โค้งอันตราย
มหกรรมแคมเปญ
เป็นไปตามความคาดหมายอีกครั้ง เมื่อยอดการขายประจำเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ทำตัวเลขกันติดลบอีกครั้ง 23.3 % ขายกันได้ 98,364 คัน แต่ยอดรวม 8 เดือนยังดีอยู่ ยังเพิ่มเล็กน้อย 7.9 % ขายกันได้ 927,288 คัน เท่ากับว่าขายกันอีกเพียง 72,712 คัน ก็จะเกิน 1 ล้านคันเรียบร้อย
แล้วที่เหลืออีก 3 เดือนสุดท้าย ติ๊ต่างว่า ขายกันเดือนละเก้าหมื่นคัน เก้าสามยี่สิบเจ็ด เราก็จะได้ตัวเลขประจำปี 2556 ที่ หนึ่งล้านสามแสนคัน เท่ากับว่าที่นักการตลาดคาดการณ์เอาไว้นั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องหนึ่งล้านสามแสนคัน แต่ขี้เกียจเขียนเป็นตัวเลข เพราะมันอ่านแล้วจะลายตา เขียนเป็นตัวหนังสือนี่ก็ดูดีเหมือนกันนา
แล้ว งานมหกรรมยานยนต์หนนี้ จะสามารถทำตัวเลขยอดจองได้สักห้าหมื่นไหมหนอ
และให้บังเอิญว่าในชีวิตปกติของคนไทยตาดำๆ ใน 2 เดือนนี้ กันยายน และ ตุลาคม เป็นเดือนแห่งพายุฝน น้ำท่วม น้ำบ่า ดีเพรสชัน เป็นโลว์ซีซันของการขายรถยนต์อย่างแท้จริง เพราะลูกค้าที่ไหนจะมีแก่ใจลุยน้ำท่วม ลุยฝนกระหน่ำ ฝ่าพายุฝนกันออกมาซื้อรถยนต์ใช้ นอกจากว่า เป็นความจำเป็นของการทำมาหากินอย่างแท้จริง ที่จะต้องมีรถใหม่ให้ได้ เพื่อธุรกิจของตนเอง หรือเพื่อการทำมาหารับประทานในชีวิตประจำวัน
แล้วยังมีปัจจัยอื่น อาทิ ตลาดหุ้นมีความผันผวนทำให้ลูกค้าในกลุ่มนี้เกิดปัญหา ปัจจัยทางด้านการเมืองที่ไม่นิ่ง วิกฤตเศรษฐกิจโลก และราคาพืชผลทางการเกษตร อาทิ ข้าว ยาง น้ำมันปาล์ม ที่ตกต่ำ�จนต้องออกมาปิดถนนประท้วงให้วุ่นวายกันไปทั้งเมือง
ซึ่งในชีวิตปกติของนักการตลาดสายยานยนต์แล้ว ห้วงไตรมาสนี้ เป็นห้วงไตรมาสที่จะต้องออกแคมเปญส่งเสริมการขายกันอย่างรุนแรง เพื่อหาตัวเลขยอดขายให้ได้ เป็นเดือนหนึ่งที่พนักงานขายจะต้องทำหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง หาลูกค้า ปิดลูกค้าให้ได้ โชว์รูมก็จะต้องอัดแคมเปญกันอย่างหนัก เพื่อช่วงชิงตัวเลข
และเป็นเรื่องปกติ ที่บริษัทแม่ จะต้องกระหน่ำแคมเปญกันในช่วงโลว์ซีซันนี้ ให้โดนใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง มีอะไรในกระเป๋า ต้องงัดกันเอาออกมากองหน้าตักให้หมด แถมโชว์รูมเอง ก็จะต้องมีลูกเล่น เอาไว้ล่อใจกันบ้างเล็กน้อย
แต่ให้บังเอิญว่า ปีที่แล้ว ภาครัฐท่านใจดี ออกแคมเปญรถคันแรกออกมา และหมดสิ้นไปเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม แล้ว ตัวเลขยอดจองที่ยังไม่ได้ส่งมอบ ค่ายรถยนต์ก็ได้ใช้ความพยายามในการเคลียร์กันไปจนเกือบแล้วเสร็จ เหลือเพียงไม่กี่เจ้า จำนวนคันไม่มากนัก ไม่มีผลกระทบต่อยอดขายประจำเดือนเท่าใด
ความต้องการของผู้บริโภค ก็ถูกดึงเอาไปใช้ล่วงหน้าจนหมดแล้ว บรรดารถเล็ก รถกระบะ ที่อยู่ในข่ายรถคันแรก ผู้บริโภคก็กระหน่ำซื้อกันไปจนหมด ยอดการขายในช่วงนี้จึงซบเซาอย่างหนัก ความจำเป็นของบริษัทแม่ ที่จะต้องออกแคมเปญให้โดนใจผู้บริโภค จึงมีมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สิ่งที่เห็นได้อย่างรวดเร็ว ก็คือการโฆษณาของค่ายรถยนต์ ที่รุมกันกระหน่ำในหนังสือพิมพ์รายวัน รายปักษ์ สื่อทีวี อินเตอร์เนท งานโฆษณาทุกชิ้นเป็นเรื่องของแคมเปญล้วนๆ ไม่เห็นโฆษณาคอร์พอเรท โฆษณาคุณงามความดีของตัวรถเอง หรืออื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับแคมเปญเลย
พูดว่า ไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว และไม่เว้นแม้แต่เจ้าเดียว ก็น่าจะพูดได้นา
และที่น่าสนุกสำหรับชีวิตผู้สื่อข่าวก็คือ เราก็มาคุยกันว่า เจ้าแคมเปญที่ค่ายรถยนต์ประกาศออกมาน่ะ แต่ละชิ้นงาน แต่ละแคมเปญ ควรจะมีค่ากันสักเท่าไร ดาวน์ 0 % ดอกเบี้ย 0 % ประกันภัยชั้นหนึ่ง เมนเทนแนนศ์ฟรี 3 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับราคาจำหน่ายของรถ ราคาของส่วนลดในแคมเปญควรจะเป็นสักเท่าไร
และก็พบกันด้วยความสนุกสนานว่า มหกรรมรถคันแรก ที่คืนเงินภาษีสูงถึง 1 แสนบาทน่ะ แคมเปญปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนรถที่เข้าข่ายรถคันแรก บอกได้ทันทีว่า แคมเปญ ณ ปัจจุบัน ก็เกือบถึง 1 แสนบาทเช่นกัน ไล่เรียงกันแถวๆ 70,000-80,000 บาท เล่นกันขนาดนี้ทีเดียว
ตกลงว่าราคาจำหน่ายของรถยนต์ในปัจจุบัน เมื่อรวมค่าการตลาดเรียบร้อยแล้ว จะสามารถให้ส่วนลดกันได้ขนาดนั้นเชียวหรือ ภาครัฐ คิดแต่ว่า เก็บภาษีได้แล้ว ค่ายรถยนต์จะบวกเพิ่มเท่าไรก็ตามสบาย อย่าทำให้เป็นปัญหากับตัวเองเท่านั้นพอ
แล้วแคมเปญรถแต่ละคัน ราคาขายคันละ 400,000 บาท แต่สามารถมีแคมเปญสำหรับผู้บริโภคได้ในมูลค่าขนาด 60,000 บาท ท่านเจ้าพนักงานไม่สะดุ้งสะเทือนกันบ้างหรือไร
มันมีอะไรแอบอยู่ข้างในหรือเปล่าหว่า
แต่ที่น่าสะใจก็คือ สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานเรื่องนโยบายรถคันแรก ทำให้คนไทยเป็นหนี้มากขึ้น และพบว่า มีลูกหนี้ในโครงการนี้ ผิดนัดชำระหนี้แล้วกว่า 100,000 ราย จากการวิจัย รวมทั้งทำให้ราคารถมือสองตกต่ำลงอย่างมาก เฉลี่ยถึงราวร้อยละ 20
และส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์ ที่ยอดขายตกต่ำ จนต้องทำพโรโมชัน หรือส่วนลดอย่างหนัก และระบุด้วยว่า ยอดหนี้ครัวเรือนของไทย ขึ้นไปถึงเกือบร้อยละ 80 ของ จีดีพี หนึ่งในชาติที่มีตัวเลขหนี้ครัวเรือนสูงสุดในเอเชีย
แถมด้วยมีท่านประธานชมรมผู้ติดตามหนี้ที่เป็นธรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้มีสัญญาณชัดเจนว่า หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อบัตรเครดิทน่าเป็นห่วงมากที่สุด เพราะลูกหนี้หมุนเงินโดยการกดเงินสดเพื่อมาจ่ายค่างวดเช่าซื้อรถยนต์ ทำให้มีผลกระทบความสามารถในการชำระหนี้ยอดหนี้เก่า
ลูกค้าส่วนใหญ่ยอมจ่ายหนี้รถก่อนที่จะจ่ายหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล เนื่องจากค้างชำระ 1 เดือน บริษัทก็ติดตามแล้ว และหากค้าง 3 เดือน ก็จะยึดรถรีบนำมาขายทอดตลาด เพราะรถยนต์ราคาตกเร็วมาก
ส่วนบริษัทลีซิงที่ให้บริการเช่าซื้อรถยนต์ไม่ต้องการยึดรถคันแรก เพราะติดเงื่อนไขตามประกาศกระทรวงการคลัง ที่ห้ามเปลี่ยนมือผู้ครอบครองรถยนต์ภายใน 5 ปี หากขายก่อนจะต้องหักเงินที่ได้คืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไปคืนให้รัฐ
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาตามมา คือ เมื่อยึดรถมาแล้วขายไม่ได้ทันที ราคารถยนต์จะตกไปเรื่อยๆ สุดท้ายขายแล้วเมื่อหักภาษีคืนอาจจะไม่พอชำระหนี้ให้แก่ผู้เช่าซื้อ ทำให้ยอดหนี้เสียอย่างเป็นทางการจากโครงการซื้อรถคันแรกไม่สูงตามสถานการณ์จริง แต่ในวงการเช่าซื้อรู้ดีว่า เริ่มมีปัญหามาก
ส่วนเรื่องการพิจารณาเบี้ยประกันภัย สำหรับบรรดาอีโคคาร์ ค่ายประกันภัยก็ดาหน้ากันออกมาแถลงเป็นเสียงเดียวกันว่า จะต้องมีการปรับเพิ่มแน่นอน เพราะพิจารณาจากผลการประกอบการครบ 1 ปี ของบรรดาอีโคคาร์เหล่านี้
ก็ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่สนใจจะใช้อีโคคาร์ ที่เห็นว่า รถเล็ก ไม่เปลืองน้ำมัน ราคาถูก ค่าซ่อมคงถูกตามได้ด้วย
แต่นี่มันสมัยเทคโนโลยีล้ำหน้าไปแล้วนะขอรับ เจ้าบรรดารถเล็ก รถ 3 สูบแบบนี้ ราคาค่าซ่อมไม่ได้ถูกตามราคารถไปด้วยหรอก พิจารณากันดูให้ดี
ไม่ได้เอาเรื่องจริงมาพูดเล่น จะซื้อรถใหม่กันทั้งที พูดคุยกันให้ดีก่อนดีกว่า จะได้ไม่เสียใจภายหลัง
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/93009