ชีวิตคือความรื่นรมย์
บทกวีวรรคทอง
จะกรองน้ำคำหวานจารสนอง บนลานทองของกวีศรีสยาม หากข้าดับรูปเสียงขอเพียงนาม ได้งดงามยงอยู่คู่ผืนดิน(โกวิท สีตลายัน)
แม้จะเคยคิดน้อยเนื้อต่ำใจไปว่าเกิดมาเป็นลูกชาวจนๆ ไม่มีวรรณคดีสำคัญๆ อ่านเหมือนคนที่เขามีพร้อม แต่พอได้อ่านวรรณคดี เช่น สังข์ทองตอนตีคลี สำหรับชั้นประถมปีที่ 4 และตอนเลือกคู่และหาปลา หาเนื้อ ของพี่ที่เรียนชั้นมัธยมปีที่ 1 ที่แม่พยายามเก็บไว้ เพราะแม่รู้ว่า พอพี่ผ่านไปแล้ว น้องๆ ก็ใช้ต่อได้ เด็กไกลปืนเที่ยงก็ชอบ
เชื่อว่าเหตุมาจากนั้นที่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความรักในวิชา "อ่านเอาเรื่อง" (ที่ต่อมาเรียกว่า วรรณคดีไทย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทบทร้อยกรองในวรรณคดีไทย ที่ข้าพเจ้าชอบที่สุด เสียดายว่า ถ้าได้อ่านหนังสือวรรณคดีดีๆ อย่างบางคนที่ถูกพ่อแม่ปูย่าตายายบังคับให้อ่านแต่เล็กๆ คงมีต้นทุนทางกวีนิพนธ์ที่ดีมากกว่านี้แน่นอน แต่เมื่อมีเวลาและมีห้องสมุดที่พอหาอ่านได้มากพอ วัยนั้นก็ต้องเอาใจใส่หนังสือเรียนและเรื่องน่าสนใจมากกว่า (เช่น นวนิยาย) เข้ามาแย่งเวลา และความกระหายอ่านไป
แต่เมื่อตอนออกไปเป็นครู ข้าพเจ้าก็สนุกกับการสอนวิชาวรรณคดีไทย และมีลูกศิษย์มาพูดให้ชื่นใจในภายหลังว่า ที่เขาหันมารักภาษาไทยและได้คะแนนภาษาไทยมากขึ้นเพราะข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุ
เมื่อได้ไปร่วมออกความคิดเห็นในการปรับแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ จึงได้ย้ำว่า การให้เยาวชนได้ท่องอาขยานจากแบบเรียนที่คัดตัดตอนบทร้อยกรองตอนดีๆ มาให้เยาวชนท่องนั้น เป็นการปลูกฝังที่มีคุณค่า เหมือนการสวดมนต์หมู่หรืท่องสูตรคูณเป็นหมู่นั้น เป็นวิธีการจูงใจที่ดีอีกวิธีหนึ่งในการสอน และการที่บังคับให้เด็กในวัยเดียวกันได้เรียนรู้จากการท่องอาขยานบทเดียวกันทั้งประเทศนั้น เป็นวิธีการจูงใจอย่างหนึ่งซึ่งเราเรียกว่าเป็น รากร่วมทางวัฒนธรรม ที่สำคัญของคนร่วมชาติเดียวกัน
เคยไปเป็นกรรมการตัดสินการประกวดประชันกลอน หรือการประกวดวรรณกรรม โดยเฉพาะวรรณกรรมร้อยกรอง ได้ยินอาจารย์สอนชั้นอุดมศึกษาปรารภว่า เดี๋ยวนี้ หาบทกลอนดีๆ สำหรับใช้สอนแทบไม่มี ก็เลยนึกได้ว่า ตอนหลังๆ นี้ ความนิยมอ่านร้อยกรองลดลงไปมาก ดังจะเห็นว่า หนังสือกลอนขายไม่ค่อยออก ไม่เหมือนรวมเรื่องสั้น (ซึ่งก็ขายได้น้อย แต่ดีกว่ารวมบทกลอน) และนวนิยาย
เมื่อลองทบทวนดูก็พอจะเห็นเหตุบางประการ เช่น บรรณาธิการที่คัดบทร้อยกรองในหน้งสือในนิตยสารและบรรณาธิการสำนักพิมพ์ จำนวนไม่น้อย ยังด้อยวุฒิภาวะทางร้อยกรอง โดยเฉพาะการประเมินคุณค่าบทร้อยกรอง ดังเช่น ช่วงหนึ่งที่สำนักพิมพ์ เลือกพิมพ์งานร้อยกรองที่เนื้อหาสาระประเภทกลอนขาดฉันทลักษณ์ไปจนถึง กลอนเปล่า ที่มีสำนวนโวหารไม่ลึกซึ้งกินใจ หากเป็นการเอาใจวัยรุ่น จนหนังสือประเภท (ที่เขาเรียกกันเองว่า) บทกวี เฟ้อจนขายไม่ออก
ในส่วนคนเขียนก็เช่นกัน มีจำนวนไม่น้อยรีบที่จะ เป็นกวี เร็วกว่าการปลูกฝังความรู้-ความเข้าใจในความรู้พื้นฐานของฉันทลักษณ์ให้ดีพอ ในการแต่งคำประพันธ์นั้นความสามารถพื้นฐาน-ความเข้าใจในการแต่งร้อยกรอง ยังไม่ได้รับการ บ่มเพาะ เท่าที่ควร บางคนเขียน อะไรคล้ายๆ กลอนเปล่า ได้ลงพิมพ์ในหนังสือ หรือนิตยสารที่ผู้ควบคุมหน้าบทกลอนยังไม่รอบรู้มากพอ เช่น เคยอ่านพบว่าผู้ควบคุมคอลัมน์บทกวีบางคนสารภาพว่า กลอนที่ตนส่งไปอีกหนังสือฉบับอื่นนั้น ตนเองก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ลงพิมพ์หรือไม่ก็ไม่รู้...อนิจจาการกวีไทย...!!!
ข้าพเจ้าอยู่ในวงวรรณศิลป์นี้มาอย่างจริงจังตั้งแต่ต้นพุทธศักราช 2500 จึงได้พบว่า บทประพันธ์ที่ถือว่าแต่งดีถึงขั้นที่ว่ามีวรรณศิลป์ ก็ยังมีอยู่ไม่น้อย เมื่อได้นำคำปรารภของอาจารย์สอนการแต่งร้อยกรองเข้า ก็ทำให้นึกอยากรวบรวมกลอนของมิตรร่วมสมัยที่ดีๆ เป็นที่ติดตรึงใจในวงการพอสมควร นำมารวมตีพิมพ์ไว้ อย่างที่เพื่อนและข้าพเจ้าต้องลงทุนพิมพ์กันมาแล้ว เช่น ชะบา โดย 10 นักกลอนหนุ่ม (2502) รอยฝัน (2503) ธารทอง (2506) ริ้วป่านสีทอง (2511) และกลุ่มอื่นจัดพิมพ์อีกหลายกลุ่มหลายเล่ม
เมื่อสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ ปรารภว่าอยากรวบรวมบทกลอนดีๆ ร่วมสมัยไว้ โดยมีข้อแม้ว่า จะรวมบทกลอนที่เป็นที่ติดตรึงใจของกวีร่วมสมัยที่มีวรรคสวยๆ ที่เราเรียกว่า วรรคทอง ไว้เพื่อเป็นหนังสืออ่านเพิ่มเติม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เราจึงยินดีให้ความร่วมมือ และหนังสือก็ออกมาสวยงามในนามที่เรามีมติพร้อมกันให้ชือว่า กาญจนกานท์ ซึ่งสำเร็จลงเมื่อ 2553 จำนวน 35,000 เล่ม มีผลงานของกวีร่วมสมัย ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา แม้จะยังไม่ทั่วถึงนัก แต่ก็รวม 106 นาม ได้บทกวี 179 บท
มาปีนี้มีเสียงเรียกร้องเพราะหนังสือแจกไปทั่วประเทศแล้ว ยังมีผู้ต้องการอีกมาก เราจึงร่วมกันดำเนินการรวบรวมเพื่อพิมพ์เป็น กาญจนกานท์ เล่มที่ 2 โดยกวีอาวุโสที่มีงานนามละ 2 ชิ้น ในเล่มที่ 1 จะมีงานในเล่มที่ 2 เพียงสำนวนเดียว ส่วนคนที่ไม่มีงานในเล่มที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกวีรุ่นใหม่ จะมีงานที่คัดเลือกแล้วว่าดี นามละ 2 สำนวน คาดว่าหนังสือนี้คงออกได้ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งก็ดูจะมานานนัก
เพื่อให้เห็นว่า ในเล่มที่ 1 มีวรรคทองของกวีรุ่นอาวุโสที่โด่งดังติดปากผู้นิยมวรรณศิลป์มานาน จึงขอคัดมาบางวรรคเท่าที่จะพอมีเนื้อที่มาทบทวนความจำดังนี้
- เพื่อโค้งเคียวเรียวเดือนและเพื่อนโพ้น เพื่อไผ่โอนพลิ้วพ้อล้อภูผา เพื่อเรืองข้าวพราวแพร้วทั่วแนวนา เพื่อขอบฟ้าขลิบทองรองอรุณ (อยู่เพื่ออะไรอุชเชนี)
- "แม้อยู่ห่างต่างถิ่นแผ่นดินไหน ถ้าวันใดคิดถึงถิ่นแผ่นดินสยาม จงมองดาวพราวพร้อยลอยฟ้างาม เพราะทุกยามฝากใจไว้กับดาว" (จากเจ้าพระยาถึงฝั่งโขง-สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์)
- ต่อไปนี้...ใครก็ได้...หากให้รัก ข้าจะภักดิ์...ใครก็ได้...ไม่ใฝ่หา จะเทิดทูน...ใครก็ได้...ไม่นำพา ขอบูชา...ใครก็ได้...ที่ใจเดียว (ใครก็ได้- เจษฎา วิจิตร)
- อ้อมกอดพี่จะสงวนไม่ด่วนเสนอ อ้อมตักเธอจงถนอมก่อนยอมสนอง ถึงวันชื่นคืนฉ่ำถูกทำนอง จะตระกองกอดกกแนบอกนอน (ภาษารัก-สวัสดิ์ ธงศรีเจริญ) ่งโขง-สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์)งก็ดูไม่นานนักทย และมีลูกศิษย์มาพูดให้ชื่นใจในภาหลังว่า ที่เขาหันมารักภาษาไทยและได
- ณ แดนงามนามว่า อนาคต ให้ปรากฏเทียนก่องผ่องรังสี ดอกคำรินกลิ่นกลบอบธาตรี แม้มิมีใครรู้นามผู้ลอย (ลอยกระทง- มะเนาะ ยูเด็น)
- เห็นรอยดินเคยล้มก็ขมจิต �อยากจะปิดเนตรเร้นไม่เห็นหน �สงสารตัวต่ำเคล้ารอยเท้าตน �อายผู้คนยังไม่วายมาอายดิน (อายดินโกวิท สีตลายัน)
- เจ้าดอกเอยดอกขจรอาวรณ์ถวิล นกขมิ้นเหลืองอ่อนจะนอนไหน เขาวางขลุ่ยข่มน้ำตาว้าเหว่ใจ ตอบไม่ได้ดอกหนาข้าคนจร (นกขมิ้น-เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)
- จำภาพหนึ่งซึ้งค่าว่า ชีวิต ตื้นใจศิษย์แสนจนจิตหม่นไหม้ มือจับช้อนระริกสั่นตันฤทัย ตักลงในข้าวครึ่งห่อต่อจากครู (ครู-นิภา บางยี่ขัน)
- พ่อไม่พูดพ่อไม่พร่ำแม้คำหนึ่ง ตาเคยซึ้งประกายแกร่งสิ้นแสงใส แต่แววรักโชติช่วงพร้อมห่วงใย ลูกรู้ได้แล้วรักพ่อก็วันนั้น (วันรักพ่อ-อรฉัตร ซองทอง)
- ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง! (เพลงชาติ- นภาลัย (ฤกษ์ชนะ) สุวรรณธาดา)
- ดอกรักบานในหัวใจใครทั้งโลก แต่ดอกโศกบานในหัวใจฉัน และอาจเป็นเช่นนี้ชั่วชีวัน เมื่อรักอันแจ่มกระจ่างกลับร้างไกล (บทสุดท้ายของนิยายรัก-เฉลิมศักดิ์ ศิลาพร)
- วีรชน-เชิญพักบนตักหญ้า ปิดดวงตาทำใจให้สงบ เมื่อแดดอ่อนรินอาบลงทาบทบ คือการพบสั้นสั้นวันสุดท้าย แล้วทุ่งหญ้าสีน้ำตาลหลังการรบ ก็เกลื่อนศพทหารของทั้งสองฝ่าย สิ่งที่ยังเหลืออยู่ของผู้ตาย คือจดหมายหนึ่งฉบับซับเลือดกรัง (เวียตนามอดุล จันทรศักดิ์)
- เพื่อจะ กิน เรื่อยไปไม่ต้องอด เพื่อปรากฏ เกียรติ อยู่คู่ศักดิ์ศรี เพื่อสุขในทาง กาม คงความมี จึงผลที่สุดนั้นมันก็ โกง (มัน-ปิยะพันธ์ จัมปาสุต)
- จำเพื่อลืมดื่มเพื่อเมาเหล้าเพื่อโลก สุขเพื่อโศกหนาวเพื่อร้อนนอนเพื่อฝันชีวิตนี้มีค่านักควรรักกัน รวมความฝันกับความจริงเป็นสิ่งเดียว(รุไบยาต-แคน สังคีต)
- อยากลบรอยเท้าเปื้อนพื้นเรือนหอ ลบภาพคู่เคียงคลอกันต่อหน้า ยิ่งอยากลบยิ่งกระจ่างไม่ร้างลา เห็นตำตาตาจึงจำไว้ตำใจ (ตำตาตำใจ-ทวีสุข ทองถาวร)
- โอ้วันนี้...วันสำคัญตื้นตันนัก มิรู้จักเลือกทางอย่างไรได้ ถ้าไม่ไปพบเขาเราเสียใจ แต่ถ้าไปพบเขาเราเสียตัว! (รัก..ที่ต้องเลือก(วันนี้)- กรรณิการ์ หิรัญรัศมี)
นี่คือส่วนนิดๆ ของ วรรคทองของบทกวี ที่เคยประทับใจคนอ่านบทกวี ซึ่งท่องกันได้ขึ้นใจ เพื่อยืนยันว่าไทยเป็นชาตินักกลอน และกวีฤๅแล้งแหล่งสยาม ตามพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณะเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส @
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/93006