เราเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งหลังสุด 3 เดือนแล้ว ยังไม่รู้ ไม่เห็นหน้าตารัฐบาล แปลกมากนับแต่มีชีวิตอยู่กับการเลือกตั้งร่วมกันกับเพื่อนมาหลายสิบปี
การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นของใหม่ตามรัฐธรรมนูญใหม่ ผลการเลือกตั้งจึงเกลื่อนกลาดด้วย สส. พึงมี จากหลายพรรคการเมือง
สมัยก่อน เราเคยเมิน “พรรคต่ำสิบ” สมัยนี้ไม่มอง “พรรคสิบเอ็ด” ไม่ได้
ปัญหาการเมืองวันนี้ มาจากผลเลือกตั้งที่ก่อให้เกิดการรวมพรรคการเมืองหลายพรรคเพื่อจัดตั้งรัฐบาล การรวบรวมพรรคจึงมากมายด้วยรายละเอียด ชักเย่อกันไปมาตามภาษาการเมือง
หากเราว่า ผลการเลือกตั้งสามารถแบ่งประชาชนออกเป็น 2 ขั้วการเมืองได้ ก็น่าห่วงใยความแตกแยกทางสังคม เพราะเราเคยลิ้มรสชาติความแตกแยกมาแล้วในอดีต
แต่ภาพที่ออกมา มันก็เป็น 2 ขั้วการเมือง ซึ่งนอกจากเราห่วงความแตกแยกแล้ว ยังมองไม่เห็นความมั่นคงของรัฐบาลที่ประกอบด้วยหลายพรรคการเมือง กลายเป็นรัฐบาลบัวปริ่มน้ำ มีเสียงเกินครึ่งในสภา 500 แบบกระจุ๋มกระจิ๋ม
เขียนไปก็เท่านั้น สุดแต่คนเขียนจะมองโลกสวยอย่างไร
เราเขียนเรื่องนี้ ขณะ 2 พรรคการเมืองยังแข่งขันกันจัดตั้งรัฐบาล เหมือนคนสองคนแย่งกันกินปลาตัวเดียว โดยมีคนกลางอ้าปากกว้าง
การเดินหมากทางการเมืองวันนี้ เป็นการสำแดงความเป็นนักเมือง หมิ่นเหม่อย่างมากต่อความเบื่อหน่ายแบบซ้ำซากของประชาชน โดยเฉพาะการสำแดงบทบาทของคนกลางที่กำลังอ้าปาก มีอิทธิพลพอที่จะทำให้คนสองคนที่กำลังแย่งกันกินปลาอย่างหน้ามืดตามัว
การเลือกตั้งเป็นการแสดงอำนาจของประชาชน ประเทศชาติจะเดินหน้าไปทางใดก็ขึ้นอยู่กับการแสดงอำนาจของปวงชนในวันเลือกตั้ง
เข้าข่ายให้ นักการเมืองทุกขั้วการเมืองพูดข้อเท็จจริงหลังการเลือกตั้งว่า “ต้องฟังเสียงประชาชน”
ก็ไม่ผิดอะไร แต่นักการเมืองนอกจากฟังเสียงประชาชนแล้ว ต้องไม่ลืม “ประเทศชาติ” เพราะตนคือ ผู้นำพาประเทศชาติหลังการจัดตั้งรัฐบาล
นักการเมืองย่อม รู้ซึ้งในแผ่นดิน ความเป็นชาติประเทศของตน ณ วันนี้ควรจะเดินหน้าอย่างไรย่อมมองภาพประจักษ์ดีกว่าประชาชน นักการเมืองระดับนี้ย่อมต้องมีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกลเพื่อนำพาชาติ-ประชาชนไปสู่เป้าหมาย
โปรดใช้วิสัยทัศน์ แห่งความเป็นผู้นำที่ดี เห็นแก่ “ชาติ-ประชาชน” เป็นสำคัญ