหรับการขับขี่บนเส้นทางสมบุกสมบัน โดยรวมแล้ว จัดเป็นรถที่พร้อมจะลุยเส้นทางโคลนได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ค่ายรถสัญชาติญี่ปุ่นแห่งนี้ ยังต้องคำนึงถึงรูปแบบการขับขี่ของกลุ่มลูกค้าที่ไม่เน้นการใช้งานบนเส้นทางสมบุกสมบันเท่าใดนัก จัดเป็นหนึ่งในปัจจัยของการคิดนอกกรอบเช่นกัน เส้นสายของ จิมนี รุ่นล่าสุด จึงเน้นเหลี่ยมสันอย่างชัดเจน ชวนให้นึกถึงรุ่นก่อนหน้านี้ที่ทำตลาดในช่วงปี 1970 กับรหัส แอลเจ 10 เป็นจุดเริ่มต้นของเอกลักษณ์จากรถยนต์สายพันธุ์นี้ สร้างความแตกต่างจากตัวลุยในระดับเดียวกันตลอดมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน มีเสริมการใช้งานที่ทันสมัย เช่น ระบบความบันเทิง ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติ และระบบเตือนการเปลี่ยนเลนโดยไม่เจตนา เป็นต้น ขณะที่ประสิทธิภาพการลุยยังเป็นจุดเด่นที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่รถประเภทครอสส์โอเวอร์ที่เน้นการขับขี่บนทางเรียบตามสมัยนิยม แผงคอนโซลหน้าถูกออกแบบเน้นความเรียบง่าย และการใช้งานที่สะดวก วัสดุที่ใช้เป็นพลาสติคแข็งผิวเรียบ สามารถทำความสะอาดเศษฝุ่นผงได้อย่างง่ายดายในกรณีที่ลุยทางสมบุกสมบัน ในแง่ของพื้นที่ใช้สอย ถือว่า จิมนี รุ่นนี้ทำได้ดี หากมองในแง่ของขนาดตัวที่กะทัดรัด (ความยาว 3,650 มม. ไม่นับส่วนของยางอะไหล่ภายนอก) แม้ลักษณะของการวางเครื่องยนต์จะเป็นตามแนวยาว มีผลกับความยาวของตัวถังเพียงเล็กน้อย แต่กลับมีผลต่อพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายที่ค่อนข้างจำกัด เบาะนั่งด้านหลังมีพื้นที่อย่างเพียงพอ แต่การขึ้น/ลงกลับไม่สะดวกมากนัก ต้องอาศัยการพับเบาะ โดยเบาะฝั่งผู้โดยสารด้านข้างคนขับเท่านั้นที่สามารถเลื่อนไปข้างหน้าได้สะดวก จุดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนอยู่ที่ขุมพลัง กับเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ กำลังสูงสุด 102 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 13.3 กก.-ม. มาแทนที่เครื่องยนต์บลอคเดิม ขนาด 1.3 ลิตร (กำลังสูงสุด 85 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 11.2 กก.-ม.) แม้ในทีแรกเรามีความคิดว่า เครื่องยนต์ที่ควรถูกนำมาใช้ คือ เบนซิน เทอร์โบ 3 สูบเรียง ขนาด 1.0 ลิตร จะมีความเหมาะสมเช่นกัน จนกระทั่งการกดคันเร่งจากจุดหยุดนิ่ง พบว่าเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบเรียง มีการตอบสนองที่เหมาะสมกว่า รวมถึงการขับขี่ที่เรียบเนียน แม้การกดคันเร่งเพียงเล็กน้อย ในกรณีที่ต้องการเรียกอัตราเร่ง การเร่งถึงช่วง 4,000 รตน. ตัวรถมีความกระฉับกระเฉงในระดับที่น่าพอใจ ผนวกกับการทำงานของเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ แม้การขับขี่ที่ความเร็วคงที่จะใช้รอบเครื่องยนต์ค่อนข้างสูง และเสียงรบกวนค่อนข้างมากก็ตามที ต้องอย่าลืมว่า จิมนี ไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเน้นการขับขี่บนทางไกล หรือมีบุคลิกที่เน้นความหนึบแน่นบนทางเรียบ ตัวตนที่แท้จริงของรถรุ่นนี้จะปรากฏขึ้นมาเมื่อขับขี่บนทางสมบุกสมบัน พวงมาลัยที่มีขนาดใหญ่ทำให้ต้องใช้ความตั้งใจในการควบคุมทิศทางขณะขับขี่ผ่านช่วงโค้งต่อเนื่อง การตอบสนองความเร็วค่อยเป็นค่อยไป และมีอาการโคลงอย่างชัดเจน ขณะที่ขนาด และรูปแบบของยางที่ใช้ ทำให้ระยะเบรคค่อนข้างมาก ทำตัวเลขถึง 51 ม. จากการเบรคจนหยุดสนิทที่ความเร็ว 100 กม./ชม. มากกว่า 10 ม. ของระยะเบรคโดยเฉลี่ยของการทดสอบทั่วไป อย่างไรก็ตาม การติดตั้งระบบช่วยเบรคอัตโนมัติมีส่วนช่วยในการใช้งานทั่วไปได้ดีมาก
พื้นที่ใช้สอย และทัศนวิสัย
ห้องโดยสารเน้นความสูงมากกว่าความกว้างขวาง เห็นได้ชัดจากการขึ้นลองนั่งจริง พื้นที่ส่วนใหญ่มาจากความสูงของตัวรถ (มีผลดีในส่วนที่เก็บสัมภาระด้วย) แต่มีความกว้างไม่มากนัก รูปทรงเหลี่ยมของตัวรถมีผลดีในแง่ทัศนวิสัยโดยรอบ
พื้นที่เก็บสัมภาระ
หากเบาะด้านหลังถูกใช้งาน พื้นที่เก็บสัมภาระจะเหลือน้อยมาก จากการทดสอบอยู่ที่ 58 ลิตรเท่านั้น เมื่อเทียบกับตัวเลขจากทางผู้ผลิตที่ 85 ลิตร แม้มีความสูงที่ค่อนข้างมาก แต่มีระยะความลึกเพียง 230 มม. เท่านั้น เมื่อพับเบาะด้านหลังลงมา พื้นที่ใช้สอยจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ส่วนพื้นของที่เก็บสัมภาระจะเป็นพลาสติคแข็ง ทำให้สิ่งของเลื่อนไหลไปมาได้
ระบบความบันเทิง
อุปกรณ์ที่ติดตั้งมาจากโรงงานของ จิมนี ได้แก่ ระบบความบันเทิงที่ประกอบไปด้วย จอภาพระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ติดตั้งบริเวณด้านบนของคอนโซลหน้า อยู่ในระดับสายตาของผู้ขับ แต่มองเห็นได้ชัดเจน เหมาะสมกว่าตำแหน่งหน้าจอของ สวิฟท์ ปุ่มปรับระดับความดังของเครื่องเสียงไม่ใช่ปุ่มหมุนแบบดั้งเดิม แต่ใช้งานผ่านปุ่มมัลทิฟังค์ชันบนพวงมาลัย และใช้การเลื่อนขึ้น/ลงผ่านแถบบนหน้าจอ รูปแบบการแสดงผลมีความเรียบง่าย และมีความละเอียดไม่สูงนัก แต่มีความชัดเจนในตัว เช่น ระบบเนวิเกเตอร์ ระบบวิทยุออนไลน์ การเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ และการเชื่อมต่อผ่านยูเอสบี กับโทรศัพท์มือถือ รองรับ APPLE CAR PLAY และ ANDROID AUTO และแอพพลิเคชัน MIRRORLINK
ข้อมูลทางเทคนิค
รถคันนี้แตกต่างจาก เอสยูวี ยุคปัจจุบันโดยสิ้นเชิง จิมนี ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อการลุยทางสมบุกสมบันอย่างแท้จริง โครงสร้างตัวถังที่วางอยู่บนแชสซีส์ และโครงสร้างที่เน้นความแข็งแรงทนทาน เป็นรูปแบบที่ถูกนำมาใช้ตั้งแต่รุ่นก่อนหน้านี้ และมีการเพิ่มเติมความทันสมัยในรุ่นปัจจุบัน เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร มีระยะช่วงชักที่ยาว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน ให้พละกำลังมากกว่าเดิม มีขนาดกะทัดรัด และมีน้ำหนักเบากว่าเครื่องยนต์บลอคเดิมขนาด 1.3 ลิตร ส่งกำลังร่วมกับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะแบบดั้งเดิม หรือมีทางเลือกกับเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ระบบขับเคลื่อนไร้ระบบอีเลคทรอนิคใดๆ สามารถปรับเปลี่ยนการขับเคลื่อนเป็นแบบ 4 ล้อ หรือการขับเคลื่อนด้วยความเร็วต่ำ เน้นแรงบิดตามแต่สภาวะการขับขี่ รถรุ่นนี้มีระบบลอคเฟืองท้าย อย่างไรก็ตาม หากล้อข้างใดข้างหนึ่งเกิดอาการหมุนฟรี ระบบเบรคจะทำงาน และเปลี่ยนถ่ายการส่งกำลังไปยังล้อฝั่งตรงกันข้าม เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมถูกนำมาใช้เช่นกัน รถรุ่นนี้ติดตั้งระบบังคับเลี้ยวแบบฟันเฟือง และตัวหนอน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า แทนที่ระบบไฮดรอลิค ติดตั้งบนคอพวงมาลัย
รูปแบบการจัดวางเครื่องยนต์แบบดั้งเดิม เป็นแบบเบนซิน 4 สูบเรียง วางตามยาว และระบบส่งกำลังติดตั้งบริเวณกึ่งกลาง
โครงสร้างตัวถังถูกเสริมความแข็งแรงด้วยแท่งโลหะรูปทรงตัวเอกซ์ และคานแข็งจำนวน 2 อัน เพื่อการรองรับแรงบิดที่ดียิ่งขึ้น
ข้อมูลจำเพาะ จากทางผู้ผลิต
เครื่องยนต์
- เครื่องยนต์เบนซิน วางด้านหน้า ตามยาว
- แบบ 4 สูบเรียง
- กระบอกสูบ 74.0 มม.
- ช่วงชัก 85.0 มม.
- ขนาด 1,462 ซีซี
- กำลังสูงสุด 102 แรงม้า ที่ 6,000 รตน.
- แรงบิดสูงสุด 13.5 กก.-ม. ที่ 4,000 รตน.
- เสื้อสูบใช้วัสดุโลหะน้ำหนักเบา
- แคมชาฟท์สำหรับปรับสมดุล 2 ชุด 4 วาล์ว ต่อลูกสูบ (สายพานโซ่)
ระบบส่งกำลัง
- ขับเคลื่อน 4 ล้อ
- เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
ยาง
- บริดจ์สโตน ดูเอเลอร์ เอช/ที 195/80 R15 96S M+S
- ยางอะไหล่
ตัวถัง
- ตัวถังใช้วัสดุโลหะ แบบ 2 กล่อง 5 ประตู 5 ที่นั่ง
- ระบบรองรับด้านหน้า ปีกนกคู่ พร้อมเหล็กกันโคลง
- ระบบรองรับด้านหลัง มัลทิลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง
- ชอคอับแบบไฮดรอลิค
- เบรคด้านหน้า แบบจาน ด้านหลัง แบบดุม
- พวงมาลัยแบบฟันเฟือง และตัวหนอน แปรผันด้วยไฟฟ้า
- ความจุถังน้ำมัน 40 ลิตร
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
- ระยะฐานล้อ 2,230 มม.
- ความกว้างฐานล้อคู่หน้า 1,400 มม. หลัง 1,410 มม.
- ความยาว 3,650 มม. กว้าง 1,650 มม. สูง 1,730 มม.
- น้ำหนัก 1,435 กก. น้ำหนักลากจูง 1,300 กก.
- พื้นที่เก็บสัมภาระ 85/830 ลิตร
ผลิตที่
- เมืองโคไซ ประเทศญี่ปุ่น
การลุยทางสมบุกสมบัน ทำได้สบายหายห่วง
การนำ จิมนี รุ่นล่าสุดไปลุยทางสมบุกสมบันจนเลอะทั่วทั้งคัน อาจทำให้เรารู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่เป็นการพิสูจน์ประสิทธิภาพของรถรุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี หากมองในแง่นี้ก็ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ดังนี้แล้ว เราจึงทดสอบสมรรถนะการลุยบนทางสมบุกสมบันของสนาม VAIRANO บนพื้นที่กว่า 53,000 ตรม. พร้อมด้วยสถานีทดสอบมากมาย และอุปสรรคที่หลากหลาย ท้าทายประสิทธิภาพการลุยทางสมบุกสมบัน รถยนต์ของ ซูซูกิ ต้องผ่านการทดสอบทั้งสิ้น 6 สถานี โดยเป็นการขับเคลื่อนแบบเน้นการลุย และใช้โหมดเกียร์แบบเน้นแรงบิดที่ความเร็วต่ำ ตัวรถถูกออกแบบให้มีมุมที่เหมาะสมรอบคัน และระยะความสูงจากพื้นถนน 210 มม. ทำให้ลุยผ่านอุปสรรคได้อย่างไม่มีปัญหา เช่น การขึ้น/ลงเนินต่อเนื่อง แต่ละช่วงของเนินมีองศาที่แตกต่างกันไป ทดสอบมุมปะทะ มุมจาก และมุมเอียง อย่างเข้มข้น ขณะที่การไต่เนินชันถึง 60 องศา สามารถทำได้ไม่ยากเย็น เนื่องจากการออกแบบรูปทรงของตัวถังที่ลงตัว จิมนี สามารถลุยทางสมบุกสมบันได้ดี ประกอบด้วยอุปสรรคที่หลากหลาย เส้นทางเต็มไปด้วยหลุมบ่อ และขอบทางที่สูง ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อการทดสอบระบบรองรับ และระบบขับเคลื่อน รวมถึงการให้ตัวของระบบรองรับ แน่นอนว่ารถรุ่นนี้สามารถผ่านการทดสอบได้สบาย ระยะฐานล้อที่สั้น และวงเลี้ยวที่แคบ ทำให้การแล่นผ่านส่วนขอบที่สูงได้ดี การยึดเกาะถนนทำได้อย่างน่าพอใจ และตัวรถมีความมั่นคงเป็นอย่างดีในอุปสรรคที่ความยากระดับสูง เช่น สถานีเนินสลับ (เนินจำนวน 2 จุดต่อเนื่องมีตำแหน่งเหลื่อมกัน) ในกรณีที่ระบบเสริมแรงเบรคทำงาน พบว่ามีความแม่นยำเป็นอย่างดี ในกรณีที่ล้อเกิดอาการหมุนฟรี และมีการส่งแรงบิดไปยังล้อฝั่งตรงกันข้ามให้มีการยึดเกาะมากขึ้น จุดบกพร่องที่พอสังเกตได้ คือ ประเภทของยางที่ใช้ไม่เอื้อต่อการยึดเกาะพื้นผิวมากนัก การทดสอบเนินชัน 60 % และพื้นผิวมีหลุมบ่อ และทางหิน ตัวลุยของ ซูซูกิ สามารถผ่านพ้นไปได้ แต่ต้องใช้ความพยายามถึง 2 ครั้ง ผู้ขับต้องใช้ความตั้งใจในการควบคุมรถ เนื่องจากระบบอีเลคทรอนิคยังปล่อยให้ล้อมีอาการหมุนฟรีเล็กน้อย ทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ในบางครั้ง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับสถานีเนินสลับเช่นกัน