รอบรู้เรื่องรถ
ถึงเวลาประหยัดกันเสียที (ตอนจบ)
ท่านผู้อ่านคงเข้าใจถึงวิธีใช้ และขับกันไปแล้วในฉบับที่ผ่านมา ก็เหลืออีกหนึ่งหัวข้อใหญ่ ที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการประหยัดเชื้อเพลิง นั่นก็คือ วิธีบำรุงรักษา
วิธีการบำรุงรักษารถมีผลอย่างมากต่อความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงครับ เครื่องยนต์ในรถของเราต้องอยู่ในสภาพที่ดีเพียงพอ คือ กระบอกสูบและแหวนลูกสูบ ต้องไม่สึกหรอจนเกินลิมิทที่ทางผู้ผลิตกำหนดไว้ เพราะถ้าอย่างนั้น ถึงเราจะปรับตั้ง และบำรุงรักษาดีเพียงไร ก็คงไม่สามารถลดอัตราการ "ซด" น้ำมันได้เลย
อาการที่ควบคู่กับการกินน้ำมันผิดปกติก็คือ เครื่องยนต์มีกำลังน้อย ทั้งๆ ที่ปรับตั้งทุกอย่างถูกต้องหมดแล้ว ส่วนใหญ่มาจากการกินน้ำมันเครื่องมากกว่าปกติ หรือมากกว่าที่ควร แต่การกินน้ำมันเครื่องมากเกินปกติ ก็ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าเครื่องยนต์หลวมเสมอไปนะครับ เพราะสาเหตุอาจเกินจากซีลที่ก้านวาล์วเสื่อม หรือแหวนกวาดน้ำมัน (แหวนลูกสูบตัวล่างสุด) ชำรุดก็ได้ ในกรณีเหล่านี้ เครื่องยนต์จะไม่กินน้ำมันเชื้อเพลิงมากเกินปกติ แต่จะเปลืองเฉพาะแค่น้ำมันเครื่องเท่านั้นครับ
วิธีตรวจสอบอย่างถูกต้องว่าเครื่องยนต์ของเรา "หลวม" เกิน หรือหมดอายุยัง คือ การวัดความดันในกระบอกสูบ หรือที่เราคุ้นเคยกันว่าการวัดกำลังอัดนั่นแหละครับ ศูนย์บริการมาตรฐานทั่วไปจะมีเครื่องมือนี้ทุกแห่ง ค่าที่วัดได้ จะต้องสูงกว่าค่าต่ำสุดที่ผู้ผลิตเครื่องยนต์กำหนดไว้เสมอ ไม่ใช่ค่ามาตรฐานที่ช่างซ่อมรถส่วนใหญ่ชอบใช้กัน เพราะขึ้นอยู่กับอัตราส่วนการอัด และพิกัดเผื่อของแหวนลูกสูบ สำหรับรถแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น โดยเฉพาะเครื่องยนต์ในยุคนี้
ถ้านับย้อนไปสัก 20 กว่าปีที่แล้ว ประมาณปี 1990 ขึ้นไป เครื่องยนต์จะมีอายุการใช้งานที่สูงมาก เครื่องยนต์ของรถญี่ปุ่น ที่คนไทยส่วนใหญ่เชื่อกันว่าอายุสั้นนั้น ก็ผ่านช่วงเวลาดังกล่าวมานานมากแล้ว ถ้าใช้และบำรุงรักษาถูกต้อง ไม่ไปเจอน้ำมันเครื่องปลอม จะมีอายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 250,000 กม. กันทั้งนั้นครับ และยิ่งถ้าใช้รถทางไกลเป็นหลัก ก็ยิ่งมีอายุการใช้งานเพิ่มขึ้น อาจถึง 400,000 กม. สบายๆ ครับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคอยถนอม หรือกลัวว่าตัวเลขบอกระยะทางจะขึ้นไปเยอะ เราซื้อรถไว้ใช้ครับ ถ้ามีธุระมีความจำเป็นก็ต้องใช้ให้เต็มที่ อย่าซื้อมาจอด เพื่อเสริมบารมี หรือไว้เพื่อประดับบ้าน เพราะแบบนั้นรถมีแต่จะเสื่อมถอย ทั้งตัวรถเอง และราคา
ก่อนที่จะปรับตั้งสิ่งที่เกี่ยวกับเชื้อเพลิงและไฟจุดระเบิด ต้องตรวจและปรับระยะวาล์วให้ถูกต้องก่อนครับ รถยุคนี้ส่วนมากจะมีระบบ ปรับระยะวาล์วอัตโนมัติ ส่วนพวกที่ยังต้องปรับระยะวาล์วเอง จะมี 2 แบบด้วยกัน คือ ปรับด้วยเกลียว และปรับโดยการเปลี่ยนแผ่นรอง หรือ SHIM แบบเปลี่ยนแผ่นรองนี่เปลี่ยนยากครับ แม้จะเป็นช่าง เพราะต้องวัดทั้งระยะวาล์วเดิม วัดความหนาของแผ่นรอง แล้วจึงคำนวณหาค่าความหนาของแผ่นรองที่จะเปลี่ยน ส่วนใหญ่ต้องถอดเพลาลูกเบี้ยวออกก่อน ช่างก็เลยไม่ค่อยอยากทำ เลยหาทางเอาตัวรอด โดยโกหกลูกค้าว่า ไม่ต้องปรับตั้งตลอดอายุการใช้งาน ทางที่ดีที่สุดควรตรวจสอบด้วยตัวเองจากคู่มือใช้รถ ว่ารถของเราต้องตรวจ และปรับตั้งระยะวาล์วทุกๆ กี่หมื่นกิโลเมตร
ถ้าจะปรับเครื่องยนต์ให้ถูกต้องสมบูรณ์ ไม่สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ก็ต้องปรับระบบจ่ายเชื้อเพลิงแน่นอนอยู่แล้วครับ ถ้าเป็นรถเมื่อ 20 กว่าปีก่อน สมัยที่เป็นระบบคาร์บูเรเตอร์ ต้องปรับสกรูส่วนผสมไอดีให้ถูกต้อง ตามหลักต้องใช้เครื่องมือวัดคาร์บอนมอนอกไซด์ในไอเสีย ถ้าไม่มีให้ใช้ความสังเกต โดยปรับจนเครื่องยนต์เดินเรียบ และความเร็วรอบสูงสุด แล้วหมุนสกรูเข้าอีกนิดเดียวพอ อย่าให้ถึงกับความเร็วรอบตก หรือเครื่องเดินไม่เรียบ
สำหรับรถที่ใช้ระบบหัวฉีดรุ่นแรกๆ จะมีสกรูปรับส่วนผสมอยู่ที่มาตรวัดอัตราไหลของอากาศ ต้องใช้เครื่องวิเคราะห์ไอเสียเช่นเดียวกันครับ และต้องรู้ค่าสัดส่วนคาร์บอนมอนอกไซด์เฉพาะรุ่นด้วย ถ้าไม่มีเครื่องมือและข้อมูล ให้ใช้วิธีเดียวกับระบบคาร์บูเรเตอร์แก้ขัดไปก่อน ก็ยังพอไหวครับ งานแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะทำกันง่ายๆ นะครับ ต้องเป็นผู้ที่เคยทำมาบ้าง และมีความสามารถเชิงช่างอยู่ด้วย มิฉะนั้นก็ควรให้เป็นหน้าที่ของช่างอาชีพไปจะดีกว่า ส่วนระบบหัวฉีดยุคปัจจุบัน ไม่มีที่ให้ปรับแล้วครับ เพราะต้องปรับทูนโดยพโรแกรมด้วยเครื่องมือเฉพาะยี่ห้อ เป็นงานของศูนย์บริการเท่านั้นครับ
จะว่าไป หัวใจของการประหยัด หรือการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ระบบจ่ายเชื้อเพลิง แต่เป็นจังหวะจุดระเบิด หรือ IGNITION TIMING เพราะถึงแม้จะมีไอดีอย่างเหมาะสม แต่ถ้ามันถูกจุดให้เผาไหม้ในจังหวะที่สวนทางต้านของลูกสูบ หมายถึง ตอนที่ลูกสูบวิ่งหนีลงไปศูนย์ตายล่างแล้ว เราจะไม่ได้พลังงานในรูปแบบของความดันแกสในกระบอกสูบมาใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพครับ ดังนั้นจังหวะจุดระเบิดจึงมีผลโดยตรงต่อกำลัง และความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์
ไส้กรองอากาศก็มีผลต่อกำลังของเครื่องยนต์เช่นกัน ถ้าอุดตันมากจนอากาศไหลผ่านได้ยาก กำลังของเครื่องยนต์ก็จะตกลง แต่เป็นอาการกำลังตกโดยไม่สิ้นเปลืองเป็นพิเศษครับ ซึ่งมักตรงกันข้ามกับความเข้าใจของคนใช้รถส่วนใหญ่ รวมถึงช่างด้วย เพราะเครื่องยนต์ของเราถูกควบคุมกำลังโดยลิ้นปีกฝีเสื้อ หรือลิ้นคันเร่ง ทำการกั้นอากาศไว้ให้อากาศไหลเข้าเครื่องยนต์ได้ลำบากหน่อย เราจะสามารถควบคุมกำลังได้เท่านั้น การเร่งเครื่องยนต์ที่เราพูดกัน ที่จริงแล้วไม่ได้เร่งอะไรหรอกครับ เป็นเพียงการ "ปล่อย" ให้อากาศไหลเข้าเครื่องยนต์ ให้เครื่องยนต์ได้ "หายใจ" ได้ก็เท่านั้นเอง
ถที่ไส้กรองอากาศสกปรกมาก จึงเปรียบเสมือนรถที่ลิ้นคันเร่งปิดแคบกว่าปกติ ต้องเหยียบคันเร่งลึกกว่า เพื่อที่จะได้กำลังเท่าเดิม หรือถ้าเหยียบมิด ก็จะไม่ได้กำลังสูงสุดตามที่โรงงานกำหนดไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สิ้นเปลืองเชื้อพลิงเพิ่มขึ้นครับ ไส้กรองอากาศของเรา ยิ่งสกปรกมากเท่าไร มันก็จะยิ่งกรองอากาศได้สะอาดมากขึ้นเท่านั้น เพราะช่วงที่อากาศไหลผ่านมันจะตีบลงจากฝุ่นที่ไปอุด ถ้ามันไม่เปลืองเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น และอากาศที่เข้าสู่เครื่องยนต์ก็สะอาดขึ้น อย่างนี้ควรที่จะใช้ให้สกปรกเต็มที่ ไม่ต้องเสียเงินซื้อกรองอากาศอันใหม่ด้วย จริงไหมครับ !?!
ต้องบอกว่า "ไม่ได้ครับ" เพราะเครื่องยนต์จะไม่มีกำลังตอบสนองต่อคันเร่งเท่าที่ควร เปรียบเสมือนกับขับรถที่มีขนาดเครื่องยนต์เล็กลง กำลังน้อยลง และที่สำคัญ ถ้าเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ และความนุ่มนวลขณะเปลี่ยนจังหวะเกียร์ จะแปรปรวนไปหมด เนื่องจากระบบควบคุมจะใช้สัญญาณจากระยะที่คันเร่งเปิด เป็นข้อมูลในการเลือกจังหวะเกียร์ด้วย
ตัวการสำคัญอีกอย่างของความสิ้นเปลือง คือ แรงเสียดทานของยางขณะกลิ้งไปบนผิวถนน โดยเฉพาะที่ความเร็วต่ำ แรงนี้จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความดันลมยางครับ โครงสร้างของยางก็มีส่วนอยู่บ้างแต่ไม่มาก เติมลมตามกำหนดในคู่มือใช้รถสักทุกๆ 2 สัปดาห์ครับ ถ้าไม่มีเวลาอาจเพิ่มแรงดันไปอีกสัก 2 ปอนด์/ตารางนิ้ว จากค่าที่กำหนดไว้ในคู่มือ ทีนี้อาจตรวจเดือนละครั้งก็ยังไหวครับ
ศูนย์ล้อก็ต้องถูกต้องด้วย เพราะรถที่มีล้อเลี้ยวเข้า (มุมโทอิน) หรือล้อเลี้ยวออก (มุมโทเอาท์) อันหนึ่งอันใดมากเกินไป ก็ทำให้เกิดแรงต้านและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้อีกเช่นกัน ที่สำคัญไปกว่าคือทำให้ยางของเราสึกหรอเร็วกว่าที่ควรจะเป็นหลายเท่าตัวด้วยครับ
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/92895