DIY...คุณทำเองได้
รถไฟรั่ว ไม่ถึงตาย แค่กินข้าวลิง
คุณเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ไหม ? แบทเตอรีหมด ทั้งๆ ที่เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่...จอดรถทิ้งไว้นานเกิน 2 วันไม่ได้ ไฟ !...ตรวจเชคไดชาร์จแล้วก็ปกติ แต่ไฟหายไปไหนหมด เรามีคำตอบ
ไฟในแบทเตอรี...หายไปไหน ?
คำถามนี้ สามารถหาคำตอบได้ด้วยการตรวจเชคอัลเทอร์เนเตอร์ หรือ ไดชาร์จ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ประจำรถ มีหน้าที่ผลิตไฟฟ้ากระแสตรง เพื่อชาร์จกระแสไฟเข้าไปเก็บในแบทเตอรี รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ด้วย
การตรวจเชคต้องอาศัยเครื่องวัดโวลท์มิเตอร์ โดยการสตาร์ทเครื่องยนต์ แล้วเปิดแอร์ เปิดไฟหน้า เพื่อเพิ่มโหลดของเครื่องยนต์ แล้วนำเครื่องวัดโวลท์มิเตอร์ วัดกระแสแรงดันที่ทั้ง 2 ขั้วของแบทเตอรี (ขั้วลบสีดำ/ขั้วบวกสีแดง) อย่าลืมปรับตัวรับกระแสที่ตัวโวลท์มิเตอร์เป็น DC V เพื่อเปลี่ยนตัวรับเป็นไฟกระแสตรง ค่าที่ได้ต้องมีประมาณ 12 โวลท์ แล้วให้เร่งเครื่องไปที่ 1,500 รตน. คงที่ ปิดโหลดให้หมด แล้ววัดใหม่ ค่าที่ได้จะต้องมากกว่า 14.5 โวลท์ขึ้นไปเท่านั้น ถ้าตัวเลขยังอยู่ในเกณฑ์นี้ แสดงว่าไดชาร์จยังใช้งานได้ปกติ
แบทเตอรีเพิ่งเปลี่ยน ไดชาร์จก็ปกติ !
ถ้าคุณได้เชคทั้ง 2 อย่างแล้ว ไฟในแบทเตอรียังคงหมดอยู่ นั่นแสดงว่า ตอนนี้รถคุณ "ไฟรั่ว" แล้ว ให้รีบหาสาเหตุด่วน !!
สาเหตุของไฟรั่วนั้นมีมากมาย เช่น สายไฟชำรุด หนูกัด จากความผิดพลาดของช่าง ฯลฯ การตรวจหาสาเหตุจึงต้องอาศัยเวลากันสักหน่อย ก่อนอื่นเราต้องประดิษฐ์อุปกรณ์ตรวจเชค นั่นก็คือ หลอดไฟแบบไส้ ขนาดไม่เกิน 7 วัตต์ (ถ้าหลอดวัตต์สูงกว่านี้ ไฟอาจไม่ติดได้ ถ้าเจอกระแสไฟที่รั่วน้อยๆ) โดยหลอดไฟจะต้องมีสายไฟทั้งขั้วบวก และขั้วลบ ยื่นยาวออกมาอย่างชัดเจน
อุปกรณ์ตัวนี้เราจะนำไปคร่อมในระบบ เพื่อตรวจดูค่าความสว่างจากสายตา ด้วยการดึงฟิวส์ทีละตัวในกล่องฟิวส์ ถ้าฟิวส์ตัวไหนเกิดไฟหรี่ผิดปกติ แสดงว่านี่แหละ คือ สาเหตุของไฟรั่ว ให้ไปเชคที่ระบบของฟิวส์ตัวนั้นต่อไป โดยจะแนะขั้นตอนการทำอย่างละเอียดในหัวข้อถัดไป
ความสัมพันธ์ของไดชาร์จ กับแบทเตอรี
ใครที่ใช้รถเดิมๆ จากโรงงาน โดยที่ไม่ได้เพิ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นเข้าไปมากนัก ย่อมอุ่นใจได้ เพราะระบบไฟบนรถคุณจะเสถียรอยู่แล้ว แต่ถ้าหากคิดไปติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ เครื่องเสียงชุดใหญ่, สปอทไลท์วัตต์สูงๆ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้กระแสไฟมากๆ กระแสไฟอาจไม่พอได้ การเปลี่ยนแบทเตอรี หรือไดชาร์จ อย่างใดอย่างหนึ่งให้ใหญ่ขึ้นนั้น เสี่ยงเกิดปัญหาตามมาภายหลัง ตัวอย่างเช่น เปลี่ยนแบทเตอรีให้ใหญ่ขึ้น แต่ไดชาร์จยังมีขนาดเท่าเดิม แบบนี้ไดชาร์จจะทำงานหนักเกินไป (ทำงานตลอดเวลา) เพื่อผลิตกระแสไฟให้ทัน หรือตรงกันข้าม หากเปลี่ยนเฉพาะไดชาร์จให้ใหญ่ขึ้นเพียงอย่างเดียว โดยที่แบทเตอรีมีขนาดเท่าเดิม แบบนี้จะทำให้ไดชาร์จ ชาร์จไฟเข้ามากเกินไป ส่งผลให้แบทเตอรีเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควรได้ง่ายๆ
[table]
รักษาแบทเตอรีอย่างไร ให้อยู่ได้นาน
อายุของแบทเตอรีนั้น สามารถอยู่ได้ถึง 3-4 ปี ถ้าเราดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพปกติตลอดเวลา วิธีง่ายที่สุด คือ ตรวจดูระดับน้ำให้อยู่ในระดับ MAX หรือขีดบนสุดอยู่เสมอๆ ถ้ามองไม่เห็น ให้หมุนเปิดเกลียวด้านบนดู โดยต้องให้น้ำกรดท่วมแผ่นธาตุตะกั่วขึ้นไปประมาณ 1 เซนติเมตร และต้องใช้น้ำกลั่นเท่านั้นในการเติม แบทเตอรีอายุยิ่งนานยิ่งกินน้ำกลั่น ฉะนั้นควรตรวจระดับน้ำกรดในแบทเตอรีทุกสัปดาห์ หรืออย่างช้าเดือนละครั้ง
ไม่ควรใช้ขั้วลบของแบทเตอรีเป็นกราวน์ด (GROUND) จากการต่ออุปกรณ์เสริมต่างๆ ควรใช้วิธีการต่อสายกราวน์ดจากตัวถังรถจะดีที่สุด ถ้าใช้ขั้วลบของแบทเตอรีเป็นกราวน์ดมากเกินไป จะส่งผลเสียต่อแบทเตอรี ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง
[/table]
อุปกรณ์
1. เครื่องวัดโวลท์มิเตอร์
2. อุปกรณ์หลอดไฟ ตรวจเชคระบบ
3. ประแจเบอร์ 12
4. คีม
5. กระดาษกาว
ขั้นตอนการตรวจเชคไฟรั่ว
1. สตาร์ทเครื่องยนต์ แล้วเปิดแอร์ เปิดไฟหน้า เพื่อเพิ่มโหลด
2. นำโวลท์มิเตอร์มาวัดกระแส โดยปรับไปตำแหน่ง DC V แล้วอ่านค่า ต้องอยู่ที่ 12 โวลท์
3. เร่งเครื่องไปที่ 1,500 รตน แล้วอ่านค่า ค่าที่ได้จะต้องมากกว่า 14.5 โวลท์ขึ้นไปเท่านั้น
4. บิดสวิทช์กุญแจออก ปิดประตูรถทุกบาน ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในทั้งหมด รวมถึงไฟภายในห้องโดยสารด้วย
5. นำประแจเบอร์ 12 มาคลายนอทออก ตรงขั้วลบของแบทเตอรี
6. นำสายขั้วลบที่ถอดออก แตะกับขั้วลบของอุปกรณ์หลอดไฟ และนำสายขั้วบวกของหลอดไฟ แตะเข้ากับแท่งตะกั่วขั้วลบของแบทเตอรี
7. สังเกตที่หลอดไฟขนาด 7 วัตต์ ว่ามีความสว่าง มากน้อยระดับใด
8. หาอุปกรณ์มายึด หรือหาคนช่วยจับ ให้ไฟสว่างค้างอยู่อย่างนั้น
9. ใช้คีมถอดฟิวส์ที่กล่องฟิวส์ทีละตัวไปเรื่อยๆ เช่น เครื่องเสียง ไฟหน้า ไฟเลี้ยว แตร ฯลฯ
10. ระหว่างที่ถอดให้สังเกตหลอดไฟทีละตัวๆ ถ้าถอดตัวไหนแล้วพบว่า ไฟที่หลอดไฟมีความสว่างน้อยลง ให้หยุดก่อน
11. ตรวจเชคฟิวส์ตัวนั้นว่า เป็นอุปกรณ์ของไฟฟ้าระบบใด แสดงว่าอุปกรณ์ตัวนั่น ไฟรั่ว !
12. เมื่อเจอแล้ว ให้ตรวจเชคหาจุดที่ไฟรั่ว จากระบบไฟของอุปกรณ์นั้นๆ ต่อไป
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : DIY...คุณทำเองได้
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/92770