ทดลองขับ(formula)
นิสสัน เอกซ์-ทเรล ไฮบริด
บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เพิ่มทางเลือกในตลาดครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี ด้วย นิสสัน เอกซ์-ทเรล ไฮบริด ถึง 3 รุ่น ประกอบด้วยรุ่น 2.0 เอส ไฮบริด/2.0 วี ไฮบริด และ 2.0 วี ขับเคลื่อน 4 ล้อ ไฮบริด
ภายนอก หล่อเหมือนเดิม เติมแถบสีฟ้า
หน้าตารุ่นทอพ 2.0 วี ขับเคลื่อน 4 ล้อ ไฮบริด เหมือนกับรุ่น 2.0 วี ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ทันสมัยด้วยไฟหน้าแบบแอลอีดี พโรเจคเตอร์ ปรับระดับสูง/ต่ำอัตโนมัติ พร้อมไฟส่องสว่างในเวลากลางวันแบบแอลอีดี เพิ่มไฟตัดหมอก กระจัง คิ้วขอบกันชนด้านหน้า และคิ้วขอบประตูท้าย ตกแต่งด้วยโครเมียมกับสีฟ้าพิเศษเฉพาะรุ่นไฮบริด พร้อมสัญลักษณ์ไฮบริดที่ด้านข้าง และด้านท้าย
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ระบบปรับ และพับด้วยไฟฟ้า ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ เสาอากาศแบบครีบฉลาม ให้ความรู้สึกสปอร์ท และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ เพิ่มราวหลังคา เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน บรรทุกสิ่งของ สัมภาระขนาดใหญ่
ภายใน 5 ที่นั่ง สะดวกสบาย ไฮเทค
ห้องโดยสารเน้นความสะดวกสบาย ใช้ระบบกุญแจอัจฉริยะ และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ เบาะนั่งหนังแท้สีดำ (เหมือนในรุ่น 2.0 วี และ 2.5 วี) โดยเบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกซ้าย/ขวา เบาะนั่งแถวที่ 2 พับได้แบนราบ พื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ ประตูท้ายเปิด/ปิดอัตโนมัติ (AUTO LIFT GATE) ติดตั้งกล้องมองภาพรอบทิศทาง (AVM) หน้าจอ แสดงผล 3 มิติ (MID) รวมถึงข้อมูลขับเคลื่อนของระบบไฮบริด
เบาะนั่งแถวที่ 3 ซึ่งถูกแทนที่ด้วยแบทเตอรี และชุดแบทเตอรีไฮบริด เหลือไว้เพียงแผงปิดและฝากล่องเก็บของในห้องสัมภาระท้ายรถ
เครื่องยนต์ เพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้า แรง ประหยัด
นิสสันนำระบบเพียว ดไรฟ ไฮบริด (PURE DRIVE HYBRID) มาใช้กับ เอกซ์-ทเรล ไฮบริด คือ การใช้เทคโนโลยีคลัทช์คู่มาใช้กับรถเครื่องยนต์วางหน้า และใช้แบทเตอรีลิเธียม-ไอออนซึ่งมีขนาดเล็ก โดยไม่ต้องมีการดัดแปลงในส่วนอื่นๆ
เอกซ์-ทเรล ไฮบริด ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 144 แรงม้า กับมอเตอร์ไฟฟ้า 30 กิโลวัตต์ 41 แรงม้า ทำให้มีกำลังสูงสุดรวมถึง 179 แรงม้า ซึ่งมีกำลังมากกว่าเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร (171 แรงม้า) และมีอัตราเร่งดีกว่าด้วย
เทคโนโลยีคลัทช์คู่ ประกอบด้วย คลัทช์ 2 ตัว ตัวแรกติดตั้งอยู่ระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ และตัวที่ 2 อยู่ระหว่างมอเตอร์ และเชื่อมต่อกับเกียร์แบบซีวีที
ช่วงเร่ง คลัทช์ทั้ง 2 ตัวทำงานพร้อมกัน ช่วงความเร็วคงที่ มอเตอร์ไฟฟ้า จะทำหน้าที่เป็นเจเนอเรเตอร์เพื่อชาร์จประจุไฟฟ้าเข้าแบทเตอรี แต่ถ้าระบบไม่ต้องการกำลังจากเครื่องยนต์ คลัทช์ตัวที่ 1 จะตัดการทำงานจากเครื่องยนต์ เครื่องยนต์จะหยุด เหลือเพียงมอเตอร์ไฟฟ้ากับเกียร์เท่านั้น (EV)
และสามารถทำงานที่ความเร็วได้สูงสุดถึง 120 กม./ชม. ซึ่งสูงกว่าระบบไฮบริดทั่วไป ทำให้ประหยัดน้ำมันในย่านความเร็วสูง โดยประหยัดกว่ารุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร อย่างเดียวถึง 20 %
ระบบรองรับ ควบคุมง่ายทุกช่วงความเร็ว
น้ำหนักตัวรถที่เพิ่มขึ้น 65-70 กก. ส่งผลน้อยมากกับการควบคุมรถ ด้วยตำแหน่งที่อยู่ใกล้กับพื้นรถ แต่ในทางตรงข้ามกลับส่งผลดีเมื่อใช้ความเร็วสูงๆ เพราะมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง
อุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครัน เช่น ระบบช่วยลดอาการโยนตัวบนทางขรุขระ (ARC) ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง (ATC) ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (VDC) ระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน (HSA) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC) ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ
สรุป แรงกว่า 2.5 ประหยัดกว่า 2.0
ถึงหน้าตาจะเหมือนกับรุ่น 2.0 แถมต้องจ่ายเพิ่มอีก 5-6 หมื่นบาท แต่สิ่งได้มาคุ้มค่า เพราะระบบไฮบริดทำให้มีแรงม้ามากกว่ารุ่น 2.5 อัตราเร่งดีกว่า และประหยัดน้ำมันมากกว่ารุ่น 2.0 โดยเฉพาะเมื่อใช้งานในเมือง
นอกจากนี้ นิสสัน ยังสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ซื้อ ด้วยการรับประกันรถยนต์ และระบบไฮบริด 3 ปี หรือ 100,000 กม. และรับประกันแบทเตอรีถึง 10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง