Knowledge
เชครถหลังโดนน้ำท่วม
ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในเขตจังหวัดภาคใต้ทุกท่าน และขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินสำหรับหลายๆ ครัวเรือน และในส่วนของรถ สำหรับผู้ที่นำรถหนีน้ำไม่ทัน รถโดนน้ำท่วมต้องปล่อยให้รถจมน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชิ้นส่วนต่างๆ อาจได้รับความเสียหายจากน้ำและความชื้นตามระดับความสูงของน้ำที่แตกต่างกันไป หากรถของใครที่เจอกับสถานการณ์นี้อยู่ ลองตรวจสอบรถของตัวเองว่าน้ำท่วมรถอยู่ในระดับใด จะได้ดูแลรถได้อย่างถูกต้องหลังน้ำลดลงแล้ว> ตามภาพ >
ที่มาภาพ enjoyhondathailand
ทีนี้เมื่อตรวจสอบรถของตัวเองว่าน้ำท่วมรถอยู่ในระดับใด DIY…คุณทำเองได้ ขอแนะนำวิธีตรวจเชครถเบื้องต้นจากการลุยน้ำลึก รวมถึงสิ่งที่ต้องระมัดระวังในการซ่อมแซมรถ หลังน้ำลด ! ก่อนนำไปศูนย์บริการ >
ภาพ ไทยรัฐ
ห้ามบิดไปที่ ON และสตาร์ท
หลังจากรถผ่านการจมน้ำ เข้าใจว่าทุกคนคงอยากลองสตาร์ทดูว่ามันจะติดหรือไม่ อยากให้ยับยั้งชั่งใจสักหน่อย เหตุที่ไม่ควรสตาร์ทเครื่องยนต์หลังรถจมน้ำ ก็เพราะรถยนต์ยุคใหม่มักใช้อุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์มากมาย ในการควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ รวมถึงระบบไฟฟ้าอื่นๆ ภายในรถด้วย
ระบบเหล่านี้จมน้ำเพียงครู่เดียวก็แย่แล้ว ยิ่งถ้าแช่น้ำอยู่นานวัน สนิมจะขึ้นได้ในส่วนที่เป็นเหล็ก ซึ่งทำให้ระบบการทำงานของส่วนนั้นเสียหายมาก ไม่ต้องถึงกับสตาร์ท แค่บิดสวิทช์กุญแจไปที่ ON ก็ไม่ควร เนื่องจากถ้าเราบิดไปที่ ON ไฟจะไปเลี้ยงระบบ ทำให้อาจเกิดการสปาร์ค หรือชอทได้
ถอดแบทเตอรีออก ด่วนที่สุด !
วิธีที่ถูกต้อง คือ ถอดขั้วแบทเตอรีออกก่อน เพื่อตัดระบบการจ่ายไฟ หลังจากนั้นดึงพวกสวิทช์ และฟิวส์ต่างๆ ออกให้หมด แล้วค่อยเป่าด้วยลม และใช้สเปรย์ไล่ความชื้นฉีดในชิ้นส่วนนั้นๆ เชคเครื่องยนต์ และระบบหล่อลื่น ถ้ารถจมนาน น้ำอาจเข้าเครื่องยนต์ได้ ต้องลากเข้าอู่ให้ช่างผ่าเครื่องออกมาดูสถานเดียว โดยดูว่าชิ้นส่วนไหนมีความเสียหายบ้าง หากเสียหายให้เปลี่ยนอะไหล่ชิ้นส่วนนั้นๆ แล้วประกอบกลับเข้าไปตามเดิม ถ้าคิวที่อู่ยังไม่ว่าง ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันทุกชนิดที่อยู่ภายในรถออกทันที ทั้งน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันคลัทช์ (ถ้ามี) น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ น้ำมันเบรค น้ำมันเฟืองท้าย เป็นต้น เพราะถ้ามีน้ำเข้าไปปะปนจะเป็นตัวการก่อสนิมที่ร้ายกาจที่สุด
ระบบรองรับ และเบรค
เบื้องต้นให้ตรวจเชคชอคอับ ว่ายังทำงานได้ดีหรือไม่ พวกลูกหมากที่อัดจาระบีไว้ ควรอัดจาระบีเข้าไปใหม่ ส่วนระบบเบรค ต้องถอดออกมาดูว่าลูกปืนเป็นสนิมหรือไม่ ถ้าเป็นระบบเบรคแบบดุม ชิ้นส่วนภายในจะเป็นสนิม แนะนำให้เปลี่ยนใหม่ไปเลย ส่วนระบบเบรคแบบจาน ให้ถอดออกมาดูพวกลูกปืนต่างๆ และไล่น้ำมันเบรคใหม่
นอกจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังต้องทำความสะอาดชิ้นส่วนต่างๆ เช่น เบาะ พรม ชิ้นส่วนภายในและภายนอก ค่าซ่อมแซมรถยนต์ที่เสียหายจากการจมน้ำ อยู่ที่หลักหมื่นถึงหลักแสนบาท/คัน เนื่องจากทุกอย่างเสียหายหมด ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ หากจะนำรถเข้าซ่อม เลือกศูนย์บริการ หรืออู่ที่ได้มาตรฐาน มีความเชี่ยวชาญในรถรุ่นนั้นๆ ดีพอ
แค่ลุยน้ำลึก ก็ต้องตรวจเชค
หลังจากลุยน้ำลึกมาระยะหนึ่ง ถ้ามองผิวเผินอาจไม่มีอะไร แต่แท้จริงแล้ว ร้ายแรงน้องๆ รถจมน้ำเลยทีเดียว ต่างกันที่ยังพอมีวิธีซ่อมแซมให้กลับมาใช้ใหม่ได้ เนื่องจากชิ้นส่วนที่สำคัญต่างๆ อาจถูก "น้ำ" เข้าไปก่อกวน เกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน ระบบเบรค ระบบไฟ ระบบรองรับ หรือแม้แต่อุปกรณ์ภายในรถ เช่น เบาะ หรือพรมพื้นรถ จะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับระดับความลึกที่ลุยมาด้วย
เมื่อแน่ใจว่าไม่ต้องลุยน้ำอีกแล้ว แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันต่างๆ ออกให้หมด เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรค น้ำมันเฟืองท้าย ฯลฯ แล้วรื้อชิ้นส่วนที่คิดว่าน้ำอาจเข้าไปขัง เช่น ชุดเบรค ลูกปืนล้อ ยางหุ้มเพลา ฯลฯ แล้วใช้ลมเป่าไล่น้ำให้แห้ง ฉีดน้ำยาไล่ความชื้น และอัดจาระบีเข้าไปใหม่
อุปกรณ์
1. ประแจเบอร์ 10
2. สเปรย์ไล่ความชื้น
3. เครื่องเป่าลม
4. ผ้าเช็ดรถ
ภาพจาก ไทยรัฐ
ขั้นตอนการตรวจเชครถจมน้ำ (กรณีลุยน้ำลึก ให้ทำตั้งแต่ข้อ 3)
1. ใช้ประแจเบอร์ 10 ไขขั้วแบทเตอรีออก ทั้งขั้วบวกและลบ เพื่อตัดกระแสไฟทั้งหมด
2. หาชุดฟิวส์ของระบบไฟ แล้วถอดออกทีละอัน จนหมด เพื่อตัดกระแสไฟอีกทาง
3. ใช้เครื่องเป่าลม เป่าน้ำออกจากชุดไฟให้แห้งมากที่สุด
4. นำสเปรย์ไล่ความชื้น ฉีดพ่นไปบริเวณสวิทช์ไฟอีกครั้ง เพื่อไล่ความชื้นออกจากระบบไฟ
5. เชคดูระดับน้ำมันเครื่อง ว่ามีน้ำผสมอยู่หรือไม่ ถ้าเป็นเนื้อเดียวกันแสดงว่าไม่มีน้ำผสม (แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายใหม่)
6. เชคดูระดับน้ำมันเบรค โดยอาจดูจากปริมาตรในกระปุก ถ้าสูงผิดปกติ แสดงว่าอาจมีน้ำผสมอยู่ (แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายใหม่)
7. เชคระดับน้ำมันคลัทซ์ โดยอาจดูจากปริมาตรในกระปุก เหมือนน้ำมันเบรค (แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายใหม่)
8. เชคเบาะนั่งทั้งตอนหน้า และตอนหลัง ถ้าเปียกต้องถอดเบาะออกมาซักตากให้แห้ง ด้วยการขันนอท 4 ตัว
9. เชคพรมพื้นรถ ว่าเปียกน้ำหรือไม่ ถ้าเปียก ควรถอดออกไปซักตากให้แห้ง ต้องรื้ออย่างระมัดระวัง
10. ใช้ผ้าเช็ดรถ เช็ดคราบน้ำตามจุดต่างๆ ให้ทั่ว แล้วใช้เครื่องเป่าลม เป่าตามไปอีกครั้งหนึ่ง
11. นำรถออกไปตากแดดกลางแจ้ง โดยหันรถให้แสงส่องเข้าไปในจุดที่ต้องการให้แห้ง
12. นอกจากนี้ต้องตรวจเชคช่วงล่างในจุดอับที่น้ำอาจเข้าได้ โดยนำรถเข้าศูนย์บริการ ให้เป็นหน้าที่ของช่างที่ชำนาญจะดีกว่า
ที่มา https://autoinfo.co.th/Pjc4y
คอลัมน์ Online : Knowledge
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/blog/154949