ธุรกิจ 6 Mar 2022
Bentley อวดพลังงาน Flying Spur Hybrid
ครูว์-Flying Spur Hybrid กว่า 9 คัน ขับขี่อวดโฉมใจกลางย่านเบเวอร์ลี ฮิลส์ ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นระยะทางกว่า 16,898 กม. โดยมีการขับขี่โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากว่า 4,828 กม. ซึ่งเทียบเท่ากับการขับข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งของประเทศ พร้อมคุณสม บัติการประหยัดน้ำมันได้ถึง 3 แกลลอน/วัน เมื่อเทียบกับ Flying Spur V8
สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติกว่า 100 คนจากทั่วโลกมีโอกาสได้สัมผัส Flying Spur Hybrid ใหม่ ในแคลิฟอร์เนียด้วยการขับขี่ในรูปแบบมอเตอร์ไฟฟ้าจากย่านเบเวอร์ลี ฮิลส์ ผ่านทิวทัศน์อันงดงามของเทือกเขา Ojai ไปจนถึงความงดงามของเมืองชายฝั่งใน Santa Barbara โดย Flying Spur Hybrid ได้ประมวลผลข้อมูลการขับขี่ในแต่ละวันและแสดงให้เห็นว่ากว่า 30 % ของการขับขี่เป็นการใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้า
ตลอดเส้นทางกว่า 312 กม. โดยแบ่งเป็นการขับขี่บนเส้นทางหลัก 50 % การขับขี่บนถนนในแถบชนบท 44 % และการขับขี่ในเมือง 6 % ระบบนำทางอัจฉริยะได้คำนวณการใช้พลังงานแบทเตอรีออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการเก็บข้อมูลการขับขี่ และการใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าในสภาพแวดล้อมของเมือง บนถนนทั่วไป และในสภาพการจราจรที่ติดขัด
ในการศึกษางานวิจัยล่าสุดของ Bentley ระบุว่า ลูกค้ากว่า 70 % ได้เผยถึงเหตุผลด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเหตุผลอัน ดับแรกในการเลือกซื้อรถยนต์ไฮบริด โดยกว่า 98 % มีการขับขี่ในโหมดมอเตอร์ไฟฟ้าทุกวัน และ 83 % มีการชาร์จแบทเตอรีรถยนต์ทุกวัน
อย่างไรก็ตาม ลูกค้ายังคงต้องการสมรรถนะในการขับขี่แบบรถยนต์ Grand Touring โดยการใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าในวันทำงาน และการใช้ระบบส่งกำลังแบบสันดาปภายในสำหรับกิจกรรมในวันหยุดสุดสัปดาห์ ดังนั้นจึงทำให้รถยนต์แบบไฮบริดเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด สำหรับการเลือกครอบครองรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ของ Bentley นั้นแสดงให้เห็นเป็นตัวเลขยอดขายในปีที่แล้ว โดย 1 ใน 5 ของยอดขายอัครยนตรกรรมเอสยูวี รุ่น Bentayga เป็นแบบเครื่องยนต์ไฮบริด
เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 อัครยนตรกรรมต้นแบบ รุ่น Flying Spur Hybrid ได้เดินทางกว่า 724 กม. ทั่วประเทศไอซ์แลนด์ด้วยเชื้อเพลิงชีวภาพเจเนอเรชันที่ 2 จำนวน 1 ถัง และแบทเตอรีที่ชาร์จไฟจากความร้อนใต้ดิน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงสมรรถนะในการขับขี่ของอัครยนตรกรรม Grand Touring ขณะที่ยังคงช่วยลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ลงกว่า 80 % เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเบนซินแบบธรรมดา การผสมผสานของประโยชน์ในการขับขี่ด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้าในเมือง และสมรรถนะในการขับขี่อีก 643 กม. ด้วยการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความมุ่งมั่นของ Bentley ต่อรถยนต์ไฮบริด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ "Beyond100" เพื่อการขับเคลื่อนสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ
Flying Spur Hybrid ได้แสดงให้เห็นว่าระบบไฮบริดไม่ได้ลดทอนความหรูหรา หรือสมรรถนะของรถยนต์แต่ประการใด แต่ด้วยการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน และมอเตอร์ไฟฟ้าจึงทำให้สัมผัสได้ถึงความเงียบสงบในทุกรูปแบบของการขับ ขี่
ระบบส่งกำลังแบบใหม่ผสมผสานกับเครื่องยนต์เบนซินรุ่น วี 6 ขนาด 2.9 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าเทคโนโลยีล่าสุด ผลิตพละกำลังกว่า 536 แรงม้า ด้วยแรงบิด 76.5 กก.-ม. หรือ 750 นิวตัน-เมตร โดยผลิตพละกำลังเพิ่มขึ้นกว่า 95 แรงม้า เมื่อเทียบกับ Bentayga Hybrid
มอเตอร์อีเลคทรอนิคส์เทคโนโลยีล่าสุดติดตั้งอยู่ระหว่างเกียร์อัตโนมัติ และเครื่องยนต์ ผลิตพละกำลังสูงสุด 134 แรงม้า แรงบิด 40.8 กก.-ม. หรือ 400 นิวตัน-เมตร พร้อมมอเตอร์ซิงโครนัสชนิดแม่เหล็กถาวรให้แรงบิดเต็มกำลังในทันทีเพื่อการเร่งความเร็วจากการสตาร์ทแบบจอดสตาร์ท
E-Motor ใช้พลังงานจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาด 18.9 กิโลวัตต์ และสามารถชาร์จไฟได้ 100 % ในระยะเวลาเพียง 2 ชม. ครึ่ง (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับแต่ละภูมิภาค) โดยมีอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์แปลงพลังงานที่เก็บไว้จากแบทเตอรีแรงสูงเพื่อจ่ายให้แก่ E-Motor หรือเสริมกับอุปกรณ์ประจุไฟฟ้าของรถยนต์ขนาด 12 วัตต์
Flying Spur ได้รับการออกแบบให้เป็นอัครยนตรกรรมที่เหมาะสำหรับทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ห้องโดยสารที่หรูหราแบบร่วมสมัยได้ยกระดับการผสมผสานองค์ประกอบหลักจากดีเอนเอของ Bentley เข้ากับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย และงานฝีมือที่ดีที่สุดของโลก ประกอบกับรายละเอียดที่พิถีพิถัน พื้นผิวแกะสลัก และลวดลายเส้นสายอันร่วมสมัยที่จะทำให้ผู้ครอบครองสัมผัสได้ถึงประสบการณ์สุดพิเศษไปตลอดเส้นทาง
ความประณีต และความพิถีพิถันของงานฝีมือถือเป็นอัตลักษณ์ของ Bentley โดยสำหรับในโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจะสามารถลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารได้กว่า 50 % เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์สันดาป ผู้โดยสารจึงสัมผัสได้ถึงความเป็นส่วนตัว พร้อมความหรูหรา และความเงียบสงบภายในห้องโดยสาร
สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติกว่า 100 คนจากทั่วโลกมีโอกาสได้สัมผัส Flying Spur Hybrid ใหม่ ในแคลิฟอร์เนียด้วยการขับขี่ในรูปแบบมอเตอร์ไฟฟ้าจากย่านเบเวอร์ลี ฮิลส์ ผ่านทิวทัศน์อันงดงามของเทือกเขา Ojai ไปจนถึงความงดงามของเมืองชายฝั่งใน Santa Barbara โดย Flying Spur Hybrid ได้ประมวลผลข้อมูลการขับขี่ในแต่ละวันและแสดงให้เห็นว่ากว่า 30 % ของการขับขี่เป็นการใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้า
ตลอดเส้นทางกว่า 312 กม. โดยแบ่งเป็นการขับขี่บนเส้นทางหลัก 50 % การขับขี่บนถนนในแถบชนบท 44 % และการขับขี่ในเมือง 6 % ระบบนำทางอัจฉริยะได้คำนวณการใช้พลังงานแบทเตอรีออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการเก็บข้อมูลการขับขี่ และการใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าในสภาพแวดล้อมของเมือง บนถนนทั่วไป และในสภาพการจราจรที่ติดขัด
ในการศึกษางานวิจัยล่าสุดของ Bentley ระบุว่า ลูกค้ากว่า 70 % ได้เผยถึงเหตุผลด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเหตุผลอัน ดับแรกในการเลือกซื้อรถยนต์ไฮบริด โดยกว่า 98 % มีการขับขี่ในโหมดมอเตอร์ไฟฟ้าทุกวัน และ 83 % มีการชาร์จแบทเตอรีรถยนต์ทุกวัน
อย่างไรก็ตาม ลูกค้ายังคงต้องการสมรรถนะในการขับขี่แบบรถยนต์ Grand Touring โดยการใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าในวันทำงาน และการใช้ระบบส่งกำลังแบบสันดาปภายในสำหรับกิจกรรมในวันหยุดสุดสัปดาห์ ดังนั้นจึงทำให้รถยนต์แบบไฮบริดเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด สำหรับการเลือกครอบครองรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ของ Bentley นั้นแสดงให้เห็นเป็นตัวเลขยอดขายในปีที่แล้ว โดย 1 ใน 5 ของยอดขายอัครยนตรกรรมเอสยูวี รุ่น Bentayga เป็นแบบเครื่องยนต์ไฮบริด
เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 อัครยนตรกรรมต้นแบบ รุ่น Flying Spur Hybrid ได้เดินทางกว่า 724 กม. ทั่วประเทศไอซ์แลนด์ด้วยเชื้อเพลิงชีวภาพเจเนอเรชันที่ 2 จำนวน 1 ถัง และแบทเตอรีที่ชาร์จไฟจากความร้อนใต้ดิน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงสมรรถนะในการขับขี่ของอัครยนตรกรรม Grand Touring ขณะที่ยังคงช่วยลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ลงกว่า 80 % เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเบนซินแบบธรรมดา การผสมผสานของประโยชน์ในการขับขี่ด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้าในเมือง และสมรรถนะในการขับขี่อีก 643 กม. ด้วยการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความมุ่งมั่นของ Bentley ต่อรถยนต์ไฮบริด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ "Beyond100" เพื่อการขับเคลื่อนสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ
Flying Spur Hybrid ได้แสดงให้เห็นว่าระบบไฮบริดไม่ได้ลดทอนความหรูหรา หรือสมรรถนะของรถยนต์แต่ประการใด แต่ด้วยการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน และมอเตอร์ไฟฟ้าจึงทำให้สัมผัสได้ถึงความเงียบสงบในทุกรูปแบบของการขับ ขี่
ระบบส่งกำลังแบบใหม่ผสมผสานกับเครื่องยนต์เบนซินรุ่น วี 6 ขนาด 2.9 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าเทคโนโลยีล่าสุด ผลิตพละกำลังกว่า 536 แรงม้า ด้วยแรงบิด 76.5 กก.-ม. หรือ 750 นิวตัน-เมตร โดยผลิตพละกำลังเพิ่มขึ้นกว่า 95 แรงม้า เมื่อเทียบกับ Bentayga Hybrid
มอเตอร์อีเลคทรอนิคส์เทคโนโลยีล่าสุดติดตั้งอยู่ระหว่างเกียร์อัตโนมัติ และเครื่องยนต์ ผลิตพละกำลังสูงสุด 134 แรงม้า แรงบิด 40.8 กก.-ม. หรือ 400 นิวตัน-เมตร พร้อมมอเตอร์ซิงโครนัสชนิดแม่เหล็กถาวรให้แรงบิดเต็มกำลังในทันทีเพื่อการเร่งความเร็วจากการสตาร์ทแบบจอดสตาร์ท
E-Motor ใช้พลังงานจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาด 18.9 กิโลวัตต์ และสามารถชาร์จไฟได้ 100 % ในระยะเวลาเพียง 2 ชม. ครึ่ง (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับแต่ละภูมิภาค) โดยมีอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์แปลงพลังงานที่เก็บไว้จากแบทเตอรีแรงสูงเพื่อจ่ายให้แก่ E-Motor หรือเสริมกับอุปกรณ์ประจุไฟฟ้าของรถยนต์ขนาด 12 วัตต์
Flying Spur ได้รับการออกแบบให้เป็นอัครยนตรกรรมที่เหมาะสำหรับทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ห้องโดยสารที่หรูหราแบบร่วมสมัยได้ยกระดับการผสมผสานองค์ประกอบหลักจากดีเอนเอของ Bentley เข้ากับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย และงานฝีมือที่ดีที่สุดของโลก ประกอบกับรายละเอียดที่พิถีพิถัน พื้นผิวแกะสลัก และลวดลายเส้นสายอันร่วมสมัยที่จะทำให้ผู้ครอบครองสัมผัสได้ถึงประสบการณ์สุดพิเศษไปตลอดเส้นทาง
ความประณีต และความพิถีพิถันของงานฝีมือถือเป็นอัตลักษณ์ของ Bentley โดยสำหรับในโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจะสามารถลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารได้กว่า 50 % เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์สันดาป ผู้โดยสารจึงสัมผัสได้ถึงความเป็นส่วนตัว พร้อมความหรูหรา และความเงียบสงบภายในห้องโดยสาร
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิต
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/online/401222