ทดลองขับ(4wheels)
ฮอนดา เอชอาร์-วี
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด นำสื่อมวลชนทดลองขับ ฮอนดา เอชอาร์-วี รุ่น อีแอล บนเส้นทางถนนธนะรัชต์-วังน้ำเขียว ระยะทางประมาณ 113 กิโลเมตร เพื่อให้สัมผัสสมรรถนะบนสภาพเส้นทางหลากหลาย ทั้งแบบ 4 เลน และ 2 เลน ที่มีความคดเคี้ยว (พอท้วมๆ) ท่ามกลางสภาพการจราจรจริงช่วงฤดูท่องเที่ยว ฮอนดา เอชอาร์-วี ใหม่ พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด "SEDUCTIVE CROSSOVER" บนพื้นฐานของ ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี โดยเพิ่มความปราดเปรียวสไตล์สปอร์ทคูเป พร้อมฟังค์ชันการใช้งานหลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างลงตัว
ภายนอก
รูปลักษณ์ภายนอกออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ กระจังหน้าใช้แนวคิด SOLID WING FACE เสริมด้วยโทนสีดำให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง เส้นสายด้านข้างลงตัว มือจับเปิดประตูหลังออกแบบให้กลมกลืนกับกรอบกระจก หลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา พร้อมระบบเปิด/ปิดแบบวัน-ทัช (เฉพาะรุ่น อีแอล) ไฟหน้าพร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบแอลอีดี (เฉพาะรุ่น อี กับ อีแอล) และไฟท้ายแอลอีดี แบบ TUBE (เฉพาะรุ่น อีแอล)
ภายใน
แม้ตัวรถจะมีขนาดกะทัดรัด แต่การออกแบบห้องโดยสารเน้นเรื่องความกว้างขวาง สะดวกสบายเป็นพิเศษ เริ่มจากแผงคอนโซลที่ให้ความรู้สึกกว้างขวาง โปร่งโล่ง และช่วยเพิ่มพื้นที่ ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งโทนสีดำ ใช้วัสดุคุณภาพสูง ให้ผิวสัมผัสนุ่มนวล ตำแหน่งเบาะนั่งผู้ขับให้ทัศนวิสัยดี จากการวางตำแหน่งเบาะที่เหมาะสม (รวมถึงเบาะหลัง) สะดวกสบายทั้งระหว่างเดินทาง และตอนเข้า/ออกห้องโดยสาร
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย/ขวา ใช้แผงควบคุมระบบแบบสัมผัส ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ตอบสนองการสั่งงานผ่าน SIRI EYE FREE MODE และพวงมาลัยแบบมัลทิฟังค์ชัน โดยหน้าจอจะแสดงผลในโหมดเครื่องเสียง/เชื่อมต่อกับโทรศัพท์/แสดงอัตราสิ้นเปลือง/ระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI EYE FREE MODE (รองรับเฉพาะ ไอโฟน 4 เอส ขึ้นไป)/ช่องเชื่อมต่อ HDMI และ USB 2 ตำแหน่ง และรองรับการเชื่อมต่อ HONDA LINK NAVIGATION APPLICATION (เฉพาะสมาร์ทโฟนบางรุ่น)
นอกจากนี้ยังมีอรรถประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ช่องเก็บของคอนโซลกลางพร้อมที่วางแก้วน้ำ ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับคอนโซลกลางแบบ 2 ชั้น สามารถปรับเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
เบาะนั่งด้านหลังปรับพับได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ UTILITY MODE: พับพนักพิงเบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้าน เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลังได้มากขึ้น TALL MODE: พับเบาะรองนั่งขึ้นช่วยพื้นที่เก็บของทรงสูง และ LONG MODE: พับพนักพิงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว แลพมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระขนาด 565 ลิตร แม้ใช้งานเบาะที่นั่งด้านหลังในรูปแบบปกติ (สามารถใส่ถุงกอล์ฟได้ถึง 3 ใบ)
เครื่องยนต์
ขุมพลังยกมาจาก ฮอนดา ซีวิค รุ่น 1.8 แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1.8 ลิตร พร้อมระบบวาล์วแปรผัน I-VTEC จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดมัลทิพอยท์ PGM-FI ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,500 รตน. แรงบิดสูงสุด 17.5 กก.-ม. ที่ 4,300 รตน. รองรับเชื้อเพลิงได้ทุกชนิด (ยกเว้นดีเซล) ไม่ว่าจะเป็น เบนซิน 91, แกสโซฮอล อี 10, อี 20 หรือ อี 85
ส่วนระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติแปรผัน 7 จังหวะ ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีการตอบสนองดียิ่งขึ้น แต่อัตราสิ้นเปลืองลดลง โดยทำงานร่วมกับคันเร่งไฟฟ้าที่มีความแม่นยำ
ขณะขับขี่ความเร็วเฉลี่ย 110-120 กม./ชม. เครื่องยนต์กระฉับกระเฉง และมีกำลังสำรองเพียงพอสำหรับเร่งแซงแบบสบายๆ เกียร์ตอบสนองทันอกทันใจ จนทำให้ลืม "แพดเดิล ชิฟท์" ไปเลย
ระบบรองรับ
ระบบรองรับด้านหน้าเป็นแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีม เซทมาให้รับมือกับพละกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์ได้อย่างลงตัว รู้สึกแน่น มั่นคง แต่ไม่กระด้าง
ระบบเบรคแบบจานทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้ามีช่องระบายความร้อน พร้อมเอบีเอส และระบบกระจายแรงเบรค อีบีดี การตอบสนองเป็นไปตามน้ำหนักเท้า ทำงานร่วมกับระบบช่วยควบคุมการทรงตัว VSA เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ทุกสภาวะ ระบบเบรคมือไฟฟ้า ใช้งานสะดวกเพียงปลายนิ้วสัมผัสที่บริเวณใกล้คันเกียร์ กับระบบ AUTO BRAKE HOLD ช่วยป้องกันรถเคลื่อนตัวขณะจอดโดยไม่ต้องเหยียบเบรคค้างไว้ ปิดท้ายด้วยระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA ซึ่งทำให้การขับขี่ง่ายขึ้น
ฟันธง
เสียบกลางช่องว่างตลาดกลุ่มนี้ได้อย่างถูกที่ถูกเวลา แม้ช่วงแรกจะได้ยินเสียงบ่นเรื่องค่าตัวค่อนข้างสูง แต่ด้วยสมรรถนะของขุมพลัง ความสะดวกสบาย และอรรถประโยชน์ภายในห้องโดยสาร รวมถึงอุปกรณ์มาตรฐาน กับฟังค์ชันใช้งานที่มีให้ เสียงบ่นจึงเงียบไปในที่สุด ขอบอกว่างานนี้ ฮอนดา ทำการบ้านมาดีจริงๆ