พิเศษ(formula)
เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสส์ และ เอาดี เอ 4 ใหม่
ความเป็นกลาง คือ ความงาม ถ้าคำกล่าวนี้ของ อริสโตเติล เป็นจริง รถยนต์ขนาดกลาง คงเปรียบเหมือนสิ่งมีค่า ในสายตาของเหล่าผู้ผลิต
อย่างไรก็ตาม ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (ก่อนที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน) รถยนต์ขนาดกลาง ดูเหมือนจะประสบปัญหามาตลอด โดยตั้งแต่ปี 20022012 ยอดจดทะเบียนใช้รถประเภทนี้ในแถบยุโรป ลดลงถึง 5 % จนเหลือสัดส่วนในตลาดต่ำกว่า 15 %
ตอนนี้ หลังจากที่ บีเอมดับเบิลยู ประสบความสำเร็จกับ ซีรีส์ 3 และ แจกวาร์ เริ่มวางแผนที่จะทำแบบเดียวกัน ทั้ง เอาดี และ เมร์เซเดส-เบนซ์ ก็ได้ทุ่มเทเวลา งบประมาณ และทรัพยากร ไปเพื่อการคืนชีพ รถยนต์ขนาดกลางรุ่นที่ได้รับการยกย่อง อย่าง เอ 4 และ ซี-คลาสส์ ด้วยเหตุผลว่า แม้กระแสการไม่ยอมรับรถขนาดกลางจะแพร่หลายไปทั่วทั้งยุโรป แต่รถรูปแบบนี้ ก็ยังเป็น หัวใจหลัก ในการทำธุรกิจระดับโลก ของทั้ง 2 ค่าย
จริงๆ แล้ว เมื่อปี 2012 เอ 4 ยังคงครองตำแหน่ง รถที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของ เอาดี ด้วยยอดขาย 330,000 คัน เพิ่มขึ้นกว่า 22 % ขณะที่ ซี-คลาสส์ ก็ยังคงยืนยัน ความเป็น ราชินี ของรถรูปแบบนี้เช่นกัน ด้วยยอดขาย 413,193 คัน (สูงเป็นอันดับ 3 ของยอดขายรถทั้งหมดของ เมร์เซเดส-เบนซ์)
ความงดงามของรถขนาดกลาง เป็นสิ่งสำคัญ อย่างที่ อริสโตเติล กล่าวไว้ไม่มีผิด
ในปี 2011 บีเอมดับเบิลยู ได้เปิดตำนานบทใหม่ ของรถซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีอย่างยาวนาน ด้วย ซีรีส์ 3 ทั้ง 6 รุ่น (ที่ได้รับการบันทึกว่าเป็นรถที่มียอดขายดีในมิวนิค รวมทั้งยังมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 21.8 % ในช่วงครึ่งแรกของปี 2013 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปีก่อน) ซึ่ง เมร์เซเดส-เบนซ์ ตั้งใจจะทำให้ได้เหมือนกันภายในระยะเวลา 1 ปี เช่นเดียวกับ เอาดี ที่วางแผนจะส่ง เอ 4 โฉมใหม่ ออกสู่ตลาดก่อนฤดูร้อน ปี 2014
ซี-คลาสส์ เพิ่มพื้นที่ เพิ่มความภูมิฐาน
สำหรับค่ายดาวสามแฉก การรักษาฐานลูกค้า ที่อายุน้อยกว่า 50 ปี เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น จึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องทำ
ซี-คลาสส์ โฉมใหม่ มีความพยายามที่จะถ่ายทอดความรู้สึกไหลลื่น และเบา ขณะใช้งาน ให้แก่ผู้ขับขี่ เนื่องจาก ซีแอลเอ กำหนดจุดยืนของตัวเองไว้ให้ใกล้เคียงกับ ซี-คลาสส์ ดังนั้น ทางเลือกเดียวของ เมร์เซเดส-เบนซ์ คือ เปลี่ยน ซี-คลาสส์ ใหม่ ให้กลายเป็น เอส-คลาสส์ ขนาดย่อส่วน โดยเพิ่มความยาวตัวถัง ซี-คลาสส์ ใหม่ เป็นกว่า 4.70 เมตร ยาวกว่าตัวถังรุ่นปัจจุบัน ซึ่งยาว 4.60 เมตร เพื่อขยายพื้นที่ใช้สอย พร้อมรูปทรงที่หนักแน่น ซึ่งดูใกล้เคียงกับรถคูเป
การพยายามลดน้ำหนักของตัวรถลง ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่ เพื่อปรับรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ต้องขอบคุณการใช้อุปกรณ์ที่ผสมผสานวัตถุดิบหลายรูปแบบ และการลดขนาดถังน้ำมัน ที่ทำให้ ซี-คลาสส์ มีความโดดเด่นในด้านน้ำหนักที่เบาลงถึงราว 70 กก. ทำให้ค่าสัมประสิทธิ์ของตัวรถลดลงจาก 0.27 เหลือ 0.25 และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลดลงถึง 20 % แน่นอนว่า ความดีความชอบส่วนใหญ่นั้น เป็นของเครื่องยนต์
ซี-คลาสส์ ใหม่ใช้เครื่องยนต์รูปแบบเดิมกับตลาดทั่วโลก เริ่มจาก เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.6 ลิตร ถึง 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 156 และ 252 แรงม้า เครื่องยนต์เบนซิน วี 6 สูบ 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 333 แรงม้า และ เครื่องยนต์เบนซิน วี 8 สูบ ทวินเทอร์โบ สำหรับรุ่น ซี 63 เอเอมจี รวมถึงตัวที่รอการยืนยันอย่างเป็นทางการ อย่าง เครื่องดีเซลเทอร์โบ 2.1 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 170, 204 และ 231 แรงม้า นอกเสียจากว่า เมร์เซเดส-เบนซ์ จะลดขนาดลงเหลือ 1.8 ลิตร กำลังที่ได้ก็จะลดลงเหลือ 109 หรือ 136 แรงม้า
นอกจากนี้ยังมีเครื่องยนต์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีก 2 เวอร์ชัน ที่กำลังอยู่ในขั้นพิจารณา ได้แก่ เครื่องยนต์ไฮบริดแบบเบา ซึ่งใช้เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 204 แรงม้า กับ มอเตอร์ไฟฟ้า 27 แรงม้า และเครื่องยนต์พลักอินไฮบริด ขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน ซึ่งรับประกันว่าจะไม่ปล่อยมลภาวะเลยในระยะ 50 กม. ขับเคลื่อนล้อหลัง (หรือขับเคลื่อน 4 ล้อ) ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ส่วนเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะที่รอคอยกันมานานนั้น คงยังไม่พร้อมใช้งานในช่วงเวลาที่ ซี-คลาสส์ ใหม่นี้ออกสู่ตลาด (คาดว่าจะได้เปิดตัวใน อี-คลาสส์ ใหม่ ในปี 2016) ซึ่งตัวถังแบบซีดานคงจะได้ปรากฏโฉมตามโชว์รูม ในฤดูร้อนนี้ และจะตามมาด้วย คูเป และแบบเปิดประทุนหลังคาอ่อน ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแทนที ซีแอลเค ในปี 2015
ระบบกันสะเทือนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ระบบป้องกันเสียงพัฒนาขึ้น รวมไปถึงระบบอัตโนมัติเพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ ในรุ่นที่ทันสมัยที่สุด นอกจากนั้น เมร์เซเดส-เบนซ์ ยังสนใจเรื่องระบบมัลทิมีเดีย โดยแม้จะยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่มีความเป็นไปได้ว่าใน ซี-คลาสส์ ใหม่นี้ ผู้ขับขี่จะสามารถควบคุมระบบความบันเทิงต่างๆ ภายในห้องโดยสารด้วยการใช้ท่าทางง่ายๆ
เอ 4 กับวิวัฒนาการของโครงสร้าง
เอาดี กำหนดจะเปิดตัว เอ 4 รุ่นที่ 5 ในยุโรป ช่วงฤดูร้อนปี 2014 ด้วยตัวถังแบบซีดาน และแบบสเตชัน แวกอน ส่วน เอ 5 แบบคูเป จะออกสู่ตลาดในปี 2015 ตามมาด้วยแบบคอนเวอร์ทิเบิล ในอีก 1 ปีให้หลัง ทุกอย่างคงเป็นไปตามธรรมเนียมของ เอาดี ยกเว้นข่าวลือเรื่องของโมเดล กรัน ตูริสโม ที่อาจใช้ช่วงล้อยาว ของโมเดล เอ 4 แอล (ประสบความสำเร็จมากในประเทศจีน)
หลักการพัฒนารูปแบบของกระจังหน้านั้น เป็นสิ่งที่จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องถาม เพราะนอกเหนือจากการสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนด้วยกระจังหน้าอันมีชื่อเสียงอยู่แล้ว เอาดี ยังใส่ลูกเล่นแบบ 3 มิติ ที่ออกแบบอย่างเฉพาะเจาะจงในทุกๆ โมเดล ทั้งซีดาน สปอร์ท และ เอสยูวี ขณะที่ ตัวรถจะเต็มไปด้วยเส้นสายที่ชัดเจน รวมถึงมีส่วนท้ายที่ดูเป็นเหลี่ยมมุมมากขึ้น
ด้วยความที่ถูกสร้างขึ้นบนพแลทฟอร์มของ MLB (MODULAR LONGITUDINAL MATRIX) ซึ่งเป็นพแลทฟอร์มที่ เอาดี ได้รับจาก โฟล์คสวาเกน กรุพ และด้วยน้ำหนักที่เบาลงถึง 50 กก. เอ 4 ตัวถังซีดาน คงจะไม่เพิ่มความยาวมากนัก ในทางกลับกัน ระยะห่างระหว่างฐานล้อหน้า/หลัง จะยาวขึ้นอย่างน้อย 1 ซม. เพื่อขยับขยายพื้นที่โดยสาร ซึ่งความแปลกใหม่ที่น่าสนใจที่สุดอยู่ที่ การวางสภาพแวดล้อมภายในห้องโดยสาร ให้เป็นแบบมัลติมีเดียอีกครั้ง โดยที่ศูนย์กลางของระบบ จะยังมีลูกบิด MMI (MULTIMEDIA INTERFACE) ควบคุมฟังค์ชันความบันเทิง และฟังค์ชันนำทาง พร้อมเพิ่มเติมระบบจอสัมผัส ซึ่งสามารถอ่านกิริยาท่าทางการสัมผัส รวมถึงตอบสนองต่อความต้องการของผู้ขับขี่ ผ่านระบบสั่นได้
ในด้านความปลอดภัย นอกเหนือจากระบบ แอคทีฟ และ พาสสีฟ ที่มีอยู่ทั่วไป การเปิดตัว จอแสดงผล HEAD-UP-DISPLAY ระบบดิจิทอล ที่สามารถตั้งพโรแกรมได้ ถือเป็นอีกไฮไลท์ที่น่าจับตา รถรุ่น 1.8 ทีเอฟเอสไอ ยังคงใช้ เครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร แบบที่ใช้ในรุ่น เอ 3 และ กอล์ฟ ที่มาพร้อมกำลัง 122 หรือ 180 แรงม้า ในขณะที่รุ่นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร จะมีกำลัง 225 และ 286 แรงม้า สำหรับ เครื่องยนต์เบนซิน วี 6 สูบ 3.0 ลิตร 340 แรงม้า ถูกจองไว้โดยเฉพาะสำหรับรถเวอร์ชัน สปอร์ที เอส ที่จะมาพร้อมกับเกียร์ระบบคลัทช์คู่วิวัฒนาการล่าสุด
เครื่องยนต์ดีเซล จะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า โดย เครื่องยนต์ วี 6 สูบ 3.0 ลิตร 218 และ 272 แรงม้า กับ ขนาด 2.0 ลิตร 150 และ 184 แรงม้า ได้รับการยืนยันแล้ว อย่างไรก็ตามส่วนหลังได้รับการปรับปรุงด้วยเวอร์ชัน TDIE 122 แรงม้า ซึ่งช่วยลด
ระดับการบริโภคเชื้อเพลิงลง ด้านเครื่องยนต์ไฮบริด เอาดี เอ 4 จะมีเวอร์ชัน พลัก อิน ที่ได้มาจาก คิว 5 เครื่องยนต์เบนซิน ทีเอฟเอส ขนาด 2.0 ลิตรI 225 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่อยู่ทางส่วนหลัง เพื่อส่งแรงหมุนให้ล้อทั้ง 4 โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพา เพลาขับเพิ่มเติม
เรื่องโดย : MANUELA PISCINI
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/93645