ประกันภัย
ฤดูซื้อกรมธรรม์ประกันภัย
ทุกวันนี้ สภาพอากาศในประเทศไทยมีความผันผวนจากภาวะโลกร้อน เกิดภัยธรรมชาติขึ้นบ่อยครั้ง เช่น ภัยจากลมพายุ ลูกเห็บ แผ่นดินไหว ไฟลามทุ่ง รวมถึง น้ำท่วม จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ภัยพิบัติทางธรรมชาติได้สร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก
จากการประเมินความเสียหายจากภัยน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 ภาพรวมเสียหายนับล้านล้านบาท เฉพาะส่วนที่อยู่ในความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย เสียหายกว่า 460,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทประกันภัยได้มีการจ่ายเคลมค่าเสียหายกันไปแล้วกว่า 50 % ยังคงเหลืออีกส่วนที่ต้องรอคอยการสรุปจ่ายเพิ่มเติมจากการประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอร์)
ช่วงนี้ฝนเริ่มตกหนักติดต่อกัน พายุเริ่มเข้าตามฤดูกาล สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย ได้แสดงความห่วงใยประชาชน ฝากให้ช่วยแนะนำประชาชน ผู้ประกอบการ รวมถึงภาคอุตสาหกรรม เล็งเห็นความสำคัญของการประกันภัยว่าเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง และทำประกันภัยให้มากขึ้น เพื่อแบ่งเบาภาระทางการเงิน ไม่ก่อให้เกิดปัญหาขาดสภาพคล่องเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ กรมธรรม์ประกันภัย ที่ให้ความคุ้มครองภัยธรรมชาติ และครอบคลุมความเสียหายในทรัพย์สินขอประชาชน รวมถึงผู้ประกอบการ สามารถแยกประเภท ดังนี้
1. สำหรับบ้านที่อยู่อาศัย ประชาชนควรซื้อ กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยและภัยพิบัติสำหรับที่อยู่อาศัย ซึ่งจะให้ความคุ้มครองแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ
1.1 ความเสียหายจาก 6 ภัย ได้แก่ ไฟไหม้ ฟ้าผ่า การระเบิดทุกชนิด ภัยเนื่องจากน้ำ ภัยจากอากาศยาน และภัยที่เกิดจากการเฉี่ยวชนของยานพาหนะ
1.2 ความเสียหายจากภัยพิบัติ 3 ภัย(ตาม พรบ. ภัยพิบัติแห่งชาติ) ได้แก่ ลมพายุ แผ่นดินไหว และน้ำท่วม
อย่าง ไรก็ตาม หากประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ ต้องการซื้อความคุ้มครองภัยธรรมชาติ ที่อาจเกิดขึ้น แต่ความรุนแรงไม่ถึงขั้นเป็นภัยพิบัติ ก็สามารถซื้อความคุ้มครองอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ลมพายุ แผ่นดินไหว และน้ำท่วม ได้เช่นกัน
2. สำหรับธุรกิจ SME และภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการควรเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย หรือกรมธรรม์ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR) และกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติในเบื้องต้นก่อน เพื่อให้ความคุ้มครองครอบคลุม ตัวอาคาร หรือโรงงาน รวมถึงทรัพย์สินภายในอาคาร เช่น เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ สตอคสินค้า เป็นต้น แล้วจึงเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันภัยอื่นเพิ่มเติม เช่น การประกันภัยโจรกรรม หรือกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (BUSINESS INTERRUPTION) สำหรับผู้ประกอบการ เพื่อคุ้มครองกรณีผู้ประกอบการต้องปิดกิจการ และขาดรายได้จากภัยน้ำท่วมด้วย
3. การประกันภัยรถยนต์
3.1 การประกันภัยรถยนต์ กรณีประกันภัยประเภท 1 คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้น หากเสียหายบางส่วนจะได้รับการชดใช้ค่าเสียหาย ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย หากรถยนต์เสียหายจนไม่สามารถซ่อมได้ หรือความเสียหายที่มีมูลค่าความเสียหายตั้งแต่ร้อยละ 70 ของมูลค่ารถ บริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มตามจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ ระบุไว้
3.2 การประกันภัยรถยนต์ประเภทอื่น�(นอกจากประเภท 1) สำหรับรถที่ประกันภัยรถภาคสมัครใจ โดยทั่วไปจะไม่คุ้มครองรวมถึงภัยธรรมชาติและภัยน้ำท่วม แต่ปัจจุบันมีหลายบริษัทได้ขายรวมภัยน้ำท่วมในกรมธรรม์ประเภทอื่นๆ ด้วย เช่น 2+, 3+ เป็นต้น หากได้มีการซื้อประกันภัยแบบคุ้มครองภัยน้ำท่วมไว้ด้วย ก็จะได้รับความคุ้มครองเพิ่มในส่วนนี้ตามจำนวนเงินที่เอาประกันภัยไว้
3.3 การประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พรบ.) จะให้ความคุ้มครอง กรณีที่มีผู้เสียชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บขณะที่ขับขี่ หรือโดยสารในรถนั้นเท่านั้น ในเบื้องต้นจะรับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัยรถตาม พรบ. เป็นค่าเสียหายเบื้องต้น กรณีค่ารักษาพยาบาลตามจริงไม่เกิน 15,000 บาท กรณีเสียชีวิตได้รับ 35,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจซื้อกรมธรรม์ประกันภัย ประชาชน และผู้ประกอบการ ควรศึกษาเงื่อนไขความคุ้มครอง และรายละเอียดของข้อยกเว้นให้เข้าใจเสียก่อน เพื่อให้เกิดความเหมาะสม และตรงกับความต้องการได้มากที่สุด และที่สำคัญ สำนักงาน คปภ. แนะนำประชาชนซื้อกรมธรรม์ประกันภัยกับตัวแทน-นายหน้าประกันภัยที่มีใบอนุญาตเท่านั้น เพื่อป้องกันบริษัทประกันภัยปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน หรือบอกเลิกสัญญาประกันภัย�โดยต้องขอดูใบอนุญาตการเป็นตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่ออกโดยสำนักงาน คปภ.
รวมถึงเวลาชำระเบี้ยประกันภัย ต้องขอใบเสร็จรับเงินทุกครั้ง เพื่อป้องกันกรณีที่ตัวแทน/นายหน้าประกันภัยดังกล่าวมิได้นำเงินส่งค่าเบี้ยประกันภัยเข้าบริษัทประกันภัย และเป็นเหตุให้บริษัทประกันภัยปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือบอกเลิกสัญญาประกันภัย ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน และส่งผลต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมประกันภัย ทั้งนี้บทบัญญัติแห่งกฎหมายกำหนด ไว้ว่า ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมีใบเสร็จรับเงิน หรือ เอกสารแสดงการรับเงินจากบริษัทประกันภัย บริษัทประกันภัยไม่อาจปฏิเสธความรับผิดตามข้อผูกพัน ตามสัญญาประกันภัยได้
สำหรับข้อมูล และหลักฐาน ที่ต้องเตรียมไว้สำหรับการเคลมเรียกค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัย มีดังนี้
1. การประกันอัคคีภัย ที่ซื้อความคุ้มครองภัยน้ำท่วมเพิ่ม จะได้รับความคุ้มครองตามความเสียหายตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ และการประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน INDUSTRIAL ALL RISKS (IAR) เป็นการประกันความเสี่ยงซึ่งคุ้มครองความเสียหาย ต่อทรัพย์สินอันเกิดจากภัยต่างๆ รวมถึงภัยน้ำท่วมด้วย การเรียกร้องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ผู้เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหายต้องแจ้งให้บริษัทประกันภัยทราบเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งต้องแจ้งรายละเอียดทรัพย์สินที่เสียหาย และมูลค่าของทรัพย์สินนั้นๆ พร้อมหลักฐานเกี่ยวข้องกับการทำประกันภัย และถ่ายภาพมุมกว้างให้เห็นสภาพน้ำท่วมทรัพย์สินนั้นๆ เพื่อการพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้หากกรมธรรม์ประกันภัยสูญหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม
2. การประกันภัยรถยนต์จะให้ความคุ้มครองสำหรับรถยนต์ที่ได้ทำประกันภัยประเภท 1 และประกันภัยประเภทอื่นๆ ที่กรมธรรม์ระบุคุ้มครองภัยน้ำท่วมไว้ด้วย การจ่ายค่าสินไหมทดแทน ถ้ารถยนต์ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมจนไม่อาจซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิมได้ หรือเสียหายไม่น้อยกว่า 70 % ของมูลค่ารถยนต์ บริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มตามทุนประกัน กรณีประกันภัยประเภทอื่นๆ ต้องดูตามวงเงินคุ้มครองที่ระบุไว้ การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ผู้เอาประกันต้องจัดเตรียมใบขับขี่ บัตรประจำตัวประชาชน สำเนากรมธรรม์ประกันภัย และทะเบียนรถยนต์ เพื่อความรวดเร็วในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงาน คปภ. สายด่วนประกันภัย 1186
เรื่องโดย : กฤชกมล นิติธรรมโกศล
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/93001