ธุรกิจ
Bloomberg NEF รายงานแนวโน้มระยะยาวของรถยนต์ไฟฟ้า
อาลี อิซาดี นาจาฟาบาดี หัวหน้าฝ่ายวิจัยเอเชียแปซิฟิค Bloomberg New Energy Finance (Bloomberg NEF) เปิดเผยว่า การขนส่งทางถนนสามารถบรรลุการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 โดยเปลี่ยนสู่การขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ แต่ผู้กำหนดนโยบาย และผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมต้องเร่งผลักดันนโยบายรถยนต์บางประเภท เช่น รถโดยสารสาธารณะ รถสองล้อ และรถสามล้อ ใกล้ที่จะปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ แต่ก็ยังไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ และต้องการนโยบายเพิ่มเติมที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในยานยนต์ประเภทอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ และขนาดกลาง
“โอกาสที่จะยังคงทำได้ตามเป้าหมายการลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่งทางถนนให้เป็นศูนย์สุทธิ ภายในปี 2593 ยังคงมีอยู่แต่ไม่มาก ภาครัฐ ผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน และผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จไฟฟ้า จำเป็นต้องร่วมกันผลักดันอย่างจริงจังในอีกหลายปีข้างหน้า
รายงาน “แนวโน้มระยะยาวของรถยนต์ไฟฟ้า” กล่าวถึงความเป็นไปได้ 2 ทางของการใช้การขนส่งทางไฟฟ้าจากนี้ไปจนถึงปี 2593 และศึกษาผลกระทบที่จะมีต่ออุตสาหกรรมแบทเตอรี แร่ธาตุ น้ำมัน ไฟฟ้า สาธารณูปโภคพื้นฐาน และการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ ความเป็นไปได้แรก คือ การขับเคลื่อนโดยการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ (The Economic Transition Scenario: ETS) ซึ่งอยู่บนสมมติฐานว่าภาครัฐไม่มีการออกนโยบาย หรือกฎระเบียบใหม่ๆ และการเปลี่ยนแปลงจะถูกขับเคลื่อนโดยแนวโน้มด้านเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ตลอดจนแรงขับคลื่อนจากกลไกตลาด ความเป็นไปได้ที่สอง คือ การมองหาแนวทางที่เป็นไปได้ในการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์จากการขนส่งทางถนนภายในปี 2593 ซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเป็นตัวขับเคลื่อนของการเปลี่ยนพฤติกรรมที่สำคัญนำไปสู่การใช้เทคโนโลยียานยนต์เพื่อผลักดันให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับปี 2593
ยอดขายรถยนต์โดยสารไฟฟ้าคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเพิ่มขึ้นจาก 6.6 ล้านคัน ในปี 2564 เป็น 21 ล้านคัน ในปี 2568 ตามความเป็นไปได้ของการขับเคลื่อนโดยการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ จำนวนรถไฟฟ้าที่วิ่งบนถนนทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นเป็น 77 ล้านคัน ในปี 2568 และ 229 ล้านคัน ในปี 2573 เพิ่มจาก 16 ล้านคัน เมื่อสิ้นปี 2564 ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานสู่รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมาจนถึงปัจจุบัน
การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ลดความต้องการใช้น้ำมันต่อวันลง 1.5 ล้านบาร์เรล โดยส่วนใหญ่จะเป็นการปรับลดจากรถยนต์ไฟฟ้าสองล้อ และสามล้อ ในภูมิภาคเอเชีย แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าโดยสารที่กำลังเพิ่มขึ้นทำให้อัตราการลดลงของการใช้น้ำมันต่อวันเร็วขึ้นเป็น 2.5 ล้านบาร์เรล ภายในปี 2568 ในภาพรวมความต้องการใช้น้ำมันสำหรับการขนส่งทางรถ คาดว่าจะอยู่จุดสูงสุดในปี 2570 เนื่องจากการใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้แพร่หลายไป อย่างการขนส่งทางรถทุกประเภท ยอดขายของรถยนต์สันดาปภายในอยู่ในจุดสูงสุดตั้งแต่ปี 2560 และ Bloomberg NEF คาดว่าการใช้รถยนต์สันดาปทั่วโลกจะเริ่มลดลงในปี 2567
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่งทางถนนทั่วโลกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 รถยนต์ที่ปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์จะต้องมีจำนวน 61 % ของยอดขายใหม่ของรถยนต์โดยสารภายในปี 2573 และเป็น 93 % ภายในปี 2578 และหลังจากนั้นจะต้องไม่มีการขายรถยนต์สันดาปหลังจากปี 2581 รายงานยังระบุด้วยว่าเทคโนโลยีเก็บพลังงานไฟฟ้าสำรองไว้ในแบทเตอรียานยนต์ไฟฟ้า และป้อนกลับเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าเมื่อไม่ได้ใช้งาน (vehicle-to-grid: V2G) จะมีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ และเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับโลกจากภาคการขนส่ง มีสัญญาณที่เป็นบวกอย่างยิ่งว่าตลาดกำลังปรับไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ว่าต้องมีนโยบายที่จะผลักดันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของรถบรรทุกเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ และควรจะมีการสนับสนุนทางด้านการเงินแก่ตลาดที่กำลังพัฒนา เพื่อช่วยให้มีการปรับเปลี่ยน และเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าในทุกประเภท
รายงานของ Bloomberg NEF ยังระบุอีกด้วยว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว และองค์กรในระดับนานาชาติควรที่จะรวมการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า การให้สิทธิประโยชน์ และการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จ เข้าสู่แผนงานด้านการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในระดับโลก และทำให้ตลาดที่กำลังพัฒนาที่มีแผนการทำงานที่น่าเชื่อถือในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ที่ผ่านมาการให้การสนับสนุนทางการเงินแบบผ่อนปรนเป็นตัวผลักดันให้การพัฒนาในด้านการผลิตพลังงานหมุนเวียนในประเทศ
เศรษฐกิจเกิดใหม่ ดังนั้นความช่วยเหลือนี้ อาจมีบทบาทคล้ายกัน และใช้ได้กับภาคธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า
ภายใต้การขับเคลื่อนโดยการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ การใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกคาดว่าจะมีจำนวน 469 ล้านคัน ภายในปี 2578 แต่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกต้องเพิ่มเป็น 612 ล้านคัน ภายในช่วงเวลาเดียวกัน หากขับเคลื่อนโดยการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ ซึ่งความแตกต่างนี้จะสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้ในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ในขณะที่ประเทศที่มีรายได้สูง ควรให้ความสนใจกับการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านในตลาดเกิดใหม่ และหลีกเลี่ยงการชะลอตัวของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก
เมื่อพิจารณาจากรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ จะพบว่ารถยนต์ไฟฟ้าสองล้อ และสามล้อ รวมถึงรถโดยสารสาธารณะเกือบจะบรรลุเป้าหมายการขับเคลื่อนให้ความเป็นไปได้แบบที่สองเกิดขึ้นได้จริง แต่รถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ยังคงมีการปรับตัวที่ช้าเกินไป และจำเป็นต้องมีมาตรการผลักดันเพิ่มเติม ภายใต้ความเป็นไปได้แบบแรก ที่เน้นการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจปกติ รถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ 29 % ต้องมีการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ ภายในปี 2593 ซึ่งต่ำกว่าจำนวนที่ความเป็นไปได้แบบที่สองต้องการอย่างมาก นอกเหนือไปจากการดูแลธุรกิจพลังงานอย่างใกล้ชิดขึ้น และการออกมาตรฐานการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ของรถบรรทุก ภาครัฐควรที่จะพิจารณาการใช้รถยนต์ไฟฟ้าภาคบังคับ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของภาครัฐเอง หรือผู้ประกอบการขนส่ง ภาครัฐควรที่จะพิจารณาจัดโซนในเมืองที่มีการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ และให้สิทธิประโยชน์ในการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกขนาดเล็ก ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้าได้เร็วกว่าขนาดใหญ่
รายงานยังคงศึกษาด้วยว่า แบทเตอรี หรือแผงผลิตพลังงาน จะเป็นทางออกที่ดีกว่าสำหรับการขนส่งสินค้าในระยะทางไกลของรถบรรทุกขนาดใหญ่ ภายในทศวรรษ 2020 สถานีชาร์จขนาดเมกะวัตต์ และการมีแบทเตอรีที่ให้พลังงานไฟฟ้าที่สูงขึ้น จะทำให้การใช้งานของรถบรรทุกไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยแบทเตอรีเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการขนส่งสินค้าระยะทางไกลที่ใช้งานหนัก โดยเฉพาะกรณีการใช้งานที่จำกัดปริมาณ การให้พลังงานไฟฟ้าผ่านแบทเตอรีโดยตรงจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ และได้ผลคุ้มค่ามากที่สุด ในการที่จะลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ของการขนส่งทางถนน ซึ่งรวมถึงรถบรรทุก และควรจะใช้กับการขนส่งประเภทอื่นด้วย รถที่ใช้พลังงานจากไฮโดรเจนสามารถที่จะช่วยเสริมในกรณีที่มีอุปสรรคในการใช้พลังงานจากแบทเตอรีในการขนส่งด้วยรถบรรทุกไฟฟ้า
นอกจากนี้ การลดการพึ่งพาการใช้รถยนต์ด้วยการใช้การขนส่งสาธารณะ การเดิน ขี่จักรยาน หรือมาตรการอื่นๆ เท่าที่จะทำได้ การลดลงของการเดินทางด้วยรถยนต์ 10 % ภายในปี 2593 จะทำให้จำนวนรถบนถนนลดลง 200 ล้านคัน และลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์รวมเป็น 2.25 กิกะตัน และลดภาระต่อห่วงโซ่การผลิตของแบทเตอรี ซึ่งทั้งหมดจะเป็นผลดีต่อเป้าหมายของการลดแกสคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะยาว
ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากำลังสนใจศึกษาตลาดสำหรับวัตถุดิบในการทำแบทเตอรี ซึ่งค่อนข้างตึงตัวไปอีกหลายปีข้างหน้า การลงทุนในห่วงโซ่การผลิตแบทเตอรียังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากในอนาคตอันใกล้ เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดแคลนของอุปทาน อย่างไรก็ดี ต้นทุนแบทเตอรีที่เพิ่มขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าในเร็วๆ นี้ ปัจจัยที่กำลังส่งผลให้ต้นทุนแบทเตอรีสูงขึ้น เช่น สงคราม เงินเฟ้อ หรือความตึงเครียดทางการค้า กำลังผลักดันให้ราคาน้ำมันเบนซิน และดีเซล เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคมีความสนใจในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสม
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/413672