รอบรู้เรื่องรถ
มีอะไรในรถยุคนี้ ?
ใครที่ติดตามคอลัมน์ "มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ" ในนิตยสารของเราอย่างต่อเนื่อง คงจะสังเกตได้ว่า ในช่วงปีหลังๆ มานี้ มีรถรูปทรงแปลกๆ ออกมาเรื่อยๆ เรื่องความแปลกใหม่นั้นเป็นของคู่กันกับงานแสดงรถยนต์อยู่แล้วครับ
ที่ว่าแปลกใหม่ในที่นี้ ผมหมายถึง รูปแบบของรถที่เราเคยแยกแยะกันได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่พบเห็น เพราะมีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น รถตรวจการณ์ รถเก๋ง 4 ประตู รถแบบคูเป รถเปิดหลังคาได้ (รถลักษณะนี้อาจเรียกได้หลายชื่อด้วยกัน ใน สหรัฐอเมริกา เรียก คอนเวอร์ทิเบิล ใน อังกฤษ เรียก โรดสเตอร์ ใน อิตาลี เรียก สไปเดอร์ และในทวีปยุโรปหลายประเทศเรียก กาบริโอเลต์) ส่วนรถพิคอัพ ซึ่งจะมีกระบะอยู่หลังที่นั่งแถวเดี่ยว รถตู้ หรือรถแวน เป็นรถที่มีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกาโดยตรง แล้วก็รถเล็กที่ใช้ในเมือง ซิทีคาร์ ซึ่งมีรถ มีนี เป็นต้นกำเนิดเมื่อประมาณกว่า 50 ปีที่แล้ว
รถมีนีในยุคนั้น เป็นรถเครื่องวางขวางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหน้า มี 2 ประตู ขนาดเล็กมาก ซึ่งลักษณะโดยทั่วไปก็มีเท่านี้ ถ้าเราเห็นรถคันหนึ่งขนาดเล็กวิ่งมาไกลๆ มีลักษณะดังกล่าว ก็จะบอกได้โดยไม่ลังเลเลยว่า นี่คือ รถ มีนี แต่ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นแล้วครับ เพราะรถพวกนี้ถูกพัฒนาต่อยอดให้ "กลายพันธุ์" จนแม้แต่คนขาย หรือคนซื้อที่จ่ายเงินและรับรถมาแล้วบางคน ยังไม่รู้เลยว่ามันจัดอยู่ในรถกลุ่มไหน
ผมเติบโตมาในยุคที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ได้เห็นรถที่มีรูปทรงแปลกๆ รวมถึงรถที่คุ้นเคยแบบบ้านๆ แต่เต็มเปลี่ยมไปด้วยสมรรถนะ รถเก๋ง 4 ประตู ถูกนำมาใส่เครื่องยนต์และช่วงล่างของรถสปอร์ท เนื่องจากเป็นความต้องการของลูกค้ากระเป๋าหนัก ที่เมื่อมีลูกอายุประมาณ 10 ขวบ 2 คนแล้ว ไม่สามารถทนใช้รถสปอร์ท 2 ประตู หรือรถคูเปต่อไปไหว
ต่อมาก็ลามมาถึงรถตรวจการณ์ ซึ่งดูเหมือนโรงงาน เอาดี จะเป็นต้นคิด ได้มีการปรับระบบเครื่องยนต์ ช่วงล่าง รวมถึงระบบเบรค ในระดับรถสปอร์ทชั้นสูง เพื่อเอาไว้ตอบสนองหัวหน้าครอบครัวรุ่นใหญ่ ที่ยังคงชอบรถสมรรถนะสูง
รถพิคอัพ ที่สมัยก่อนเน้นการบรรทุกเป็นหลัก ก็ถูกเพิ่มที่นั่งแถวสองขึ้นอีก 1 แถว แต่ยังคงเหลือกระบะด้านท้ายไว้บรรทุกแบบพอประมาณ แต่เมื่อมีการดัดแปลงใส่หลังคาคลุมเข้าไปทั้งคัน โดยไม่แยกกั้นระหว่างห้องโดยสารกับส่วนที่เป็นกระบะ มันก็จะกลายเป็นรถตรวจการณ์ไปทันที และถ้าออกแบบตัวถังไม่ให้เหลือเค้าโครงของรถพิคอัพ แล้วนำไปติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็จะกลายเป็นรถ เอสยูวี หรือ (SPORT UTILITY VEHICLE) แต่คนไทยซึ่งตั้งชื่อให้กับรถกระบะดัดแปลงลักษณะนี้ว่า พีพีวี หรือ (PICK-UP PASSENGER VEHICLE)
รถครอบครัวขนาดเล็กทั้งแบบ 3 และ 5 ประตู ที่เรียกกันว่ารถแฮทช์แบค ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมากจากคนทั่วโลก รวมถึงบ้านเราด้วย โดยรถลักษณะนี้ต่างก็นิยมนำมาขยายและเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ รวมทั้งปรับระบบช่วงล่าง จนมีสมรรถนะสูงระดับรถสปอร์ทขนาดเล็ก นำร่องโดยโรงงาน โฟล์คสวาเกน ในรุ่น กอล์ฟ จีทีไอ เมื่อกว่า 20 ปีก่อน จนอักษร 3 ตัวนี้กลายเป็นเอกลักษณ์ของรถประเภทนี้ไปแล้ว ล่าสุดมีรถหลายค่ายหันมาทำตลาดประเภทนี้อย่างจริงจัง จนประสบความสำเร็จไปแล้วมากมาย เห็นได้ชัดรถจากเมืองเบียร์อย่าง เมร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาสส์ เอเอมจี ที่มียอดจองถล่มทลาย ในงานมหกรรมยานยนต์เมื่อปลายปีที่แล้ว
ประเภทรถแวน ต้นกำเนิดก็คือ รถตู้ขนของ ที่ถูกนำมาดัดแปลงให้มีขนาดใหญ่ระดับเดียวกับห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งเลยทีเดียว รถตู้หรือรถแวนที่คนไทยเรียกว่า "รุ่นใหญ่" ในสหรัฐอเมริกา เรียกว่า "มีนีแวน" กันนะครับ เช่น ไครสเลอร์ วอยาเจอร์ หรือ โฟล์คสวาเกน คาราเวลล์ ผมเคยนึกคิดติดตลกไปว่า ถ้าเขามาเจอรถอย่าง โตโยตา อวันซา เขาจะเรียกมันว่าไมโครแวนหรือไม่
ลักษณะขอบเขตที่ใช้แบ่งประเภทของรถยุคนี้ มันอาจเลอะเลือนไปหมดแล้ว ถ้าเราเห็นรถ 5 ที่นั่ง ท้ายตัดขนาดเล็ก แต่ยกสูงสักคันหนึ่ง บางครั้งเราก็ไม่สามารถบอกได้อย่างมั่นใจนัก มันเป็นรถประเภทไหน รถตรวจการณ์ขนาดเล็ก แวนขนาดเล็ก หรือรถแฮทช์แบค ในปัจจุบันได้มีการตั้งชื่อลักษณะของรถแปลกๆ ประเภทนี้กันมากมาย เช่น มีนีเอสยูวี มีนีเอมพีวี ครอสส์โอเวอร์ มีนีครอสส์โอเวอร์ ฯลฯ
ในอนาคตอาจมีรถตรวจการณ์ขนาดใหญ่ หรูหรา ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มองให้เป็นรถแวนก็ได้ หรือจะจัดเป็นรถ เอสยูวี ก็ไม่ผิดเช่นกัน ไม่มีใครเดาใจลูกค้าได้อย่างมั่นใจครับ ว่าถ้าทำรถแบบไหนมาแล้วจะขายดีและประสบความสำเร็จ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดที่ไหนในโลกตอบได้ เพราะมันไม่ใช่แค่การรวบรวมข้อมูล เพื่อ "เดาใจ" กลุ่มลูกค้าเท่านั้น มันมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่อยู่เหนือการคาดเดา และทำให้การวางแผนการตลาดของโรงงานรถผิดพลาดได้ตลอดเวลา เช่น พฤติกรรมการเอาอย่างกันของมนุษย์ หรือรูปทรงของรถ ว่าจะตรงกับรถนิยมของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหรือไม่
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จึงต้องใช้งานแสดงรถยนต์นี่แหละครับ ช่วยในการตัดสินใจ โดยการสอบถาม หรือให้กรอกแบบสอบถามว่า ถ้ามีคนทำรถแบบที่เห็นอยู่นี้มาขาย คุณจะซื้อหรือไม่ และพร้อมจะ "จ่าย" ถึงระดับราคาเท่าใด ?
รถรูปทรงสูงแต่ผอม ถือกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่นที่เรียกว่า เคคาร์ เป็นรถที่มองข้างนอกเล็ก แต่ผู้โดยสารภายในนั่งแล้วรู้สึกไม่อึดอัด กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในตลาดโลก เพราะมีความอเนกประสงค์เต็มที่ โดยเฉพาะเวลาอยู่ในเมืองที่เล็กและแคบๆ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะขายคนไทยที่ถือความสวยงามมากกว่าประโยชน์ใช้สอยได้หรือไม่ ? และจะเหมาะสมกับพฤติกรรมการขับรถ รวมถึงสภาพถนนหนทางของบ้านเราได้หรือเปล่า ?
เมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จากความนิยมรถ เอสยูวี และจากความจำเป็นในการถ่ายทอดแรงขับเคลื่อนลงสู่ผิวถนน เนื่องจากเครื่องยนต์มีกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ปัจจุบันรถขับเคลื่อน 4 ล้อประเภทนี้กลับได้รับความนิยมน้อยลง เนื่องมาจากราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกระแสการตื่นตัวพลังงานของโลก
เครื่องยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบเยอะๆ รวมถึงจำนวนลูกสูบหลายสูบ จะเริ่มน้อยลงไป (ยกเว้นพวกรถซูเพอร์คาร์จากบางค่าย ที่เสียงเครื่องยนต์กับพละกำลังยังเป็นจุดขายอยู่) แต่จะมีการพัฒนาเครื่องยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบน้อยๆ ให้มีพละกำลังมากขึ้นเทียบเท่าเครื่องยนต์ใหญ่ๆ ด้วยการใช้ระบบอัดอากาศจากเทอร์โบช่วยในการเผาไหม้ ถ้าเป็นรถเครื่องยนต์เบนซินจะนำระบบฉีดตรงเข้าห้องเผาไหม้อย่าง ไดเรคท์อินเจคชัน (DIRECT INJECTION) เข้ามาในรถยนต์นั่งมากขึ้น ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ ยังคงมีคนต้องการในรถยนต์นั่งอยู่ต่อไป ในอนาคตจะมีการนำระบบผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในกับมอเตอร์ไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า "ไฮบริด" เข้ามาใช้เพิ่มขึ้น จนกว่าจะถึงยุคของไฟฟ้า ที่แบทเตอรีมีประสิทธิภาพสูงพอ และมีราคาที่ถูกลงกว่านี้
ขนาดของล้อรถยนต์นั่งทั่วไป จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านเส้นผ่านศูนย์กลางและทางด้านกว้างของกระทะล้อ ล้อขนาด 17-20 นิ้ว จะถูกใช้มากขึ้นกับรถใหม่ เนื่องจากต้องการเนื้อที่สำหรับจานเบรคขนาดใหญ่ หน้ายางก็จะกว้างขึ้นตามไปด้วย เพื่อรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งรับแรงในโค้ง แรงเบรค และอัตราเร่ง
ระบบอีเลคทรอนิคส์ (ELECTRONICS) จะมีสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะนี้มูลค่าอุปกรณ์อีเลคทรอนิคในรถบางรุ่นสูงเกินกว่าครึ่งของราคารถแล้วครับ การลดน้ำหนักจะได้รับการเน้นเป็นพิเศษ เพื่อชดเชยกับน้ำหนักของอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ที่เพิ่มเข้าไปอย่างพรวดพราด เพราะฉะนั้นน้ำหนักรวมของรถจะไม่ลดลง แต่ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นเพราะต้องใช้วัสดุเบากับเครื่องยนต์ ช่วงล่าง และชิ้นส่วนของตัวถังครับ
เกียร์ธรรมดาจะมีสัดส่วนที่ลดลง เพราะส่วนใหญ่คนจะนิยมใช้เกียร์อัตโนมัติเพิ่มขึ้น และไม่เฉพาะกับรถเก๋งเท่านั้น รถ เอสยูวี รถพิคอัพ หรือแม้แต่รถสปอร์ทกำลังสูงก็ได้รับความนิยมด้วยเช่นกัน เกียร์อัตโนมัติแบบเปลี่ยนอัตราทดต่อเนื่อง หรือ ซีวีที (CVT) จะถูกพัฒนาให้ทนทานไว้ใจได้ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในรถระดับกลางทั่วไป เนื่องจากไม่กินน้ำมันมากกว่าเกียร์ธรรมดา เกียร์อัตโนมัติทั่วไป จะมีเทคโนโลยีเกียร์แบบใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น ช่วยให้ประสิทธิภาพการส่งกำลังที่ดี และประหยัดเชื้อเพลิงขึ้นอีกเยอะครับ
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/93693