รุ่นนี้พอมีเหลือ
ส่วนหนึ่งของชีวิต
ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม อเมริกันชนวันนี้ 4 ใน 10 คนเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต่อการตี
ทะเบียนสมรส เพื่อพิสูจน์ความรัก หรือเพื่อเป็นพันธะสัญญาชีวิตร่วม
ใช่ ! พวกเขาได้รับการสำรวจแบบที่เรียกกันว่า โพลล์
ใช่อีกนั่นแหละ พวกเขาอายุตั้งแต่ 20 ปี จนถึง 69 ปี ผ่านการสำรวจร้อยละ 44 มองใบสมรส
เป็นอะไรไม่ทราบ และไม่เกี่ยวกับสัมพันธภาพระหว่างชายกับหญิง
แปลกดี และแปลกมาก เมื่อความเห็นนี้เกิดจากอเมริกันชนทั้งหนุ่ม/สาว และวัยใกล้
เซเวน-อัพ
ความก้าวหน้าในเชิงเทคโนโลยี การพัฒนาของคอมพิวเตอร์ส่วนตัว ทำให้สังคมเกิดการนัดหมาย
เกิดการสนทนา และเกิดความสัมพันธ์ในที่สุด
พวกเขาแสวงหาคนพิเศษ และต่อการแสวงหาบุคคลเช่นที่ว่านั้น ก็ไม่จำเป็นต้องกลายพันธุ์
ไปสู่การแต่งงาน
วิถีชีวิตคนไทย ดูเหมือนผ่านการอบรมสั่งสอนในการมีเหย้ามีเรือน ซึ่งต้องมีการสมรสที่ถูก
ต้องตามประเพณี และข้อกฎหมาย คือ การจดทะเบียนสมรส
การจดทะเบียนสมรสให้สิทธิประโยชน์มากมายแก่สามีและภรรยา ตามที่ปรากฏในใบ
ทะเบียน
ตั้งแต่ส่วนลดในการคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี จนถึงประโยชน์หลังจากการหย่าร้าง
แต่ข้อเสียในการจดทะเบียนสมรสก็มักอยู่ที่ เซเลบริที พวกไฮโซทั้งหลาย ที่เห็นว่า
ทะเบียนสมรสนำพาไปสู่ความรับผิดชอบร่วมกันในหนี้สินทุกเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างชีวิต
ความเป็นผัวเมีย
ดังนั้น พวกเขาก็จะจดทะเบียนอีกครั้งหนึ่ง เป็นทะเบียนหย่าร้าง อันเป็นผลเพียงเพื่อ
ข้อกฎหมาย แต่ในเชิงปฏิบัติ พวกเขาก็ยังอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน
อเมริกันชนร้อยละ 50 ซึ่งมีอายุระหว่าง 20 ไม่เกิน 30 ปี เห็นพ้องต้องกันว่า ทำไมต้องตี
ทะเบียนสมรส
แต่กระนั้น คนรุ่นใหม่เหล่านี้ก็ยังมีความเห็นอย่างยุติธรรมในข้อที่ว่า การได้อยู่ร่วมกัน
ก่อนการแต่งงาน น่าจะเป็นหนทางที่เหมาะสม
หลายคนปฏิบัติ ไม่เพียงแต่อเมริกันชนเท่านั้น หากยังรวมถึงคนไทยก็นิยมเลือกทางนั้น
เพราะเห็นว่าการได้อยู่ร่วมกันแต่แรกก่อนแต่ง จะได้มีเวลาเพียงพอต่อการสำรวจ ความ
ไปด้วยกันได้หรือไม่
ถ้าจะพูดโดยตรง ก็คือ ขอดูเปลือกในด้วย ไม่ใช่แค่ดูเปลือกนอกอย่างเดียว
เปลือกนอกว่างดงามดี แต่เมื่อนอนด้วยกันแล้วเธอกรนเสียงเหมือนช้างร้อง ก็ไม่น่า
จะเป็นสิ่งที่เอาความรักไปแลกได้
หรือมองภายนอกเห็นว่า หล่อเป็นแมนดี แต่เมื่อนอนด้วยกันเขากลับส่งเสียงกรน
อย่างสนั่นหวั่นไหว จนผนังห้องนอนสะเทือน ก็น่าจะจบข่าวสำหรับผู้หญิง
อเมริกันชนที่อายุในระดับเกินกว่า 30 ปี ร้อยละ 73 ยังเชื่อมั่นการแต่งงาน และ
เห็นว่าเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ มีอานุภาพพอที่จะพูดได้ว่า
"ขออยู่ร่วมกันไป จนกว่าความตายจะมาพราก"
เมื่อผู้สำรวจ หรือองค์กรที่ทำโพลล์ถามถึงความสำคัญ หนุ่มสาววัย 20 ปี ตอบตรงกันว่า
ความสำคัญที่พวกเขามองเป็นพิเศษ ก็คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน
ความไว้วางใจ เป็นเรื่องสำคัญในทุกเรื่องของชีวิต แม้การเมืองในระบบรัฐสภา ก็ยัง
ต้องการความไว้วางใจในรัฐบาลของพวกเขา
สามีภรรยา หากไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันแล้ว โอกาสแยกกันมีสูง
ดังนั้น พวกเขาจึงมักเปิดเผยกันและกันก่อนตกลงใช้ชีวิตร่วม เรียกว่าไม่มีอะไรจะต้อง
มาปกปิดซ่อนเร้นกันอีก ไหนๆ ก็จะต้องลงเรือลำเดียวกันแล้ว
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว...
หนุ่มกับสาวขับรถตรงไปยังลาสเวกัสเพื่อแต่งงาน รถวิ่งมาเดี๋ยวเดียว
หญิงสาวก็บอกชายหนุ่มว่ามีอะไรจะต้องสารภาพเพื่อไม่ปิดบังกันและกัน
ชายหนุ่มโอเค หญิงสาวจึงบอกว่าหน้าอกของเธอเป็นไข่ดาวนะ
ชายหนุ่มก็ว่า เนเวอร์มายด์ ไม่เป็นไร แต่ผมก็มีเรื่องต้องบอกคุณ
หญิงสาวโอเค ชายหนุ่มจึงบอกว่า อาวุธประจำตัวของเขาเหมือนทารกแรกเกิด หญิงสาว
ก็ยิ้มๆ และว่า เนเวอร์มายด์
เขากับเธอแต่งงานกัน คืนนั้น เจ้าสาวถอดเสื้อ และปรากฏไข่ดาว แต่พอหันมาเจอ
เจ้าบ่าวที่ถอดกางเกง เธอก็เป็นลม
ต้องพยาบาลกันนาน กว่าเธอจะลืมตาขึ้น ชายหนุ่มถาม "ทำไมเป็นลม ก็บอกแล้วไง
ว่าของผมเหมือนทารกแรกเกิด"
ใช่ ! ขนาดเหมือนท่อนขา น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 2,000 กรัม...!
กลับมาที่ความเห็นของอเมริกันชนต่อ...
พวกเขาในวัย 20 ปี มีคำตอบตรงกันในประเด็นที่ว่า ต้องการมีการทดสอบทุกกระบวนท่า
ในเรื่องการมีเซกซ์
เรื่องนี้เป็นความจำเป็นที่สมควรได้รับการทดสอบก่อนการแต่งงาน
คดีหย่าร้างหลายคดี มักเกี่ยวข้องกับการมีเซกซ์ร่วมกัน เหตุการหย่าร้างเพราะไปด้วยกัน
ไม่ได้มักเกิดจากการมีเซกซ์ร่วม
แต่ถ้าได้มีการทดสอบ และทดสอบในรูปแบบทุกกระบวนท่าแล้ว ก็น่าเชื่อได้ว่า มีผลตอบแทน
คุ้มยิ่งกว่า แชร์ก๋วยเตี๋ยว หรือ แชร์ข้าวสาร
แต่สำหรับอเมริกันชนที่อายุระหว่าง 50 ถึง 60 ปี พวกเขาเห็นว่า ถ้าแอฟแฟร์ของเขาถูกพบ
ว่าเป็นเรื่องชู้สาว พวกเขาจะจบข่าวความสัมพันธ์โดยทันที
ใช่ ! พวกเขาไม่ต้องการเป็นชู้กับคนอื่น
คนเราก็แปลกดี วัยหนุ่มวัยสาวมักมองไม่เห็นความสำคัญเรื่องอย่างนี้ จนกระทั่งวัยกลาย
เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้วนั่นแหละ เริ่มมองเห็นบาปบุญคุณโทษ
อเมริกันชนระหว่างวัย 50 ถึง 60 ปี ยังเห็นว่า การมีบุคคลพิเศษสักคน คือ การมีเพื่อน
ร่วมชีวิต มากกว่าความจำเป็นจะต้องแต่งงานด้วยกัน
เรียกว่า มาอยู่ด้วยกันฉันท์เพื่อน มากกว่ามาอยู่ด้วยกันเพื่อเซกซ์ และการแต่งงาน
คนไทยเราที่เป็นสามีภรรยากันมาจนถึงวัยชรา ก็จะอยู่ด้วยกันในรูปแบบนี้ คือ อยู่กันในลักษณะ
ความเป็นเพื่อนร่วมกันมากกว่า เน้นในเรื่องของความเป็นผัวเมีย
อยู่กันอย่างเพื่อน-หรือไม่ ก็คือ "เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต" มักเป็นคำตอบที่พวกเขาบอก
กับมิตรสหายที่ใกล้ชิด ซึ่งก็น่าจะถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม ถ้าความเห็นของอเมริกันชน ตรงกับความต้องการของหนุ่มสาวคนไทย เทศกาล
สำคัญๆ ของพวกเขา เช่น "วันแห่งความรัก-วาเลนไทน์" หรือ "วันลอยกระทง" หนุ่มสาว
คนไทยก็คงต้องจองโรงแรมก่อนจองกระทง หรือเลือกซื้อชอคโกแลท
ขณะผมบันทึกเรื่องนี้ ผู้ชายวัย 52 ปี อีกคนหนึ่งกำลังเป็นข่าวดัง นิโคลาส ซาร์โกซี
ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ถูกหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ เอกพเรสส์ ของฝรั่งเศสเปิดเผยเมื่อวันที่
17 ธันวาคมปีที่แล้ว
รายงานข่าวเปิดเผยว่า เขาควงอดีตนางแบบ คาร์ลา บรูนี ไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ ชานเมือง
ปารีส
ค่อนข้างเป็นที่รู้กันว่า สำหรับอดีตนางแบบคนนี้ ท่านประธานาธิบดีเอาจริง โดยให้เวลา
นางเอกตัดสินใจ 30 วัน
หากไม่มีรายการพลิกลอค ทั้งสองคนคงจะแต่งงานกันประมาณ 8 หรือ 9 กุมภาพันธ์
ที่ผ่านมานั่นแหละครับ
เรื่องโดย : ไก่อ่อน
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : รุ่นนี้พอมีเหลือ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/94048