เทคนิคตีนโต
เมื่อ 3 รวมเป็น 1 เพื่อประสิทธิภาพที่เหนือกว่า
การออกแบบอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนให้มีขนาดเล็กลง หรือสามารถทำงานได้มากกว่าหนึ่งหน้าที่นั้น เป็น
เรื่องที่ดีอย่างยิ่ง เพราะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้น และลดชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป อย่างเรื่องที่เราจะคุยกันนี้ เป็นการนำเอาอุปกรณ์ที่มีหน้าที่คนละอย่าง และอยู่คนละที่ มารวมไว้เป็นตัวเดียวกัน จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมอเตอร์สตาร์ทกับอัลเทอร์เนเตอร์ (ไดชาร์จ) และฟลายวีล มารวมเป็นตัวเดียวกัน จะเห็นได้ว่ารถที่กำลังทยอยออกสู่ท้องตลาดนั้น จะเต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และมีระบบการทำงานที่ต่างไปจากที่เราคุ้นเคยกันเพราะว่าจากการทุ่มเทค้นคว้าของเหล่าบรรดาวิศวกรนั่นเอง
จุดมุ่งหมายหลักของการออกแบบรถยนต์หรือชิ้นส่วนในปัจจุบันนั้น จะเน้นเหตุผลหลักๆ ที่สำคัญก็คือ
เรื่องของปัญหามลพิษและเชื้อเพลิง ปัญหาเรื่องมลพิษนั้นเกิดขึ้นโดยตรงจากการทำงานของเครื่องยนต์ แม้ว่าจะมีความเข้มงวดในเรื่องของมลพิษมากในหลายประเทศ แต่ก็เป็นเพียงแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ยังดีกว่าการที่ไม่ทำอะไรเลย เครื่องยนต์รุ่นใหม่ๆ จึงมีการทำงานที่ซับซ้อน และมีระบบใหม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำงานมากขึ้น เพื่อให้การเผาไหม้หมดจด รวมถึงการขจัดไอเสียที่เกิดจากการเผาไหม้ให้มากที่สุด ก่อนที่จะปล่อยออกสู่บรรยากาศ ในขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะและความประหยัด ส่วนปัญหาเรื่องของเชื้อเพลิงนั้นก็เป็นปัญหาใหญ่ที่บรรดาผู้ผลิตรถให้ความสำคัญ บรรดาทีมวิศวกรของบริษัทผู้ผลิตรถและผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างได้พัฒนาและคิดค้นอุปกรณ์และระบบต่างๆ ขึ้นมา บางส่วนก็เป็นการพัฒนาเฉพาะผู้ผลิตชิ้นส่วน แล้วนำไปเสนอให้แก่ผู้ผลิตรถ บางส่วนก็เป็นการพัฒนาจากผู้ผลิตรถ แล้วนำส่งให้กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนผลิตชิ้นงานตามที่ต้องการ
ฉบับนี้เราจะแนะนำเทคโนโลยีในการรวมมอเตอร์สตาร์ท และอัลเทอร์เนเตอร์ เข้าไว้ด้วยกัน โดยติดตั้ง
อยู่ที่ฟลายวีล เป็นเทคโนโลยีของ SACHS ใช้ชื่อว่า DYNASTART ข้อดีของเทคโนโลยีนี้มีอยู่ด้วยกันหลายประการ จุดเด่นแรก คือ ความเงียบในการสตาร์ทเครื่องยนต์ ที่ทำงานได้อย่างเงียบเชียบ เพราะแกนเพลาตัวมอเตอร์จะยึดติดกับเพลาข้อเหวี่ยงโดยตรง ซึ่งจะหมุนไปพร้อมกันตลอดเวลา การสตาร์ทเครื่องยนต์จะไม่มีเฟืองเข้ามาขบกับเฟืองของฟลายวีลเหมือนมอเตอร์สตาร์ท ที่ใช้ในปัจจุบัน ทั้งยังสามารถช่วยลดมลภาวะจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้อีกทางหนึ่ง เพราะมอเตอร์จะมีแรงฉุดเพลาข้อเหวี่ยงให้หมุนด้วยความเร็วรอบสูงพอๆ กับความเร็วรอบเดินเบา จะทำให้การติดเครื่องยนต์เป็นไปอย่างรวดเร็ว การเผาไหม้จึงเป็นไปอย่างสมบูรณ์ และไม่ก่อมลภาวะเหมือนเก่า ทั้งยังช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงได้ ทั้งในขณะที่กำลังสตาร์ทเครื่องยนต์ และในขณะที่ใช้งาน
เทคโนโลยีนี้นำมาใช้อย่างแพร่หลายในรถประเภทไฮบริด ซึ่งการพัฒนาสามารถช่วยเพิ่มสมรรถนะให้
กับเครื่องยนต์ได้อีกทางหนึ่ง สามารถเปลี่ยนเป็นตัวช่วยเพิ่มอัตราเร่งได้ในขณะออกตัวหรือเร่งแซง เพราะเปลี่ยนหน้าที่ของไดชาร์จให้กลายเป็นมอเตอร์ช่วยเพิ่มแรงบิด การพัฒนาเพื่อการประหยัดเชื้อเพลิงและลดมลพิษนั้น เมื่อจอดรถหรือรถติดนั้นเครื่องยนต์จะดับ เพื่อประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดมลภาวะ และเมื่อต้องการออกรถ ระบบก็สตาร์ทเครื่องยนต์ทันทีเมื่อเหยียบคันเร่ง ก็จะสามารถขับขี่ต่อไปได้ตามปกติ เครื่องยนต์ก็ถูกสตาร์ทอีกครั้งอย่างราบเรียบ ไม่มีอาการสะดุดหรือกระชากแต่อย่างใด เพราะการหมุนของ DYNASTART นั้นหมุนด้วยความเร็วสูง และมีแรงบิดมากนั่นเอง เมื่อนำมารวมกันจึงเหลือส่วนประกอบที่ไม่มากนัก จากที่ต้องมีไดชาร์จ มอเตอร์สตาร์ท และฟลายวีล ถ้ามองภายนอกแบบผิวเผินก็จะเห็นว่าเป็นแค่ชุดฟลายวีลธรรมดาๆ ที่มีความหนากว่าปกติเท่านั้นเอง ส่วนประกอบเมื่อแยกออกมา ก็จะมีตัวโรเตอร์ที่เป็นทั้งฟลายวีล และอาร์เมเจอร์ของมอเตอร์เอง (ทำหน้าที่เช่นเดียวกับมอเตอร์สตาร์ทและไดชาร์จ) จะหมุนอยู่ในตัวเรือนสเตเตอร์อลูมิเนียมหล่อ ติดตั้งอยู่กับฟลายวีลโดยตรง
โดยมี ECU ควบคุมการทำงานให้สอดคล้องกับความต้องการในการใช้งาน ผลการพัฒนาจะทำให้
อุปกรณ์ชนิดนี้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่เดิมนั้นมอเตอร์สตาร์ท อาจต้องใช้เวลาถึง 3 วินาทีกว่าเครื่องยนต์จะติด แต่ระบบใหม่นี้ใช้เวลาเพียง 1/10 วินาทีเท่านั้น ในรถไฮบริด ยังเป็นแหล่งพลังงานเสริมทุกครั้งที่ผู้ขับเหยียบคันเร่งลึกลงไป อุปกรณ์นี้ก็จะเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ที่มีแรงบิดสูงมากกว่า 250-400 นิวตัน-เมตร เมื่อความเร็วคงที่ อุปกรณ์ชิ้นนี้ก็จะเปลี่ยนกลับมาเป็นไดชาร์จ เพื่อผลิตกระแสไฟต่อไป อัตราการผลิตกระแสไฟจะสูงกว่าอัลเทอร์เนเตอร์ที่ใช้อยู่ โดยสามารถผลิตได้ถึง 42 โวลท์ สามารถรองรับรถไฮบริด ที่มีอุปกรณ์สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้ามากๆ ทำให้ประหยัดเชื้อเพลิง 20-30 % ในการขับขี่ใช้งานตามปกติ
การพัฒนาเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานนั้น ยังนำพลังงานจากแรงเฉื่อยขณะลดความเร็ว และจังหวะเหยียบเบรคกลับมาใช้ในการชาร์จกระแสไฟเข้าแบทเตอรีอีกครั้ง ซึ่งเป็นการออกแบบในการทำงานที่ลดความสูญเสียพลังโดยเปล่าประโยชน์ เป็นการนำพลังงานมาใช้ได้อย่างเต็มที่ เพราะฟลายวีล จะมีหน้าที่ตุนกำลังอยู่แล้ว จังหวะที่ไม่มีการเร่งเครื่อง ฟลายวีลจะสะสมพลังงานเอง ทำให้หมุนได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการนำกำลังที่สูญเปล่ากลับมาผลิตเป็นไฟฟ้าเพื่อชาร์จให้กับแบทเตอรี ถือว่าเป็นการจัดการด้านพลังงานที่มีประสิทธิภาพมาก จะเห็นได้ว่ารถและระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในปัจจุบันและอนาคต ได้ให้ความสำคัญในเรื่องมลพิษ และการบริหารการใช้เชื้อเพลิง แต่ที่ยังคงไว้ก็คือ สมรรถนะในการขับเคลื่อนเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถ ในจังหวะที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดของเครื่องยนต์
เรื่องโดย : พหลฯ 30
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : เทคนิคตีนโต
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/93810