เรื่องน่ารู้
สัมผัสสมุทรสงคราม หาความสุขแบบบ้านๆ ที่มีอยู่จริง !
"เจื้อยแจ้วแว่วเสียงสำเนียงขับร้อง ดั่งเพลงมนต์รักแม่กลอง ล่องลอยพลิ้วหวานซ่านมา กล่อมสาวงามบ้านอัมพวา มนต์รักแม่กลองแว่วมา เหมือนสายธาราแม่กลองรำพัน..."นี่คือเพลง "มนต์รักแม่กลอง" ที่คนหนุ่มวัย 30 กว่าอย่างผม ได้ฟังครั้งใดก็ยังติดตรึงใจอยู่ ชวนให้หวนคิดถึงบรรยากาศสบายๆ ริมน้ำ...ทันทีที่เพลงจบ ผมก็รู้ทันทีว่า เราต้องไปไหนกัน !
ใช่แล้วครับ...สมุทรสงคราม แหล่งอารยธรรมแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ไม่เคยจางหาย แต่เดี๋ยวครับ ! อย่าเพิ่งนึกถึงแค่ตลาดน้ำอัมพวาอย่างเดียว จังหวัดนี้ยังมีอะไรให้คุณประหลาดใจอยู่อีกเยอะ ผมจะพาไปเปิดมุมมองใหม่ๆ ที่บางครั้งคุณอาจมองข้ามไป
แวะชมนาเกลือ วิถีแห่งเกลือสมุทร
อย่างที่รู้กัน จังหวัดสมุทรสงคราม คือทางผ่านที่จะไปหัวหิน หลายคนคุ้นเคยดีกับวิวนาเกลือสีขาว ที่มีฉากหลังเป็นกังหันลมขนาดใหญ่เกือบตลอดสองข้างทาง ถ้าคุณหยุดรถแล้วสังเกตอย่างตั้งใจละก็ เรื่องราว ณ จุดนี้ ก็มีเสน่ห์ไม่เบาเหมือนกันนะ
เกลือเหล่านี้ คือ "เกลือสมุทร" ที่เกิดจากการนำน้ำทะเลมาผ่านกระบวนการแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยอาศัยหลักการหมุนเวียนน้ำในนาเกลือที่ต่างระดับกัน มีกังหันลมทำหน้าที่หมุนเวียนน้ำ ผลึกเกลือจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ คน น้ำ สายลม และแสงแดด ทำงานสัมพันธ์กัน จนน้ำทะเลระเหยเหลือแต่ผลึกเกลือเม็ดสีขาว
เกลือสมุทรมีสารไอโอดีนผสมอยู่ตามธรรมชาติ จึงเหมาะมากกับการบริโภค "ชาวนาข้าวชอบฝน ชาวนาเกลือชอบแดด" นี่คือเรื่องจริงของวิถีนี้ เพราะนาเกลือต้องทำตอนไม่มีฝน โดยฤดูทำนาเกลือจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม เท่านั้น
ดอนหอยหลอด ดอนนี้ไม่ได้มีแต่หอย
ชมนาเกลือแล้ว ต้องต่อด้วย "ดอนหอยหลอด" ถือเป็นของคู่กัน สถานที่นี้อยู่ซ้ายมือก่อนเข้าตัวจังหวัด เสียดายสุดๆ ตอนที่เราไปเป็นคืนข้างขึ้น น้ำทะเลเลยลงไม่สุด (ไม่แห้ง) อดโชว์เสียบหอยให้ดูเลย
ดอนหอยหลอด เป็นสันดอนอยู่ปากน้ำแม่กลอง เกิดจากการตกตะกอนของดินปนทราย เป็นที่อยู่ของหอยหลายชนิด เช่น หอยลาย หอยปุก หอยปากเป็ด หอยแครง และที่มีมากสุด ก็คือ หอยหลอด นั่นเอง
การจับหอยต้องจับในช่วงที่น้ำลงจนแห้ง โดยใช้ไม้เล็กๆ เท่าก้านธูป จุ่มปูนขาว แล้วแทงไปในรูหอยหลอด ถ้าโดนตัว หอยจะเมาปูนแล้วโผล่ขึ้นมาให้เราจับ แต่ห้ามสาดปูนขาวลงสันดอนเด็ดขาด เพราะจะทำให้หอยอื่นที่อยู่ในบริเวณนั้นตายหมด
นอกจากการจับหอยแล้ว ดอนหอยหลอด ยังมีร้านอาหารทะเลสดๆ อยู่หลายร้าน รวมถึงร้านขายอาหารทะเลริมทาง ที่ชาวบ้านแปรรูปให้เลือกซื้ออีกมากมาย ในราคาไม่แพง
แวะซื้อปลาทู ที่ตลาดร่มหุบ
เมื่อเข้าถึงตัวเมืองแล้ว ไฮไลท์ที่ต้องชมให้ได้ คือ "ตลาดร่มหุบ" หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ตลาดเสี่ยงตาย ! มีลักษณะเหมือนตลาดสดทั่วไป แต่วางขายชิดรางรถไฟ ที่สำคัญ รถไฟใช้วิ่งอยู่ทุกวันด้วย
ด้วยความที่พ่อค้าแม่ค้าวางสินค้าบนพื้นจนกินเนื้อที่บนรางรถไฟ ทันทีที่ได้ยินเสียงหวูด พ่อค้าแม่ค้าก็ต้องรีบหุบร่ม และเก็บสินค้าของตัวเองให้เร็วที่สุด ผมลองคำนวณดูแล้ว แต่ละเจ้าใช้เวลาไม่เกิน 10 วินาทีเท่านั้น เร็วมากจนกลายเป็นเสน่ห์ที่ชวนสัมผัสประจำถิ่นนี้ไปเสียแล้ว ส่วนเวลาที่รถไฟวิ่งผ่านนั้นเพียงวันละ 8 รอบ คือเวลา 06.20, 08.30, 09.00, 11.10, 11.30, 14.30, 15.30 และ 17.40 น.
เมื่อรถไฟลับตาแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกอย่าง คือ การเลือกซื้อปลาทูแม่กลอง ตามสโลแกน "หน้างอ คอหัก" โดยปลาทูแม่กลองแท้ๆ จะมีหัวเป็นสามเหลี่ยม ลำตัวแบนสั้น มีเนื้อเยอะ และนิ่ม เมื่อกดแล้วจะไม่ยุบตามแรงกด ลำตัวสีเงิน หรืออมเขียว ด้วยความที่พื้นที่ชายฝั่งแถบนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุนานาชนิด ปลาทูที่นี่จึงเนื้อแน่น และมีความมันกว่าที่ไหนๆ ของแบบนี้ต้องมาพิสูจน์ !
บ้านกุ้งแม่น้ำ ที่พักชิลล์ๆ ของคนชอบกุ้ง
เมื่อยามเย็นมาถึง เราเลือกเข้าพักที่ "บ้านกุ้งแม่น้ำโฮมสเตย์" ที่พักบรรยากาศสบายๆ ริมแม่น้ำแม่กลอง ที่นี่เราสามารถตกกุ้งได้เลยจากหน้าห้องพัก ถ้าตกกุ้งไม่เป็นแต่มีใจอยากตก สามารถปรึกษาน้าจืด เจ้าของโฮมสเตย์นี้ได้ แกเป็นอดีดเซียนตกกุ้งประจำถิ่นเชียวละ
ที่พักแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของชมรมคนตกกุ้ง และเป็นแหล่งรับซื้อกุ้งแม่น้ำจากชาวบ้านที่ตกกุ้งเป็นอาชีพอีกด้วย ดังนั้นที่นี่จึงมีกุ้งแม่น้ำไม่ขาดมือ แถมราคายังถูกกว่าที่อื่น เรื่องอาหารก็มีบริการ ด้วยความที่เจ๊ติ๋ม (ภรรยาของน้าจืด) แกทำอาหารอร่อย ผมไม่รอช้า สั่งอาหารจากวัตถุดิบที่เราไปเจอมาวันนี้ทันที นั่นคือ ต้มยำปลาทูแม่กลอง, หอยหลอดผัดฉ่า และกุ้งแม่น้ำเผา รสชาติอาหารจัดจ้านถึงเครื่องดีจริงๆ ปลาก็สด กุ้งก็ใหญ่ เนื้อแน่นมาก...โอ้ ! นึกแล้วน้ำลายไหล อยากกลับไปกินอีก
โฮมสเตย์แห่งนี้มีกว่า 10 ห้อง สามารถรับรองลูกค้าได้เกิน 50 คนสบายๆ ห้องพักทุกห้องติดริมน้ำ และริมสวน ส่วนค่าห้องพักอยู่ที่ประมาณ 800-1,200 บาท ขึ้นอยู่กับช่วงวันที่เข้าพัก
สัมผัสวิถีคนตกกุ้ง พร้อมพิสูจน์หิ่งห้อยนับร้อย
ทันทีที่ฟ้ามืดสนิท ผมว่าจ้างเรือหางยาวเป็นพาหนะ สิ่งแรกที่เห็น คือ คนตกกุ้งจอดเรือริมตลิ่ง ในเรือมีแสงไฟจากตะเกียงแกส พร้อมคันเบ็ดไม้ไผ่เรียงรายอยู่หลายคัน ด้านหลังเขานั้นมีกระชังใส่กุ้งสีฟ้าอยู่ด้วย ผมรู้สึกว่า เขาต้องใช้สมาธิพอสมควร เดี๋ยวยกคันนั้นทีคันนี้ที กว่าจะได้แต่ละตัวไม่ง่ายเลยทีเดียว
ไม่นานนักผมก็เลยไปชมหิ่งห้อยใต้ต้นลำพู แสงระยิบระยับจากตัวมัน ที่ล่องลอยไปมาทั่วต้นลำพู ทำให้ผมอึ้ง ! อะไรมันจะสวยงามขนาดนั้น ใครที่ไม่เจอกับตัว ไม่มีวันเข้าใจแน่
ช่วงเช้าของวันใหม่ ผมออกไปชมวิถีคนตกกุ้งอีกครั้ง คราวนี้สมใจหวัง เห็นตอนกำลังตกกุ้งได้พอดี ตัวมันใหญ่ไม่ใช่เล่น คุ้มค่าแล้วกับทริพนี้
ตลาดน้ำท่าคา วิถีแห่งความสุข
ช่วงที่เราไปเป็นช่วงขึ้น 12 ค่ำ ซึ่งตรงกับตลาดน้ำท่าคาเปิดพอดี ในหนึ่งเดือนตลาดแห่งนี้จะเปิดแค่ 6 วันเท่านั้น (ทุกๆ 5 วัน) เฉพาะในวันขึ้น หรือแรม 2 ค่ำ 7 ค่ำ และ 12 ค่ำ
ตลาดน้ำแห่งนี้ยังคงความเป็นธรรมชาติของวิถีชีวิตชาวบ้านอย่างสมบูรณ์ เมื่อถึงวันที่ตลาดเปิด ชาวบ้านก็จะพายเรือนำผลผลิตจากสวนของตัวเองมาขาย เช่น พริก หอม กระเทียม น้ำตาลปึก มะพร้าว ส้มโอ กล้วย ฯลฯ ด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง เหมือนมาพบปะพูดคุยกันเสียมากกว่า ราคาขายเกือบทุกอย่างจึงถูกมาก
ตลาดเริ่มตั้งแต่ 8 โมง ไปจนถึง 11 โมงเช้า ยิ่งสายเท่าไร พ่อค้าแม่ค้าก็เยอะมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นไม่ต้องรีบมาแต่เช้าก็ได้ แต่ถ้ามาสายมากๆ ของดีๆ อาจหมด ผมไม่รู้ด้วยนะ
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
ภาพโดย : จินดา ลัยนันท์
คอลัมน์ Online : เรื่องน่ารู้
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/178361