ร่มไม้ชายศาล
ซ่อมมีประกัน
อเมริกันชนนั้นมีปัญหาสารพัด เช่น บ้านอื่นเมืองอื่น อาจแตกต่างกันไปตามวิสัยของชนแต่ละชาติ เห็นอยู่อย่างคือ ตำรวจมะกันปวดหัวกับการไล่ล่าคนขับรถยนต์ทำผิดกรณีต่างๆ เช่น ผิดกฎจราจร ก่อเหตุร้าย จี้ปล้นฉุดคร่าแล้วหนี สติแตกหรือเพี้ยน ขับรถบ้าระห่ำ สร้างความเดือดร้อนด้านชีวิตทรัพย์สินต่อเจ้าหน้าที่และผู้ใช้รถใช้ถนนมากมาย รถชนกันวินาศสันตะโรก็มี รถที่ก่อเหตุมีทุกแบบ รถเก๋งยันรถบรรทุก รถพ่วง แม้กระทั่งรถถังของทหารพวกบ้าโดดขึ้นขับ บี้รถบนถนนพังเป็นแถบๆ ชาย/หญิง หนุ่ม/แก่ ก่อเรื่องได้ทั้งนั้น ไม่เชื่อเปิดยูทูบแต่ละรายดูไม่จืด รถก่อเหตุคันเดียว ใช้รถเจ้าหน้าที่ 20-30 คันไล่ล่าก็มี เฮลิคอพเตอร์นั้นขาดไม่ได้ ออกทีวีเรียลไทม์ ให้ชาวบ้านลุ้นระทึกไปเลย
ล่าสุด ต้นเดือนตุลาคม 2556 ช่วงที่สหรัฐอเมริกาเจองานช้าง รัฐบาล โอบามา ผ่านงบประมาณประจำปีไม่ได้ เกิดการงัดข้อระหว่าง 2 พรรคใหญ่ ต้องชัทดาวน์ปิดหน่วยงานต่างๆ ยกเว้นส่วนที่จำเป็น มีผู้หญิงอายุ 34 ปี มารู้ทีหลังว่าแกสติไม่ดี ขับรถเก่งพุ่งเข้าทำเนียบขาว เจอสิ่งกีดกั้น เจอเจ้าหน้าที่ล้อม ลั่นปืนใส่ไม่รู้กี่กระบอก ก็ไม่ลดละ ขับรถขวิดเจ้าหน้าที่ ชนรถอื่น ตำรวจใช้รถไล่กวดก็ไม่ยอมหยุด วนอยู่แถวนั้น สุดท้ายเจอวิสามัญ ตามสไตล์ตำรวจมะกัน เห็นภาพข่าววีดีโอ ผมยังจำสถานที่ได้ ตอนเข้าชมทำเนียบขาวเมื่อปี 2553 เขาไม่ได้มีปราการอะไรมากมาย แต่เจ้าหน้าที่เยอะแน่นอน รวมทั้งผนังหรือดาดฟ้าทำเนียบ ป้องกันระเบิดได้ เฮลิคอพเตอร์ก็บินสอดส่องไม่ขาด
สาเหตุที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ เพราะปิ๊งขึ้นมา อยากให้โต้โผใหญ่ "คุณขวัญชัย" ซึ่งบินไปอเมริกาฝรั่งมังค่า ชนิดที่นกอพยพสู้ไม่ได้ ไปตลอดทุกฤดูกาล จะแพ้ก็แต่นายกหญิงละมั้ง ช่วยนำไอเดียของผมไปเสนออเมริกา ให้ติดตั้งระบบดับเครื่องยนต์ อาศัยเทคโนโลยีดาวเทียมของกูเกิลก็ได้ รถเอกชนของอเมริกันชนต้องติดไว้ทุกคัน โดยมีข้อจูงใจ เมื่อเกิดเหตุร้าย จำเป็นต้องหยุดรถคันนั้นให้ได้ สบายโก๋ ไม่ต้องใช้รถตำรวจไล่อุตลุดอย่างที่เห็นแล้วไม่จนมุมสักที เมื่อรู้ว่าเป็นรถคันไหนแน่ ก็กดสวิทช์จากศูนย์ความปลอดภัยแห่งชาติ ดับเครื่องยนต์ได้ในบัดดล ไอ้คนก่อเหตุเหลืออยู่ทางเดียว ต้องอาศัยหลวงพ่อโกย วัดหน้าตั้ง เช่าไปจากเมืองไทย หนีไม่ให้ตำรวจจับ กึ๊บเก๋ไหมละ เผลอๆ ได้ค่าทรัพย์สินทางปัญญาเชียวนะ
ตามมาติดๆ ด้วยคดีความให้ครึกครื้นอย่างเคย
เอาคดีรถชนกันนี่แหละมานำเสนอ น่าสนใจตรงที่ไม่เห็นว่าใครเป็นคนขับ เกิดเหตุแล้วเตลิดหนีทันที ไม่ค่อยมีพยานสนับสนุน แล้วจะฟ้องใครเรียกค่าเสียหาย ผลจะเป็นยังไง
นายตลก และ นางขำขำ หากันเจอจนได้เป็นผัวเมีย ไปเช่าซื้อรถกระบะจาก หจก.จ่ายสดงดเชื่อการค้า ซึ่งกิจการคงไปได้ไม่สู้ดีนัก หาลูกค้าเงินสดยากหน่อย แล้วสองผัวเมียโดนฟ้องเป็นคดีนี้ หจก. พ่วงเข้าไปด้วย โจทก์คือ นายก๊าก แจงในคำฟ้องว่า รถกระบะคันนี้แหละ มีคนขับแบบประมาท อาจเป็นตัวแทนของสองผัวเมีย หรือ หจก.จ่ายสดงดเชื่อการค้า ไปเฉี่ยวชนรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งมีลูกชายของตนสองคนนั่งมา เจ็บสาหัสทั้งคู่ ในฐานะพ่อตามกฎหมาย ขอเรียกร้องค่าเสียหายต่างๆ 2 แสนกว่าบาท พร้อมดอกเบี้ย นายตลก กับ นางขำขำ พากันงดขำ กัดฟันจ่ายเงินจ้างทนายสู้คดี ให้การว่า ตอนเกิดเหตุไม่ได้ครอบครองรถ มีคนมายืมจาก นางขำขำ ไปขับ สองผัวเมียจึงลอยลำไม่ต้องรับผิดชอบ หจก.จ่ายสดงดเชื่อการค้า ผู้ให้เช่าซื้อรถก็เถียงว่า ไม่ต้องรับผิดเพราะโอนรถให้ นางขำขำ คนเช่าซื้อแล้ว
จำเลยยังพากันร้องขอให้ศาลเรียกบริษัทประกันภัย ที่รับประกันตาม พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัยเข้ามาเป็นจำเลยร่วม เพื่อแชร์ความรับผิดชอบ ศาลอนุญาต บริษัทประกันให้การว่า จำเลยไม่ได้ประมาท ถ้าจะให้รับผิดก็เท่าวงเงินประกัน
ศาลชั้นต้นฟังพยานของทั้งสองฝ่ายพอมึนๆ แล้วตัดสินให้ นายตลก ซึ่งเชื่อว่าเป็นคนขับรถขณะเกิดเหตุจ่าย 240,000 บาทเศษ บริษัทประกันจ่าย 20,000 บาทเศษ พร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้อง นางขำขำ กับ หจก.จ่ายสดงดเชื่อการค้า ไปเสีย
นายตลก เห็นตัวเลขแล้วตลกไม่ออก รีบให้ทนายยื่นอุทธรณ์ เถียงว่า ไม่ได้ขับรถ ไม่ได้ครอบครองรถ ไม่มีพยานมายันให้เห็นว่า รถยนต์เป็นฝ่ายประมาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เพ่งดูแต่สำนวน สบายกว่าศาลชั้นต้น แล้วพิพากษาแก้ ให้ นายตลก และบริษัทประกันภัยร่วมกันจ่ายเงิน 250,000 บาทเศษ พร้อมดอกเบี้ย เฉพาะบริษัทประกันรับผิดในวงเงินเกือบ 80,000 บาท ตามที่กฎหมายกำหนดให้จ่ายแก่ผู้ประสบภัยในขณะนั้น นอกจากที่แก้คงเดิม คือ ยกฟ้องจำเลยอื่นๆ
จำเลยที่ 1 คือ นายตลก ยังสู้ไม่ถอย ยื่นฎีกาขึ้นไป จะเอาชนะให้ได้
ศาลฎีกาเซ็ง คดีเยอะแค่ไหน ก็ต้องกัดฟันสู้ คว้าสำนวนคดีนี้มาส่องดู แล้วชี้ขาดออกมา
ข้อเถียงว่า นายก๊าก ผู้เป็นโจทก์ ชื่อแนวเดียวกับพวกจำเลย ไม่มีพยานยันว่าเห็นใครขับรถกระบะ ขับประมาทไหม ร้อยเวรก็เป็นพยานบอกเล่า ศาลฎีกาแทงว่า การรับฟังพยานหลักฐานในคดีแพ่ง เป็นการชั่งน้ำหนักพยานทั้งสองฝ่าย ฝ่ายใดมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ สมเหตุสมผลสอดคล้องต่อความเป็นจริง ควรแก่การรับฟังยิ่งกว่ากัน งานนี้ นายก๊าก เขามีคนขับขี่มอเตอร์ไซค์มายันว่า รถกระบะประมาท เกิดเหตุแล้วหลบหนี พิจารณาภาพถ่ายกับรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารแล้ว ร่องรอยการเฉี่ยวชน สอดคล้องกับคำของคนขับขี่รถจักรยานยนต์ ที่ว่ารถกระบะแล่นมาทางขวา แล้วทะลึ่งหักเข้าด้านซ้าย ทำให้ส่วนท้ายรถกระบะเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ เกิดเหตุแล้วรถกระบะรีบบึ่งหนี จึงเป็นพิรุธ แสดงว่าเกรงกลัวความผิดของตน พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยประมาทครานี้ใครขับ ได้ความว่า นายตลก กับ นางขำขำ เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ เกิดเรื่องแล้ว นายก๊าก พาตำรวจคนหนึ่งไปสอบถามครูและภารโรงที่โรงเรียน ได้ความว่า นายตลก เป็นผู้ใช้รถกระบะนั้นเป็นประจำ นางขำขำ ก็เบิกความรับว่า พวกตนมีรถยนต์ 2 คัน รถเก๋ง นางขำขำ เป็นผู้ใช้ รถกระบะ นายตลก เป็นผู้ใช้ นางขำขำ เป็นเมียย่อมรู้ดี ไม่น่าเบิกความซึ่งเป็นผลไม่ดีแก่ นายตลก จึงมัดคอว่า นายตลก ใช้รถกระบะเป็นประจำ ไม่มีพยานรู้เห็นว่าใครขับขณะเกิดเหตุ เนื่องจากกลางคืน เหตุเกิดรวดเร็ว ชนแล้วหนีทันที จะมีผู้รู้เห็นว่าใครขับรถกระบะจึงยาก แต่ตามพฤติการณ์ ศาลฟันธงว่า นายตลก เป็นผู้ใช้รถกระบะนั้นเป็นประจำ หลังเกิดเหตุตำรวจตรวจแล้วมีร่องรอยเฉี่ยวชน ที่สำคัญ นายตลก เจรจาขอชดใช้ค่าเสียหายตั้ง 120,000 บาท แม้อ้างว่า อยากนำรถไปใช้ ก็ยังมีน้ำหนักน้อย ข้ออ้างของ นายตลก ที่ว่า นายแมว ขอยืมรถไปใช้ในช่วงเกิดเหตุ แต่ไม่ยักนำตัว นายแมว มายัน และเพิ่งบอกชื่อจริงในภายหลัง ทั้งๆ ที่ นายตลก เคยอ้างว่า นายแมว เป็นน้องเขย จึงเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อถือ ที่บอกว่านำนักเรียนไปเข้าค่ายลูกเสือ ก็ไม่มีพยานหลักฐานมายัน อ้างลอยๆ สรุปไม่ต้องฟังว่าจะมีใครเป็นตัวแทน นายตลก ขับรถกระบะไปเกิดเหตุหรือไม่ นายตลก นั่นแหละขับเอง อีกอย่าง นายก๊าก โจทก์เขาฟ้องให้ นายตลก รับผิด ในฐานะเจ้าของครอบครองรถ หรือใช้ตัวแทนขับรถ เมื่อได้ความว่า นายตลกขับซะเอง ศาลตัดสินเอาผิดได้ ไม่ใช่ฟ้องนอกประเด็น
การฟ้องเรียกเอาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปดูแลลูกที่โรงพยาบาล นายก๊าก ในฐานะพ่อ ต้องอุปการะเลี้ยงดูลูกที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เรียกร้องได้
ศาลฎีกาซึ่งเวียนหัวกับการนั่งส่องคดีมากมายไม่มีหยุด ต้องยอมเมื่อยขา พิพากษายืนอีกหนหนึ่ง เอาตามที่ศาลอุทธรณ์ว่าไว้ครับ ที่เคยพูดกันว่า ไม่เห็นว่าใครเป็นคนขับ จะฟ้องเจ้าของรถได้ไหม ดูเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง
แต่ถ้าเอาผิดทางอาญา ให้เข้าคุกเข้าตะราง ศาลเพ่งเรื่องพยาน ต้องยืนยันได้ว่าใครเป็นคนขับ เน้นกว่าคดีแพ่งว่างั้นเถอะ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6232/2554
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/93386